บทที่ 5 เจอกับคนใหญ่คนโต
“บัดซบเอ๊ย!” เขาเปล่งเสียงคำรามขึ้นมาเสียงดังด้วยความโมโห หันขวับมาทางด้านหลังมองหวางเฉินซีอย่างเอาเรื่อง ในขณะที่ภรรยาของเขารีบวิ่งมาหลบอยู่ข้างหลังของหวางเฉินซีอย่างรวดเร็ว
“ช่วยด้วยเจ้าค่ะ ข้ากลัว” ดรุณีวัยกำดัดอายุรุ่นราวคราวเดียวกับหวางเฉินซีและซูเยว่เปล่งเสียงร้องไห้ออกมาด้วยความหวาดกลัว ในขณะที่ชายร่างหนาสาวเท้าเข้ามาหมายจะสั่งสอนหวางเฉินซีที่กล้าใช้ไม้ตีเขา!
“อย่าเข้ามานะ! หาไม่ข้าจะฟาดเจ้าด้วยไม้ท่อนนี้จริงๆด้วย” ซูเยว่รีบเข้ามาขวาง ชายผู้นั้นจึงชะงักฝีเท้าไปเล็กน้อย เมื่อเห็นสตรีทั้งสองคนต่างถือท่อนไม้เป็นอาวุธเอาไว้
“ข้ากับนางเป็นสามีภรรยากัน คนภายนอกอย่าได้มายุ่งเกี่ยว”
“ที่เขาพูดเป็นเรื่องจริงหรือไม่” หวางเฉินซีผินหน้ากลับไปถามคนที่หลบอยู่ทางด้านหลังเพื่อความแน่ใจ
“ใช่เจ้าค่ะ แต่ข้าหย่าขาดจากเขาแล้ว ทว่าเขายังตามราวีไม่เลิกรา”
คำตอบของนางทำให้หวางเฉินซีหันกลับมาสบตากับชายร่างหนาอดีตสามีของคนที่ร้องไห้ตัวสั่นระริกอยู่ทางข้างหลังของนางแทน
“นางกับเจ้าเลิกรากันไปแล้ว ไยถึงไม่ต่างคนต่างอยู่”
“ข้ากำลังงอนง้อนาง ส่งนางมาให้ข้าเดี๋ยวนี้!” เขาตอบนางเสียงห้วน แววตาถมึงทึงดูน่ากลัว เมื่อได้มายืนเผชิญหน้ากันเช่นนี้ทำให้หญิงสาวได้กลิ่นสุราออกมาจากร่างหนาอย่างชัดเจน
“เจ้าไม่มีสิทธิ์ทำร้ายร่างกายผู้ใด โดยเฉพาะคนที่เจ้าเรียกว่าภรรยา”
“โธ่เว้ย! พูดไม่รู้เรื่อง!” เขาสบถใส่นางอย่างหัวเสีย จากนั้นจึงก้าวไปยังแผงขายผ้าไหมพร้อมกับใช้เท้าถีบแผงไม้ขายของเล็กๆจนล้มลง ผืนผ้าไหมสีสวยโดนเศษดินเศษฝุ่นจนเปื้อนไปหมด จากผ้าไหมเนื้อดีกลายเป็นผ้าไหมไร้ราคาไปในชั่วพริบตา
โครม! ตุ้บ!
ชายร่างใหญ่ใช้เท้าเหยียบไปบนผืนผ้าไหมของนาง ขณะที่ซูเยว่กรีดร้องด้วยความตกใจรีบวิ่งเข้าไปยกท่อนไม้ตีไปที่แผ่นหลังของชายผู้นั้น ทว่านางกลับโดนเขาผลักออกจนล้มคะมำไปบนพื้น
“ซูเยว่เป็นอะไรหรือไม่” หวางเฉินซีรีบปรี่เข้าไปประคองสาวใช้ แต่ซูเยว่กลับส่ายศีรษะไปมาทั้งน้ำตา
“คุณหนูเจ้าคะ ผ้าของเรา… ฮึก”
หวางเฉินซียังไม่ทันได้ตอบอะไรก็มีใครบางคนเดินเข้ามาขัดจังหวะเสียก่อน เสียงของนางทรงอำนาจจนทำให้ชายผู้นั้นหยุดการกระทำลงทันใด
“หยุดเดี๋ยวนี้!”
“หญิงแก่น่ารำคาญผู้นี้เป็นใครกัน ถุย” เขาถ่มน้ำลายลงบนพื้น มองผู้มาใหม่ด้วยความสงสัย หากแต่ว่านางกลับยกยิ้มขึ้นก่อนจะพยักหน้าให้กับทหาร พวกเขาจึงปรี่เข้ามาจับตัวของชายร่างหนาเอาไว้และลากออกไปโดยมีเสียงโวยวายของเขาดังขึ้นตลอดทาง
“เป็นอะไรหรือไม่” น้ำเสียงของนางเต็มไปด้วยความอาทรจนหวางเฉินซีสัมผัสได้ นางเงยหน้าขึ้นประสานสายตากับสตรีวัยกลางคนที่แต่งกายด้วยชุดเรียบง่าย ทว่าแววตาและน้ำเสียงกลับบ่งบอกถึงอำนาจราวกับนางพญาหงส์
หวางเฉินซีคิดว่านางคงจะเป็นฮูหยินในตระกูลขุนนางใหญ่สักตระกูลกระมัง
“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ขอบคุณฮูหยินมากนะเจ้าคะที่มาช่วยพวกข้าเอาไว้” หญิงสาวก้มศีรษะยอบกายให้ผู้อาวุโสกว่า
“เจ้ากล้าหาญยิ่งนัก ไม่หวาดกลัวอันตรายเลยหรือ” หลิวหงถามด้วยความแปลกใจ อันที่จริงนางเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาตั้งแต่ต้นแล้ว เดิมทีตั้งใจจะเข้าไปช่วยเหลือ แต่กลับเห็นหวางเฉินซีก้าวเข้ามาเสียก่อนจึงยืนดูเหตุการณ์อย่างเงียบๆ แต่เมื่อเห็นว่าเหตุการณ์เริ่มบานปลายเกินกว่าที่นางจะรับไหวจึงรีบเข้ามาช่วยเหลือ
“หากข้าไม่ช่วย นางต้องแย่แน่ๆเลยเจ้าค่ะ ถึงแม้จะไม่รู้ว่าจะช่วยนางได้หรือไม่ แต่ก็ยังดีกว่าการไม่ทำอะไรเลยแล้วมองดูคนถูกทำร้ายต่อหน้าต่อตา”
ดูเหมือนว่าคำตอบของหวางเฉินซีจะสร้างความพึงพอใจให้กับสตรีหงส์ไม่น้อย
“แล้วผ้าไหมของเจ้าเล่า เสียหายไปไม่น้อยเลยทีเดียว” หลิวหงปรายตามองไปยังผ้าไหมที่อยู่ในมือของซูเยว่พบว่าบางผืนได้ขาดออกจากกัน บางผืนนั้นเต็มไปด้วยเศษดิน
“ไม่เป็นไรหรอกเจ้าค่ะ ชีวิตคนสำคัญกว่า”
“เช่นนั้นข้าขอเหมาซื้อผ้าไหมพวกนี้ของเจ้าได้หรือไม่”
คำถามของนางทำให้หวางเฉินซีและซูเยว่ทำตาโตรีบหันมาสบตากันทันที
“แต่ว่าผ้าพวกนี้ใช้งานไม่ได้แล้วนะเจ้าคะ” ดวงหน้างามเต็มไปด้วยความกังวล นึกสงสัยไม่น้อยว่าฮูหยินผู้นี้จะซื้อผ้าไหมไร้ค่าไปทำอะไรกันในเมื่อมันใช้งานไม่ได้แล้ว
“เจ้าอย่าได้กังวลไป ข้ามีวิธีนำมันไปใช้ก็แล้วกัน” หลิวหงมองดวงหน้างามของสตรีรุ่นลูกด้วยความชื่นชม อันที่จริงนางเองก็ยังไม่รู้ว่าจะนำผ้าไหมพวกนี้ไปทำอะไร แต่ถ้าหากไม่ตอบออกไปเช่นนั้น หญิงสาวตรงหน้าคงไม่ยอมขายให้เป็นแน่
“ได้เจ้าค่ะ หากฮูหยินกล้าซื้อข้าก็กล้าขาย” หวางเฉินซียอมจำนนต่อความต้องการของสตรีหงส์ แต่กระนั้นนางก็ลดราคาให้พิเศษ ทว่าหลังจากตกลงซื้อขายกันเรียบร้อยแล้ว สตรีหงส์เดินจากไป หวางเฉินซีจึงแกะถุงเงินที่นางให้มาออกดู เพราะรู้สึกว่ามันหนักอึ้งแบบแปลกๆจึงพบว่าสตรีหงส์ผู้นั้นให้เงินนางเกินจากราคาขายสินค้ามาหลายตำลึงเลยทีเดียว
หลังจบเรื่องวุ่นวายที่ตลาด หวางเฉินซีและซูเยว่จึงเดินทางกลับเรือนเล็ก ทว่าหนนี้พวกนางไม่ได้กลับกันเพียงแค่สองคน แต่มีซ่าวจิ่นติดตามกลับมาด้วย เพราะนางเลิกกับสามีไม่มีที่ไป หวางเฉินซีเกิดความสงสารจึงชักชวนให้มาอยู่ด้วยกัน ซ่าวจิ่นดีใจเป็นอย่างมากรีบตกปากรับคำด้วยความยินดี ก่อนจะลั่นคำปฏิญาณว่าจะรับใช้หวางเฉินซีด้วยความซื่อสัตย์ไปตลอดชีวิต
เพราะเรือนไม้ที่อาศัยอยู่มีเพียงแค่สองห้องนอน หวางเฉินซีจึงให้ซ่าวจิ่นไปพักกับซูเยว่ ซึ่งซูเยว่เองนั้นไม่ได้ติดขัดอะไร อีกทั้งยังชอบใจที่มีคนอายุรุ่นราวคราวเดียวกันมาอยู่ร่วมชายคา
วันนี้อากาศเหน็บหนาวกว่าทุกคืนที่ผ่านมา ซ่าวจิ่นจึงต้มน้ำไปให้หวางเฉินซีไว้ใช้อาบ หญิงสาวรีบอาบน้ำตั้งใจจะเข้านอนแต่หัวค่ำด้วยความอ่อนเพลียจากเรื่องวุ่นวายที่เกิดขึ้น ทว่าเพียงแค่นางล้มตัวลงนอน ในยามที่กำลังครึ่งหลับครึ่งตื่นกลับได้ยินเสียงดังมาจากหลังคา
สายลมพัดวูบผ่านมาทำให้ตะเกียงในห้องที่จุดให้ความสว่างอย่างสลัวๆดับวูบลง หวางเฉินซีรีบผุดลุกขึ้นนั่งแต่ยังไม่ทันได้ขยับกายกลับมีร่างสูงพุ่งเข้ามาใช้มือปิดปากนางเอาไว้เสียก่อน
“อื้อ!” หญิงสาวรู้สึกหวาดกลัวจนน้ำตาไหลพราก วันนี้ยังเจอเรื่องราววุ่นวายไม่พออีกหรือ จู่ๆถึงได้มีโจรบุกรุกเข้ามาถึงหอนอนของนางเช่นนี้
“ข้าต้องการสมุนไพรหยุดโลหิตของเจ้า”
“…” หวางเฉินซีนิ่งไปเล็กน้อย ครุ่นคิดถึงสมุนไพรหยุดโลหิตที่ท่านแม่ทิ้งไว้ให้ดูต่างหน้าก่อนจะจากไป ยามนี้นางมีเพียงแค่ไม่กี่หยิบมือเท่านั้น ส่วนที่เหลือมันยังคงเป็นเมล็ดพันธุ์ที่นางเพิ่งฝังลงดินไปเมื่อเช้านี้เอง
“อ่อยอ้าอ่อนอิแอ้วอ้าอะเอาใอ้ (ปล่อยข้าก่อนสิ แล้วข้าจะเอาให้)”
โจรชั่วยอมปล่อยมือออกจากปากบาง เพียงแค่นางเป็นอิสระ หญิงสาวก็ใช้ศีรษะโขกไปที่ปลายคางของเขาอย่างแรงจนชายหนุ่มหงายหน้าล้มก้นกระแทกพื้นเสียงดังตุ้บ!
“ไอ้ลูกเต่า! กล้าดีอย่างไรมาบุกรุกเรือนข้า!”
เมื่อเห็นว่าเขาพลาดท่าเสียทีให้ ร่างบางจึงรีบหมุนกายหันหลังวิ่งตรงไปยังประตู หากแต่มือยังไม่ทันได้เปิดมันออก โจรชั่วก็วิ่งเข้ามารวบกายของนางเอาไว้เสียก่อน หญิงสาวดีดดิ้นไปมา จนกระทั่งมือของนางจับผ้าปิดหน้าของเขาไว้ได้ จึงกระชากมันออกอย่างแรง เผยให้เห็นใบหน้าหล่อเหลาของใครบางคน
“ท่าน!” ทหารปลายแถวของแม่ทัพใหญ่หลางจิ้นถงนั่นเอง ประโยคสุดท้ายนางเอ่ยมันในใจ
“ฤทธิ์เยอะนักนะ” หลางจิ้นถงจัดการผลักคนตัวเล็กให้นอนลงไปบนเตียง ในขณะที่ดวงตาคู่งามเบิกกว้างขึ้นด้วยความตกใจเป็นอย่างมาก
“อย่านะ! อย่าทำอะไรข้าเลยนะ ข้าเป็นสตรีที่แต่งงานแล้ว ไม่ได้บริสุทธิ์ผุดผ่องอะไร” หญิงสาวยกมือไหว้เขาทั้งน้ำตา จำใจต้องเปล่งวาจาโกหกคำโตออกไป ด้วยหวังว่าหากเขารู้ว่านางไม่ใช่หญิงสาวบริสุทธิ์แล้วจะยอมปล่อยนางให้เป็นอิสระ
หากแต่ว่าคนฟังกลับเปล่งเสียงหัวเราะออกมาเบาๆ อีกทั้งยังยื่นหน้าเข้ามาใกล้จนปลายจมูกแทบจะชิดกันอยู่รอมร่อ
“หากข้าต้องการ ข้าไม่สนใจอะไรทั้งนั้น”
‘กรี๊ดด! ชั่วช้าที่สุด!' หวางเฉินซีนึกอยากใช้เล็บข่วนหน้าหล่อๆให้เสียโฉมยิ่งนัก ทว่าในสถานการณ์ที่ตกเป็นรอง สิ่งที่ทำได้ในตอนนี้คือการขอร้องให้เขาเห็นใจ
“อย่ากินข้าเลยนะเจ้าคะ ข้าไม่อร่อยหรอกเจ้าค่ะ”
“ต้องชิมก่อนถึงจะรู้ว่าอร่อยหรือไม่” กล่าวจบหลางจิ้นถงก็กดปลายจมูกลงบนพวงแก้มขาวของนางเบาๆ ทางด้านหวางเฉินซีถึงกับตัวแข็งทื่อ หยาดน้ำตาไหลรินออกมาอย่างไม่ขาดสาย คิดว่าต้องเสียความบริสุทธิ์ให้กับชายชั่วผู้นี้แล้วสินะ
หากแต่ว่า…
จู่ๆหวางเฉินซีก็รู้สึกเวียนหัวขึ้นมาทันควัน เมื่อนางโดนคนตัวโตผลักจนกลิ้งหลุนๆไปบนเตียง คิ้วเรียวย่นเข้าหากันด้วยความงุนงง กว่าจะรู้ตัวก็สายไปเสียแล้ว
“ท่านทำอะไรน่ะ ปล่อยข้านะ ข้าหายใจไม่ออก” หญิงสาวกล่าวเสียงเขียว มองคนร่างสูงด้วยความกรุ่นโกรธ ในขณะที่หลางจิ้นถงมองร่างบางที่ถูกห่อหุ้มด้วยผ้าห่มผืนใหญ่ที่กำลังนั่งคุดคู้อยู่บนเตียงราวกับตุ๊กตาล้มลุกด้วยความสะใจ
“ข้าจะไม่หลงกลสตรีเจ้าเล่ห์เช่นเจ้าอีกแล้ว ส่งสมุนไพรหยุดโลหิตมาแล้วข้าจะยอมปล่อยเจ้า”
