บทที่ 4 เป็นเพียงหญิงโง่คนหนึ่ง
“นางเป็นแค่หญิงโง่คนหนึ่งเท่านั้น” หลางจิ้นถงแค่นเสียงเหอะออกมาในลำคอ สตรีผู้นั้นมีตาหามีแววไม่ คิดว่าเขาเป็นเพียงแค่ทหารปลายแถวยังไม่พอ แต่กลับปากพล่อยพูดจาถึงเขาอย่างไม่ให้เกียรติ นางรู้จักเขาดีแค่ไหนกันถึงได้บอกว่าเขาเป็นคนไม่มีหัวใจ
“หากเป็นเพียงแค่หญิงโง่ธรรมดาๆคนหนึ่ง แล้วเหตุใดท่านแม่ทัพถึงจดจำนางได้เล่า” วาจาของโจวอี้เฟยทำให้คนถูกถามตวัดสายตาดุดันมายังเขาอย่างไม่พอใจนัก
“คงเป็นเพราะหญิงโง่คนนั้นช่วยข้าไว้กระมัง” ชายหนุ่มตอบเสียงห้วน
โจวอี้เฟยเปล่งเสียงหัวเราะออกมาเบาๆ ไม่น่าเชื่อว่าสตรีผู้นั้นจะทำให้ท่านแม่ทัพใหญ่หลางจิ้นถงของเขาเสียอาการได้ถึงเพียงนี้
“เอาเถิด แต่ถึงอย่างไรข้าก็อยากพบเจอนางอยู่ดี หากได้สมุนไพรห้ามเลือดของนางมาไว้ที่ค่ายของเราได้ คงเป็นประโยชน์ต่อโรงหมอในค่ายของเราไม่น้อยเลยทีเดียว”
หลางจิ้นถงหรี่ตาลงเล็กน้อยครุ่นคิดตามวาจาของโจวอี้เฟย ก่อนจะก้มหน้าลงมองรอยแผลของเขา ถึงจะรู้สึกไม่ถูกชะตากับหญิงโง่ผู้นั้นเท่าใดนัก ทว่าไม่อาจปฏิเสธได้ว่า สมุนไพรของนางมีสรรพคุณที่ดีมาก ดียิ่งกว่าบัวหิมะพันปีของฮ่องเต้เสียอีก เพราะนอกจากมันจะช่วยทำให้เลือดหยุดไหลในทันทีแล้ว ยังช่วยทำให้บาดแผลสมานเร็วขึ้นอีกด้วย บางทีเขาอาจจะต้องหาโอกาสไปพบนางอีกหนหนึ่งเพื่อพูดคุยขอซื้อสมุนไพรของนางเสียแล้วสิ และถ้าหากนางไม่ยอมขาย เขาจะหาทางบังคับข่มขู่หรือไม่ก็ปล้นนางเสียเลย
วันนี้หวางเฉินซีและซูเยว่ตื่นตั้งแต่รุ่งสาง คนทั้งสองช่วยกันนับสมบัติที่มีติดตัวอยู่ในตอนนี้พบว่ามันไม่ได้มากมายพอที่จะทำให้พวกนางสามารถอยู่อย่างสุขสบายได้ไปตลอดชีวิต หลังจากที่หย่าขาดจากเริ่นซิงหลง หวางเฉินซีไม่ได้คิดจะแต่งงานใหม่ เรื่องการแต่งงานมันเป็นเรื่องของอนาคต เพราะไม่รู้ว่าจะหาบุรุษที่ถูกใจได้หรือไม่ นางคิดว่าหวังพึ่งตัวเองเป็นการดีที่สุด
สิ่งที่ทำได้ตอนนี้คือต้องคิดหาวิธีหาเงิน หญิงสาวมองเมล็ดพันธุ์ของสมุนไพรหยุดโลหิตที่ท่านแม่ของนางหรืออนุรั่วเป็นผู้คิดค้นขึ้นมาก่อนจะนำมันไปปลูกไว้ที่สวนหลังเรือน คิดว่าหากวันหนึ่งมันเติบโตขึ้นมา นางจะนำไปติดต่อขายที่โรงหมอ
“คุณหนูเจ้าคะ บริเวณหลังเรือนมีพื้นที่กว้างขวางเราหาพืชผักหรือผลไม้มาปลูกไว้ขายดีหรือไม่เจ้าคะ”
“ข้าคิดว่าปลูกดอกไม้ขายจะดีกว่า” หวางเฉินซีคิดว่าการปลูกผักผลไม้ขายนั้นมีคู่แข่งเยอะเกินไป นางต้องการทำในสิ่งที่แตกต่างจากคนอื่น
“หากดอกไม้พวกนี้เติบโตขึ้น ข้าจะนำไปอบแห้งและทำสินค้าน่ารักๆขาย หรือทำเป็นถุงหอมก็ได้ ส่วนพวกดอกไม้สดก็นำไปจัดช่อขาย” ในยุคปัจจุบันที่นางจากมา ดอกไม้พวกนี้จะขายดีในช่วงเทศกาล ถึงแม้ยุคสมัยจะแตกต่างกัน แต่ถ้าหากนางทำออกมาอย่างสวยงามประณีตคงขายได้ไม่ยาก เพราะจวนของพวกขุนนางหรือคหบดีจะชอบมีแจกันใบใหญ่ใส่ดอกไม้ประดับ นางต้องทำให้สินค้าสวยงามแปลกตาเพื่อเรียกความสนใจจากกลุ่มลูกค้าให้ได้
“คุณหนูฉลาดยิ่งนักเจ้าค่ะ” ซูเยว่มองเจ้านายสาวอย่างทึ่งๆ ไม่นึกว่าคุณหนูของนางจะมีหัวทางด้านการค้าขายเช่นนี้มาก่อน
หวางเฉินซีจัดการแบ่งเงินออกเป็นกองย่อยๆ ส่วนหนึ่งนำไปลงทุนซื้อเมล็ดพันธุ์ดอกไม้ อีกส่วนหนึ่งจะเก็บมันไว้ใช้ในยามจำเป็น
“ซูเยว่ ข้าวของพวกนี้ข้าไม่จำเป็นต้องใช้มันแล้ว นำไปขายเถอะ”
“คุณหนูไม่เสียดายหรือเจ้าคะ”
หวางเฉินซีมองผ้าไหมเนื้อดีนับสิบผืนพร้อมส่ายหน้าไปมา “ของพวกนี้หากมีเงินก็ซื้อใหม่ได้ แต่เรื่องปากเรื่องท้องของเราในยามนี้สำคัญกว่า”
ซูเยว่พยักหน้ารับด้วยความเข้าใจ หลังจากช่วยกันเตรียมของเพื่อนำออกไปขายเสร็จ หวางเฉินซีกับซูเยว่ก็นั่งรถม้ารับจ้างไปยังตลาดกลางเมือง
ยามนี้เป็นเวลายามเซิน (15.00 - 16.59 น.) ภายในตลาดมีพ่อค้าแม่ค้าออกมาตั้งร้านขายของมากมาย ยิ่งเป็นเวลาบ่ายแก่มากเท่าใด บรรดาลูกค้าก็จะมาเดินตลาดกันมากขึ้น หวางเฉินซีและซูเยว่ได้ที่ตั้งสำหรับวางแผงขายสินค้าที่อยู่เกือบสุดทางเดินในตลาด เป็นเพราะไม่ได้มาขายของประจำทำให้บริเวณที่ทำเลดีต่างมีพ่อค้าแม่ค้าพากันจับจองไปก่อนแล้ว
แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาสำหรับหวางเฉินซี นางมั่นใจว่าหากสินค้ามีคุณภาพมากพอจะสามารถดึงดูดลูกค้าให้เข้าร้านได้เอง หญิงสาวไม่ได้ต้องการขายของเพื่อให้ได้กำไรมากมายในวันเดียว แต่นางตั้งใจตั้งราคาตามสภาพของสินค้าเพื่อไม่ให้เป็นการเอาเปรียบลูกค้าจนเกินไป
“เชิญเข้ามาแวะชมผ้าไหมเนื้อดีสวยๆ ราคาไม่แพงก่อนเจ้าค่ะ” ซูเยว่ตะโกนเรียกลูกค้าเสียงดัง เรียกความสนใจจากกลุ่มลูกค้าที่เป็นสตรีที่กำลังเดินผ่านให้แวะเวียนเข้ามาชมผ้าไหมของนางอย่างไม่ขาดสาย
“หากข้าจะขอเหมาผ้าไหมทั้งหมดของท่านจะได้หรือไม่” เสียงใหญ่ของบุรุษผู้หนึ่งดังขึ้นอยู่หน้าแผงขายสินค้า หวางเฉินซีจึงเงยหน้าขึ้นหันไปมองพบว่าเขาผู้นั้นคือเลี่ยงฉินบ่าวรับใช้ผู้ติดตามคนสนิทของเริ่นซิงหลงอดีตสามีของนางนั่นเอง
“ไม่ทราบว่าท่านต้องการผ้าไหมมากมายพวกนี้ไปทำอะไรกัน” หญิงสาวถามด้วยความแปลกใจ
“เจ้านายของข้าต้องการผ้าไหมพวกนี้ ตกลงว่าท่านจะขายให้เจ้านายของข้าได้หรือไม่”
ดวงตาคู่งามหรี่ลงเล็กน้อยพลางกระตุกมุมปากขึ้นเบาๆ ก่อนจะผงกศีรษะรับ
“ได้สิ ข้าคิดให้ในราคาเหมาหนึ่งร้อยตำลึงทองก็แล้วกัน” คำตอบของเจ้านายทำให้ซูเยว่ตาโต อันที่จริงต่อให้เหมาหมดร้านราคาผ้าไหมพวกนี้ก็ไม่ถึงหนึ่งร้อยตำลึงทองอยู่ดี ดูเหมือนว่าเลี่ยงฉินเองนั้นคิดไม่ต่างจากซูเยว่ หัวคิ้วของเขากระตุกเล็กน้อย แต่กระนั้นก็ยอมตอบรับ
“ตกลง ข้าจะซื้อผ้าไหมของท่านในราคาหนึ่งร้อยตำลึงทอง” เลี่ยงฉินรับคำอย่างเสียไม่ได้ เพราะก่อนจากมาเริ่นซิงหลงเจ้านายของเขาได้สั่งเอาไว้ ไม่ว่านางจะคิดราคาเท่าไหร่ก็ต้องซื้อผ้าไหมพวกนี้มาจากนางให้ได้
อย่างไรก็ตามเลี่ยงฉินรู้ดีว่าเริ่นกั๋วกงไม่ได้ต้องการผ้าไหมพวกนี้หรอก เขาจะอยากได้มันไปทำไมกัน ทว่าเขาเพียงแค่ต้องการช่วยเหลือหวางเฉินซีเท่านั้น เพราะอยู่รับใช้ข้างกายเจ้านายหนุ่มมานาน เขาจึงรู้ว่าเจ้านายรักฮูหยินไม่น้อย แม้กระทั่งจะหย่าร้างจากกันไปแล้วยังไม่วายส่งคนออกตามข่าวของนางอยู่เรื่อยๆ
“เลี่ยงฉินกลับไปบอกเจ้านายของเจ้าเถอะ ลงชื่อหย่าขาดจากกันแล้วก็อย่าได้มายุ่งเกี่ยวกันอีกเลย” หวางเฉินซีกล่าวเสียงเรียบ ก่อนหน้านี้ที่เรียกราคาร้อยตำลึงทองเป็นเพราะต้องการให้เขาปฏิเสธและจากไปเท่านั้น ไม่คิดว่าเลี่ยงฉินจะยอมตกลงซื้อของๆนางในราคาแพงหูฉี่เช่นนั้น หากไม่ใช่เพราะพ่อพระเอกมีเจตนาที่ต้องการช่วยเหลือนางแล้วจะเป็นอย่างอื่นไปได้อย่างไรกัน
เริ่นกั๋วกงเป็นคนดีตามแบบฉบับพระเอกในนิยาย ทว่าเสียอย่างเดียวที่เขาหูเบาและไม่หนักแน่น ปล่อยให้มารดาและคนอื่นเข้ามาแทรกแซงในความสัมพันธ์ของเขาและนางเอกหวางเฉินซีได้อย่างง่ายดาย สุดท้ายชีวิตคู่ก็ไปไม่รอดจึงต้องจบลงด้วยการแยกทาง
“คุณหนูเฉินซี กั๋วกงรู้ว่ายามนี้คุณหนูย้ายออกจากจวนสกุลหวางแล้ว อีกทั้งยังขัดสนเรื่องเงินทอง คุณหนูโปรดรับความปรารถนาดีของกั๋วกงไว้เถิดขอรับ” เลี่ยงฉินกล่าวอย่างนอบน้อม อย่างไรเสียนางก็เคยเป็นฮูหยินของเริ่นกั๋วกงมาก่อน
“เริ่นกั๋วกงมีจิตใจดียิ่งนัก ทว่าข้าต้องขออภัยที่ไม่อาจยอมรับความหวังดีของกั๋วกงได้จริงๆ เจ้ากลับไปบอกเจ้านายของเจ้าเถอะ” หวางเฉินซีปฏิเสธอย่างไรเยื่อใย เลี่ยงฉินเห็นว่านางไม่ยอมง่ายๆจึงจำต้องกลับไปรายงานเจ้านายให้ทราบ
“คุณหนูเจ้าคะ เงินหนึ่งร้อยตำลึงทองเลยนะเจ้าคะ” ซูเยว่กระซิบข้างใบหู แววตาเต็มไปด้วยความเสียดาย
“อย่าไปเสียดายเลยซูเยว่ หากข้ายอมรับความปรารถนาดีของเขา ต่อไปเขาคงยุ่งกับข้าไม่เลิกรา”
“คุณหนูหมดรักเริ่นกั๋วกงไปแล้วจริงๆหรือเจ้าคะ” ซูเยว่เอียงคอถาม รู้สึกแปลกใจไม่น้อย ที่ผ่านมาคุณหนูของนางแสดงออกว่ารักเริ่นกั๋วกงเป็นอย่างมาก
“อาจจะแค่เคยรัก” ใช่… แค่เคยรัก หากเป็นหวางเฉินซีคนก่อนน่ะใช่ แต่สำหรับหวางเฉินซีคนใหม่นี้ไม่ได้รักใคร่เริ่นซิงหลงเลยแม้แต่น้อย
ทันใดนั้นเองพลันมีเสียงเอะอะโวยวายดังขึ้นอยู่ที่บริเวณทางเดินหน้าแผงขายสินค้า เสียงนั้นดังมาพร้อมกับบุรุษร่างใหญ่คนหนึ่งกำลังฉุดกระชากลากถูสตรีร่างบางคนหนึ่งผ่านมา ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยร่องรอยฟกช้ำ
“มานี่!”
“กรี๊ดดด! ปล่อยข้านะ!”
นางพยายามดิ้นรนให้หลุดจากพันธนาการของมือใหญ่ ทว่าเขากำข้อมือบางของนางไว้อย่างแน่นหนา หวางเฉินซีสังเกตเห็นว่ามีชาวบ้านบางคนเดินเข้าไปห้ามปรามทว่าบุรุษผู้นั้นกลับตะคอกกลับมาว่า
“เรื่องของผัวเมียอย่ามาแส่!”
ในตอนที่เขาดึงสตรีผู้นั้นผ่านหน้าแผงขายผ้าไหมของหวางเฉินซี นางก็หันมาสบตาเข้ากับคนที่มองอยู่อย่างพอดี
“ช่วยด้วย” นางร้องไห้สะอึกสะอื้นอย่างน่าสงสาร มุมปากปรากฏรอยแตกจนเห็นเลือดซิบๆจากการโดนทำร้าย
“นังนี่! ข้าบอกให้เดินมาดีๆไม่ฟังใช่หรือไม่!” ชายร่างหนายกมือขึ้นหมายจะตบเข้าไปที่ข้างแก้มขาว ทว่ากลับมีอะไรบางอย่างกระแทกเข้ากับแผ่นหลังของเขาอย่างแรงเสียก่อน ทำให้เขาต้องปล่อยมือออกจากข้อมือบางของนางทันที!
