บท
ตั้งค่า

บทที่ 7 แม่ทัพใหญ่แห่งแคว้นหลิง

“หวางเฉินซีมาแล้วหรือ” หลิวหงทักทายสตรีร่างบางที่เดินเข้ามาใหม่ เจ้าของชื่อยอบกายคารวะผู้สูงศักดิ์กว่าอย่างนอบน้อม แม้จะอดรู้สึกแปลกใจไม่ได้ที่หลิวฮูหยินรู้จักชื่อแซ่ของนาง

“มานั่งเถิด” สตรีหงส์ลุกขึ้นเดินไปจับมือบางของนางพร้อมพาเดินมานั่งอยู่ข้างกาย ฝั่งตรงข้ามกับบุรุษร่างสูง ในตอนที่นั่งลงบนเก้าอี้ทำให้หวางเฉินซีได้เห็นหน้าบุรุษผู้นั้นเต็มสองตา ดวงตาคู่งามเบิกกว้างขึ้นด้วยความตกใจยิ่งกว่าเห็นผี ในขณะที่หลางจิ้นถงเองก็ย่นคิ้วกระบี่เข้าหากันด้วยความตกใจไม่ต่างกัน หากแต่เขาไม่ได้แสดงอาการมากเท่าใดนัก

“เจ้า!”

“ท่าน!”

ทั้งเขาและนางต่างลุกขึ้นชี้หน้ากันด้วยความตกตะลึง ไม่นึกไม่ฝันว่าจะได้มาเจอกันในสถานที่แห่งนี้ พลันไม่นานหลางจิ้นถงก็เปล่งเสียงหัวเราะแหบห้าวขึ้นมาในลำคอ ก่อนจะหันไปสบตากับหลิวฮองเฮาที่กำลังส่งสายพระเนตรมองเขาและนางสลับกันไปมาด้วยความสงสัย

“นี่น่ะหรือคนที่เสด็จป้าต้องการให้หลานรู้จัก”

“เสด็จป้างั้นหรือ” หวางเฉินซีพึมพำเสียงเบา ดูเหมือนว่าหลิวฮูหยินจะไม่ได้มาจากตระกูลขุนนางธรรมดาๆเสียแล้ว ฟังจากคำเรียกของไอ้ลูกเต่าที่ขานเรียกนางเมื่อครู่นี้ หวางเฉินซีจึงคิดว่าหลิวฮูหยินคงเป็นเชื้อพระวงศ์อย่างแน่นอน

“พวกเจ้าสองคนรู้จักกันมาก่อนหรือ”

ไวเท่าความคิด หวางเฉินซีก็เอ่ยปากตอบหลิวหงทันใด

“ชายผู้นี้เป็นทหารปลายแถวของแม่ทัพใหญ่หลางจิ้นถง ข้าเคยช่วยชีวิตเขาเอาไว้เจ้าค่ะ แต่เขากลับคิดอกตัญญูต่อผู้มีพระคุณบุกไปข่มขู่ข้าถึงเรือน” ได้ทีจึงเอ่ยปากฟ้อง คิดว่าหลิวฮูหยินต้องเข้าข้างนางอย่างแน่นอน

ปัง!

มือหนาตบลงบนโต๊ะเสียงดังพลางส่งสายตาดุดันมองไปยังคนตัวเล็กที่กำลังเปิดปากพูดด้วยน้ำเสียงเจื้อยแจ้วอย่างไม่เกรงกลัว

“อย่าพูดจาพล่อยๆต่อหน้าเสด็จป้า”

“ดูสิเจ้าคะ ขนาดนี้แล้วเขายังข่มขู่ข้าอยู่เลย ฮูหยินให้ความเป็นธรรมกับข้าด้วยเจ้าค่ะ” หวางเฉินซีหันไปสบตากับหลิวหง ร้องขอความเห็นใจจากนาง ในขณะที่คนตัวโตขบกรามแน่นจนเห็นสันนูนเด่นชัดด้วยความโมโห นึกอยากจะเลาะฟันคนปากดีออกให้หมดปากเสียตอนนี้เลย

“ถงเอ๋อร์นางเป็นแขกของป้า” หลิวฮองเฮาเอ่ยปรามหลานชายเสียงเรียบ ในชีวิตของหลางจิ้นถงไม่เคยเกรงกลัวผู้ใด ยกเว้นหลิวฮองเฮาเพียงคนเดียวที่เขาให้เกียรติและนับถือนาง ชายหนุ่มกำพร้าบิดามารดามาตั้งแต่เด็ก แต่ยังโชคดีได้หลิวหงผู้เป็นป้าซึ่งเป็นพี่สาวแท้ๆของมารดาของเขาอุ้มชูเลี้ยงดูมาจนเติบใหญ่ เขาจึงรักและนับถือนางราวกับมารดาแท้ๆคนหนึ่ง

‘ถงเอ๋อร์งั้นหรือ'

หวางเฉินซีมองไปยังคนหน้าดุที่นั่งนิ่งด้วยความสงสัย รับรู้ได้ว่าเรื่องนี้มีบางอย่างพิลึกชอบกล หลิวฮองเฮาเห็นท่าทางผิดปกติของสตรีรุ่นลูกจึงทอดรอยยิ้มให้อย่างอ่อนโยน กล่าวกับนางเสียงนุ่ม

“หลานชายของข้าคนนี้ไม่ใช่ทหารปลายแถวอย่างที่เจ้าเข้าใจหรอก แต่เขาคือแม่ทัพใหญ่หลางจิ้นถงผู้คุมกองทัพทั้งหมดในแคว้นหลิง”

วาจาของหลิวฮองเฮาทำให้หวางเฉินซีแทบจะลมจับ หญิงสาวเซถลาจนต้องใช้มือจับพนักเก้าอี้เอาไว้ไม่ให้ตนเองล้มลง ครั้นพอหันไปสบตากับหลางจิ้นถงก็รู้สึกได้ว่ายามนี้ร่างกายชาวาบตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า

“หากหลานชายของข้าทำตัวไม่เหมาะสม ข้าต้องขอโทษแทนถงเอ๋อร์ด้วย หวังว่าเจ้าจะไม่ถือสา”

“เสด็จป้า!” หลางจิ้นถงขานเรียกผู้เป็นป้าอย่างไม่เห็นด้วย สตรีสูงศักดิ์อย่างหลิวฮองเฮาไม่ควรออกหน้าขอโทษสตรีสามัญอย่างหวางเฉินซีแทนเขา หากแต่เมื่อเห็นสายตาดุๆของผู้เป็นป้าที่ทอดมองมา เขาจึงเงียบเสียงลงไปในทันที

“ข้าไม่กล้าถือสาท่านแม่ทัพหรอกเจ้าค่ะ” หวางเฉินซีตอบเสียงอ่อย นึกถึงวาจาที่ซูเยว่เคยบอกนางว่าหลางจิ้นถงสังหารคนราวกับผักปลาก็รู้สึกหวาดกลัวเขาขึ้นมาทันที

“ดียิ่ง เช่นนั้นทานข้าวกันเถอะ เดี๋ยวอาหารจะเย็นชืดเสียก่อน” หลิวหงกล่าวพลางคีบขาหมูชิ้นใหญ่ให้หวางเฉินซี หญิงสาวกล่าวคำขอบคุณเสียงเบา ได้แต่นั่งตัวลีบกินอาหารอย่างเงียบๆ รู้สึกว่าอาหารที่ร้านน้ำชาชื่อดังของแคว้นหลิงช่างฝืดคอยิ่งนัก ไม่รู้ว่าเป็นเพราะรสชาติของอาหาร หรือเพราะสายตาของคนตัวโตที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกันแน่

หลังจากรับประทานอาหารเสร็จ สนทนากับหลิวหงต่อสักพักหนึ่ง หวางเฉินซีจึงขอตัวกลับ โดยอ้างว่าต้องรีบกลับไปรดน้ำแปลงดอกไม้ที่ปลูกอยู่ที่เรือน หลิวฮองเฮาไม่รั้งหญิงสาวเอาไว้ เพราะรับรู้ได้ถึงความอึดอัดของนางจึงยอมให้นางจากไปแต่โดยดี

“เสด็จป้า หลานไม่ชอบนาง” คล้อยหลังจากที่หวางเฉินซีจากไป หลางจิ้นถงก็ได้หันมาคุยกับหลิวฮองเฮาตามตรง ไยจะไม่รู้ว่าที่ฮองเฮานัดพบในวันนี้ เพราะต้องการจะจับคู่ให้เขากับสตรีผู้นั้น หากแต่วาจาของเขาทำให้นางถอนหายใจออกมาเสียงดัง

“เจ้าไม่ชอบนางแต่ป้าชอบ นางเป็นคนดี กล้าหาญและจริงใจ”

“เช่นนั้นเสด็จป้าก็รับนางไว้เถิดพ่ะย่ะค่ะ แต่หลานไม่ขอรับ” ร่างสูงผุดลุกขึ้นยืนจากเก้าอี้ ก้มศีรษะลงคารวะสตรีสูงศักดิ์ก่อนจะเดินออกไปจากห้องด้วยความรวดเร็ว

“ถงเอ๋อร์นะถงเอ๋อร์!” หลิวฮองเฮามองตามแผ่นหลังกว้างของหลานชายด้วยความหงุดหงิด ทันทีที่ประตูปิดลง ถานเม่ยนางกำนัลคนสนิทก็รีบปรี่เข้ามาหาเจ้านายทันที

“ฮองเฮาเพคะ ถึงแม้ว่าแม่นางหวางจะนิสัยดีก็จริงอยู่ แต่นางเป็นสตรีที่เคยผ่านการแต่งงานมาแล้วนะเพคะ”

“เจ้าพูดจริงหรือ” พระเนตรงามเบิกกว้างขึ้นพลางหันมาสบตากับนางกำนัลคนสนิท เมื่อเห็นนางผงกศีรษะรับจึงนิ่งไปเล็กน้อย

“จริงเพคะ อดีตนางเคยแต่งงานกับเริ่นกั๋วกง ทว่าได้หย่าร้างกันเมื่อหนึ่งเดือนก่อน อีกทั้งยังโดนขับไล่ออกมาจากจวนสกุลหวาง ยามนี้จึงเช่าเรือนไม้หลังเล็กอยู่ที่นอกเมืองเพคะ"

“น่าสงสารนางยิ่งนัก” หลิวฮองเฮาเปรยสุรเสียงเบา จากคุณหนูในห้องหอต้องโดนขับไล่ออกจากจวน พ่อแม่ประเภทไหนกันที่ทำกับบุตรสาวในไส้ของตนเองเช่นนี้

วาจาของหลิวฮองเฮาทำให้ถานเม่ยแปลกใจเป็นอย่าง นางคิดว่าฮองเฮาจะทรงรับไม่ได้เสียอีก

“ฮองเฮาไม่ทรงรังเกียจนางหรือเพคะ”

“เหตุใดข้าจะต้องรังเกียจ ข้าเห็นใจนางมากกว่าด้วยซ้ำไป คิดว่าคนดีๆเช่นนางไม่ควรที่จะต้องมาเจอเรื่องอะไรเช่นนี้ ยิ่งรู้อย่างนี้แล้วยิ่งอยากได้นางเป็นหลานสะใภ้”

“แต่ท่าทางของท่านแม่ทัพเมื่อครู่นี้ดูจะไม่ชอบนางเป็นอย่างมากเลยนะเพคะ” ใบหน้าของถานเม่ยเต็มไปด้วยความกลัดกลุ้ม

“ก็ต้องรอดูกันต่อไป” หลิวหงเอ่ยพลางยกจอกน้ำชาขึ้นจิบ รู้ว่าหลางจิ้นถงเป็นคนใจแข็งยิ่งกว่าหุบเขาน้ำแข็ง แต่นางเชื่อว่าความดีของหวางเฉินซีจะสามารถหลอมละลายน้ำแข็งอย่างหลานชายของนางได้ในสักวันหนึ่ง

หวางเฉินซีก้าวลงจากบันไดด้วยความเร่งรีบ ในขณะที่ซ่าวจิ่นสาวเท้าตามเจ้านายมาอย่างติดๆ นึกสงสัยไม่น้อยว่าคุณหนูของนางไปเจอเรื่องอะไรมากันแน่ ก่อนเข้าไปพบหลิวฮูหยินยังมีใบหน้าที่สดใส ต่างจากตอนนี้ที่ดวงหน้างามซีดเผือดราวกับคนโดนผีหลอกมาก็มิปาน

ร่างบางเดินตรงไปยังประตู ทว่ายังไม่ทันจะได้ก้าวเดินออกไป ก็มีคนจากภายนอกเดินสวนเข้ามาเสียก่อน เมื่อสบตากันต่างฝ่ายก็ต่างชะงักไปเล็กน้อย แต่ไม่นานปากบางของหวางฝูหรงก็เหยียดยิ้มออกจากกัน กวาดสายตามองน้องสาวต่างมารดาตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าอย่างดูถูก

“ทำตัวอวดดีหอบข้าวของออกไปจากจวนสกุลหวาง ข้าก็นึกว่าจะไปได้ดี แต่ดูจากการแต่งกายของเจ้าแล้วคงจะลำบากมากสิท่า”

หวางเฉินซีสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ ไม่อยากต่อล้อต่อเถียงกับสตรีตรงหน้าให้เสียเวลาทำมาหากิน นางจึงเบี่ยงกายทำท่าจะเดินหลบไปอีกทาง หากแต่หวางฝูหรงไม่ยอมปล่อยนางไปง่ายๆ ก้าวเข้ามาขวางหน้าของนางเอาไว้เสียก่อน

“ข้าพูดความจริงถึงกับรับไม่ได้เชียวหรือ”

“ไม่ใช่ว่ารับความจริงมากได้ แต่ข้าพอใจกับสิ่งที่เป็นอยู่ ออกมาอยู่คนเดียวก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไร รู้สึกสบายใจยิ่งกว่าตอนอยู่สกุลหวางเสียด้วยซ้ำ เพราะไม่ต้องเจอหน้าปีศาจร้ายสองแม่ลูก” หวางเฉินซีเน้นเสียงในประโยคสุดท้าย

ดวงตากลมโตของหวางฝูหรงลุกวาวขึ้น จากแววตาหยามเหยียดแปรเปลี่ยนเป็นความกรุ่นโกรธ คนที่มีความอดทนต่ำเช่นนางไหนเลยจะทนฟังวาจาสามหาวของผู้อื่นได้ โดยเฉพาะหากคนผู้นั้นคือหวางเฉินซีคนที่ตกเป็นเบี้ยล่างของนางมาโดยตลอด

“ดูเหมือนว่าเจ้าจะปากกล้าขึ้นมากนะ”

“ข้าด่าเฉพาะคนที่สมควรถูกด่าเท่านั้น”

“เจ้าช่างไม่เจียมกะลาหัวเลยเสียจริง แต่ก็เอาเถิด วันนี้ข้าอารมณ์ดีจะไม่ถือสาเจ้าสักวันก็แล้วกัน” เอ่ยพลางหันไปหยิบถุงเงินออกมาจากข้างเอวพร้อมยื่นไปให้หวางเฉินซี เมื่อเห็นนางมองด้วยความแปลกใจจึงกระตุกยิ้มขึ้นที่มุมปาก

“อย่างไรเสียเราก็ ‘เคย' เป็นคนในครอบครัวเดียวกัน เงินนี่ข้าให้เจ้าเอาไปซื้อผ้ามาตัดชุดสวยๆใส่ก็แล้วกัน”

หวางเฉินซีมองถุงเงินในมือของนางจึงแย้มยิ้มคืนให้บางๆ

“เก็บเงินของท่านไว้เถอะ ข้าไม่ใช้เงินไปกับเรื่องไร้สาระพรรค์นั้นหรอก คนงดงามเช่นข้าไม่ว่าแต่งตัวอย่างไรก็งดงาม แต่บางคนต้องหาอาภรณ์หรูหราราคาแพงมาสวมใส่เพื่อทำให้ตนเองงดงาม ข้ารู้สึกเหนื่อยแทนยิ่งนัก” หวางเฉินซีไม่ได้พูดเกินจริง นักเขียนเรื่องนี้บรรยายหน้าตานางเอกหวางเฉินซีว่าเป็นหญิงงามอันดับหนึ่งในแคว้นหลิง นางงดงามราวกับไซซี ก็จินตนาการเอาดูเถอะว่าจะงดงามเพียงใด

หารู้ไม่ว่าวาจาของนางทำให้มือเล็กของหวางฝูหรงกำแน่นเข้าหากันด้วยความโมโห หวางเฉินซีแร้นแค้นจนไม่มีอันจะกินแล้วยังไม่เจียมตัวอีกหรือ!

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel