บทที่ 5
อากาศภายในโถงเรือนใหญ่เย็นเยียบและหนักอึ้งราวกับมีหินก้อนมหึมากดทับ แม้จะนั่งอยู่ท่ามกลางครอบครัว แต่ เยว่ เฟยหลง กลับรู้สึกราวกับอยู่ในดงอสรพิษที่ต่างรอคอยจังหวะฉกกัด เขายังคงรักษาสีหน้าราบเรียบสงบนิ่ง จิบชาในถ้วยอย่างเชื่องช้า ปล่อยให้สายตาดูแคลนและรอยยิ้มเย้ยหยันของเหล่าพี่น้องเป็นเพียงสายลมที่พัดผ่านไป
"เอาล่ะ...ในเมื่อทุกคนอยู่กันพร้อมหน้าแล้ว พ่อมีเรื่องสำคัญจะประกาศ"
น้ำเสียงทรงอำนาจของเยว่ เค่อ ทำลายความเงียบอันน่าอึดอัดลง ทุกสายตาจับจ้องไปยังประมุขของบ้านเป็นจุดเดียว
"อีกหนึ่งสัปดาห์ข้างหน้า จะมีการจัดประลองยุทธ์รุ่นเยาว์ของตระกูลใหญ่ในแคว้นฮุย นี่คือโอกาสที่พวกเจ้าจะได้แสดงความสามารถและสร้างชื่อเสียงให้แก่วงศ์ตระกูล"
ทันทีที่สิ้นเสียงประกาศ เยว่ เฟยหลง สัมผัสได้ถึงไอสังหารจางๆ ที่พุ่งตรงมายังเขา เขามิได้เงยหน้าขึ้นมอง แต่ก็รู้ดีว่าเจ้าของสายตาเหล่านั้นคือใคร...เหล่าพี่น้องของเขาที่กำลังลิงโลดในใจ ด้วยนี่คือโอกาสอันดีที่จะได้หยามเหยียดและเหยียบย่ำเขาให้จมดินต่อหน้าสาธารณชน
สำหรับพวกเขา...มันคือความบันเทิง แต่สำหรับเยว่ เฟยหลง...มันคือสมรภูมิที่เดิมพันด้วยชีวิตและศักดิ์ศรีของมารดา
"ท่านพ่อเจ้าคะ" เสียงแหลมเล็กของ เยว่ เหม่ยเอ๋อร์ พี่สาวคนที่สามดังขึ้น นางปรายตามองเยว่ เฟยหลงด้วยแววตาดูแคลน ก่อนจะหันไปกล่าวกับบิดาด้วยรอยยิ้มเสแสร้ง "น้องเล็กเพิ่งจะฟื้นไข้ ร่างกายยังคงอ่อนแอ หากให้เขาลงประลอง เกรงว่าจะทำให้ตระกูลเยว่ต้องอับอายขายหน้านะเจ้าคะ เผลอๆ อาจจะถูกคู่ต่อสู้ทำร้ายจนพิการไปตลอดชีวิตก็ได้"
ทุกถ้อยคำล้วนเคลือบไปด้วยยาพิษ หวังจะแทงทิ่มให้เขาเจ็บปวดและหวาดกลัวจนไม่กล้าลงประลอง
ทว่า...เยว่ เฟยหลงคนเดิมได้ตายไปแล้ว
เขาค่อยๆ วางถ้วยชาลง เสียงกระเบื้องกระทบไม้ดังกังวานแผ่วเบาในความเงียบ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตากับเยว่ เหม่ยเอ๋อร์โดยตรง ดวงตาของเขาเย็นเยียบและลึกล้ำจนน่าขนลุก
"ขอบคุณพี่สามที่เป็นห่วง" น้ำเสียงของเขาราบเรียบไร้ระลอกคลื่น "ข้าพร้อมจะลงประลอง...แต่พี่สามเองก็ลงประลองเป็นปีสุดท้ายแล้วมิใช่หรือ...ก็ขออย่าให้พ่ายแพ้เหมือนทุกปีที่ผ่านมาแล้วกัน...ข้าเกรงว่าจะเสื่อมเสียชื่อเสียงของท่านพ่อ"
"เจ้า!" เยว่ เหม่ยเอ๋อร์หน้าชาวาบราวกับถูกตบกลางสี่แยก นางชี้หน้าเขาอย่างไม่อยากเชื่อสายตา เด็กหนุ่มที่เคยแต่ก้มหน้าตัวสั่นราวกับลูกนก บัดนี้กลับกล้าตอกกลับนางอย่างเลือดเย็นถึงเพียงนี้!
"พอได้แล้ว!" เสียงตวาดของเยว่ เค่อดังขึ้น ทุกอย่างจึงกลับสู่ความสงบอีกครั้ง แต่บรรยากาศกลับตึงเครียดยิ่งกว่าเดิมหลายเท่า
"ทุกคนกลับไปได้...ส่วนเฟยหลง...อยู่คุยกับพ่อก่อน"
เมื่อทุกคนทยอยเดินจากไปจนหมด เหลือเพียงเขากับบิดาสองคนในห้องโถงอันกว้างใหญ่ เยว่ เค่อ ก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ท่าทีองอาจน่าเกรงขามเมื่อครู่พลันสลายไป เหลือเพียงแววตาของบิดาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกผิดอันท่วมท้น
"เฟยหลง...บิดา...บิดาผิดต่อเจ้ายิ่งนัก"
เยว่ เฟยหลง ยืนนิ่งรอฟังอย่างสงบ แม้ในใจจะรู้สึกประหลาดใจก็ตาม
"เรื่องมันเกิดขึ้นเมื่อเจ้าลืมตาดูโลก...สหายเก่าแก่ผู้หนึ่งซึ่งเป็นผู้มีพระคุณต่อชีวิตพ่อ ได้มาสู่ขอเจ้าเอาไว้ให้กับบุตรชายของเขา...หนี้ชีวิตครั้งนั้นใหญ่หลวงนัก พ่อมิอาจปฏิเสธได้...จึงจำใจต้องรับปากไป"
ทุกถ้อยคำที่บิดากล่าวออกมาหนักอึ้งราวกับภูเขาถล่มทับ นี่คือชะตากรรมที่ถูกผูกมัดไว้ตั้งแต่ลมหายใจแรกของเขาสินะ
"อีกหกเดือนข้างหน้าคือวันบรรลุนิติภาวะของเจ้า และเป็นกำหนดการแต่งงาน...แต่หากเจ้าไม่ยินยอม...พ่อก็จะไปขอขมาและยกเลิกสัญญานี้ด้วยตนเอง แม้จะต้องเสียหน้าเพียงใดก็ตาม" เยว่ เค่อกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง เขามองลึกเข้าไปในดวงตาของบุตรชาย "เขา...เป็นบุรุษ...เจ้ายังจะแต่งอยู่อีกหรือไม่"
เยว่ เฟยหลงนิ่งไปชั่วขณะ...ไม่ใช่เพราะรังเกียจที่ต้องแต่งกับบุรุษ ในโลกเก่าของเขาเรื่องเช่นนี้เป็นเรื่องธรรมดาสามัญ แต่เขาตกใจที่โชคชะตาเล่นตลกกับเขาถึงเพียงนี้ เขามองเห็นความเจ็บปวดและความละอายใจในแววตาของบิดา...ชายผู้ซึ่งมอบความรักให้เขาอย่างจริงใจในโลกที่โหดร้ายใบนี้
เขาจะไม่ยอมให้บิดาต้องลำบากใจหรือเสียเกียรติเพราะเขาเป็นอันขาด
เยว่ เฟยหลง ค่อยๆ คุกเข่าลง ก้มศีรษะจรดพื้นอย่างนอบน้อม
"ท่านพ่อ...หนี้ชีวิตต้องทดแทนด้วยชีวิต...สัญญาต้องรักษายิ่งชีพ"
เขาเงยหน้าขึ้น สบตากับบิดาอย่างแน่วแน่
"ข้าจะแต่งขอรับ"
