บทที่ 4
“คุณมาทำอะไรที่นี่” ประโยคคำถามที่เหมือนกันดังขึ้นจากปากของทั้งคู่อีกครั้ง คราวนี้ทั้งสองต่างเลิกลั่กกระทั่งรติชาชิงตั้งคำถามขึ้นมาอีกครั้ง
“คุณมาทำอะไรที่นี่คะ”
“แล้วคุณล่ะครับมาทำอะไรที่นี่” แทนที่จะตอบคำถามนั้นของรติชา ปิลันธน์กลับตั้งคำถามแบบเดียวกันกลับมาเสียได้ รติชาเป่าลมออกปากหนักๆ เพราะถ้ามัวแต่ถามกันไปถามกันมาคงไม่ได้คำตอบแน่
“ฉันมาทำงาน”
“ทำงาน”
“ค่ะ” รติชาเอ่ยรับพร้อมกับเพ่งสายตามองชายตรงหน้าไปด้วยหรือว่าเขาจะเป็นเจ้านาย ถ้าใช่นี่โลกมันจะกลมไปถึงไหน
“หรือว่าคุณคือเลขาคนใหม่ที่จะมาช่วยงานตอนที่คุณเอมลาคลอด” ปิลันธน์เอ่ยถามขึ้นทันที อะไรมันจะประจวบเหมาะขนาดนี้
“ใช่ค่ะ...ฉันชื่อรติชา” รติชาพยักหน้ารับอย่างตรงไปตรงมา
“โอเค งั้นเราก็คนกันเอง”
“คนกันเองหรือคะ” เครื่องหมายคำถามเกิดขึ้นบนใบหน้าของรติชาอีกครั้งเพราะไม่ค่อยเข้าใจความหมายของคำว่าคนกันเองที่ชายตรงหน้าพูดสักเท่าไหร่ จะว่าไปแล้ววันนี้มันวันอะไรของเธอ
“คุณเอมน่าจะบอกคุณบ้างแล้วว่าเจ้านายของเธอชื่อว่าอะไร”
“บอกค่ะว่าชื่อคุณปิลันธน์ อย่าบอกนะคะว่าคือ...คุณ”
“ครับ ยินดีที่ได้รู้จักอย่างเป็นทางการคุณเลขา” ปิลันธน์ส่งยิ้มให้รติชาซึ่งน้อยคนนักจะเห็นรอยยิ้มของเขา ทว่าเวลานี้รติชายืนอึ้งจึงไม่ได้สนใจรอยยิ้มนั้นของอีกฝ่ายเท่าไหร่ ก่อนจะดึงสติกลับมาแล้วเอ่ยทักทายกลับไป
“ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันค่ะ”
“เมื่อเช้าเราคงทำความรู้จักกันรุนแรงไปหน่อย แต่ผมก็ให้อภัยได้เพราะเข้าใจว่าคุณคงไม่ได้ตั้งใจ”
“ค่ะ ฉันไม่ได้ตั้งใจจริงๆ”
“แต่ผมขอชมเรื่องงานว่าคุณเก่งอย่างที่คุณเอมบอกไว้” นั่นเพราะวันนี้ตอนประชุมเขาขอไฟล์งานจากรติชาหลายไฟล์โดยคิดว่าเป็นอรสาและเธอก็ทำได้ดี
“ขอบคุณค่ะ”
“ผมเห็นรถผมจอดอยู่ที่หน้าบริษัท คุณขับมาเหรอ”
“ค่ะ...ฉันไม่อยากจอดไว้ริมถนน ก็นึกแปลกใจอยู่ว่าทำไมตอนมาถึงรปภ.ถึงยกกรวยตรงที่จอดวีไอพีออกให้แถมยังตรงมาตะเบ๊ะใส่ฉันอีก” ความสงสัยในใจของรติชาตอนนั้นเวลานี้เหมือนจะกระจ่างแล้ว ที่แท้ก็คงคิดว่าเธอคือบอสสินะ
“เขาคงคิดว่าเป็นผม แต่ยังไงก็ขอบคุณที่ช่วยจัดการให้”
“ไม่เป็นไรค่ะ เพราะยังไงฉันก็ผิดแต่คุณก็ไม่ควรไว้ใจฉันถึงขนาดยื่นกุญแจรถให้แบบนั้น ถ้าฉันเป็นโจรขึ้นมาทำไง”
“รถผมติดจีพีเอส ถ้าคุณขับออกนอกลู่นอกทางผมจะรู้และตำรวจจะไปทันที” คำพูดของปิลันธน์ทำให้รติชาแอบมองบนใส่เล็กน้อย ก่อนที่เสียงทุ้มจะถามต่อ “แล้วเมื่อกี้คุณก้มไปหาอะไรใต้โต๊ะ”
“หากุญแจรถค่ะ พอดีฉันทำตกแต่ตอนนี้หาเจอแล้ว ส่วนนี่กุญแจรถบอสค่ะ” เอ่ยบอกเสร็จรติชาก็ยื่นกุญแจรถให้ซึ่งปิลันธน์ก็รับคืนไป
“ขอบคุณ ส่วนคุณเลิกงานแล้วก็กลับไปพักผ่อนเถอะ ไม่ต้องรอผมหรอก” ปิลันธน์เอ่ยบอกจากนั้นก็ตรงไปยังห้องทำงานเพราะมีงานที่ต้องเคลียร์ให้เสร็จภายในวันนี้
“ไม่ต้องบอกก็ตั้งใจจะกลับอยู่แล้วค่ะบอส” รติชาเอ่ยตามหลังเพราะเธอไม่มีความจำเป็นต้องรอเจ้านายอย่างปิลันธน์ในเมื่องานของตัวเองเสร็จหมดแล้ว เวลาเลิกงานคือต้องเลิกงานไม่ใช่นั่งติดเก้าอี้เพื่อให้คนอื่นมองว่าเธอขยัน
เมื่อเธอเดินไปแล้วปิลันธน์ก็หันกลับมามอง เพราะเขาเองก็ไม่คิดว่าจะได้เจอเธออีกครั้งแถมยังมาทำหน้าที่เป็นเลขาส่วนตัวตอนที่อรสาลาคลอดอีกด้วย ปิลันธน์หยุดคิดเรื่องนี้แล้วดึงสติกลับมาทำงานที่ยังค้างอยู่ให้เสร็จ
ส่วนรติชาก็แวะซื้อมื้อเย็นระหว่างทางเล็กน้อยจากนั้นก็ตรงไปยังคอนโดมิเนียมส่วนตัว เมื่อเปิดประตูเข้าไปได้ก็จัดการถอดรองเท้าส้นสูงออกมาใส่สลิปเปอร์นุ่มๆ แทน ดึงชายเสื้อออกมาจากกางเกงทำงาน มัดผมขึ้นแล้วม้วนเป็นมวยไว้กลางศีรษะ
ล้างมือจนสะอาดแล้วจึงหันมาจัดการเทอาหารใส่จานลายสวยที่ไปเดินเลือกซื้อเองทุกชิ้น รินน้ำเย็นๆ ใส่แก้ว หยิบผลไม้และสลัดในตู้เย็นออกมาวางบนโต๊ะ จากนั้นก็นั่งกินมื้อเย็นริมกระจกเสพบรรยากาศมุมสูงของชั้นยี่สิบสอง วิวตรงนี้สามารถมองเห็นเมืองกรุงได้เกือบร้อยแปดสิบองศา แม้กลางคืนจะดูเหงาแต่มันก็มีเสน่ห์ไปอีกแบบ
รติชานั่งกินข้าวไปได้เกินครึ่งเสียงโทรศัพท์มือถือของเธอก็ดังขึ้น หญิงสาวยื่นมือไปคว้ามาดูพอเห็นว่าใครจึงกดรับสาย
“ว่าไงจ๊ะ”
“ฉันต่างหากที่ต้องถามคำถามนั้น” โสภิตาแย้งกลับไป เธอรู้ว่าวันนี้เพื่อนสนิทไปรับจ๊อบเป็นเลขาชั่วคราว เพราะรุ่นพี่อย่างอรสากำลังจะลาคลอด
“อ้าวเหรอ”
“ไปทำงานวันแรกเป็นไงบ้าง”
“ระทึกตั้งแต่เช้า”
“ยังไง ไหนเล่าสิ”
ปลายสายรอฟังอย่างตั้งใจ เพราะทั้งเธอและรติชาก็ต่างรู้จักและสนิทกับอรสามาตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัยแล้ว พอจบมาทำงานก็ยังไปมาหาสู่ถามไถ่สารทุกข์สุกดิบเรื่อยมา งานแต่งงานของอรสาคนที่ได้รับช่อดอกไม้เจ้าสาวก็คือรติชา แต่ผ่านมาสามปีแล้วพื่อนเธอคนนี้ก็ยังโสดสนิท โสดแบบไม่น่าโสดเพราะรติชาเพียบพร้อมไปหมดทุกอย่างออกขนาดนี้
“ก็เมื่อเช้าฉันขับรถชน”
“จริงเหรอ แล้วแกเป็นไงบ้าง” น้ำเสียงของโสภิตานั้นฟังดูตกใจ
“สบายดี ชนท้ายนะไม่ได้ร้ายแรงอะไร”
“โล่งอกไป”
“เคลียร์ประกันยังไม่ทันเสร็จดีเจ้าของรถที่ฉันขับไปเสยท้ายก็ต้องรีบไป แถมเขายังกล้าทิ้งกุญแจรถคันเกือบสิบล้านไว้ที่ฉันอีก”
“นี่ฝ่ายนั้นกล้าทิ้งกุญแจรถให้แกเลยเหรอ” โสภิตาถามหน้าตื่นเพราะไม่เคยเจอเคสอะไรแบบนี้สักเท่าไหร่
“ใช่...ฉันเลยต้องรับผิดชอบจนเคลียร์กับประกันเสร็จ พอเสร็จจากตรงนั้นฉันต้องขับรถตัวเองไปบริษัทแล้วย้อนกลับมาขับรถฝ่ายนั้นไปจอดด้วยเพราะไม่รู้ว่าจะไปจอดไว้ที่ไหน ยังไม่จบเพราะทำงานกันอยู่ดีๆ พี่เอมน้ำเดินต้องเรียกรถพยาบาลมารับ”
“ระทึกของจริง”
“ยังไม่หมดแค่นั้นนะสิ”
“ยังมีอีกเหรอ”
“อันนี้เรียกระทึกและพีคขั้นสุด เพราะเจ้าของรถคันที่ฉันขับไปเสยคือคุณปิลันธน์ ซึ่งคุณปิลันธน์เนี่ยเป็นเจ้านายพี่เอม” คนฟังได้แต่นั่งกระพริบตาปริบๆ แล้วจินตนาการตามคำพูดของรติชา ซึ่งแต่ละเหตุการณ์ที่เพื่อนสนิทเจอวันนี้เรียกได้ว่าไต่ความระทึกมาตั้งแต่เช้าเลยก็คงไม่ผิด แถมข้อสุดท้ายสมกับคำว่าพีคอย่างไม่ค้านสายตา
“อะไรมันจะประจวบเหมาะขนาดนั้น”
