บทที่ 3 ครอบครัวสกุลหวาง
หวางเฉินซีเดินมาถึงห้องโถงรับแขกภายในจวนสกุลหวาง แลเห็นบิดานั่งอยู่กับมารดาเลี้ยงและพี่สาวต่างมารดาอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา ท่าทางของหวางปิ่งเฉวียนมีโทสะอยู่มาก ครั้นเห็นร่างบางของบุตรสาวคนเล็กเดินเข้ามา เขาก็กัดฟันจนได้ยินเสียงดังกรอด
สาวใช้คนหนึ่งเดินถือถาดใส่จอกน้ำชาเข้ามาด้านใน ก่อนจะวางมันลงกลางโต๊ะกลม หวางปิ่งเฉวียนรอจนกระทั่งนางล่าถอยขยับไปยืนอยู่ทางด้านหลัง จากนั้นเขาจึงลุกขึ้นปรี่เข้ามาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าของหวางเฉินซี
“นางลูกโง่!” ชายวัยกลางคนตะคอกเสียงดังพลางยกมือขึ้นหมายจะฟาดลงไปบนแก้มขาวของบุตรสาว ทว่าหวางเฉินซีระมัดระวังตัวไว้ก่อนแล้ว นางรีบหันไปคว้าถาดไม้ในมือของสาวใช้ขึ้นมาขวาง ทำให้ฝ่ามือใหญ่ของคนเป็นพ่อฟาดโดนกับถาดไม้อย่างแรงแทนใบหน้าของนาง
ผลั้วะ!
“ตายแล้ว! ท่านพี่เจ็บหรือไม่เจ้าคะ” ถังหลินร้องขึ้นมาเสียงดังด้วยความตกใจ รีบปรี่เข้าไปประคองสามีที่กำลังทำหน้าเหยเกด้วยความเจ็บปวด แรงกระทบบนถาดไม้ที่เขาฟาดลงไปนั้นไม่ใช่น้อยๆเลยทีเดียว
หวางเฉินซีมองฝ่ามือแดงเถือกของคนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นบิดาพร้อมลอบถอนลมหายใจออกมาเบาๆด้วยความโล่งใจ คิดว่าหากนางคว้าถาดไม้มารับไว้ไม่ทัน ป่านนี้นางคงโดนคนเป็นพ่อตบจนฟันร่วงไปแล้วเป็นแน่
“เฉินซีเจ้ากล้าดีอย่างไรถึงได้ทำร้ายท่านพ่อ” หวางฝูหรงตวัดสายตามองนางด้วยความไม่พอใจ ก่อนจะเดินลิ่วเข้าไปหาคนเป็นพ่อกล่าวด้วยน้ำเสียงออดอ้อน
“ท่านพ่อเจ็บหรือไม่เจ้าคะ”
"พ่อไม่เป็นอะไรลูก” หวางปิ่งเฉวียนตอบบุตรสาวคนโตด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ต่างจากน้ำเสียงและสายตาที่ใช้มองหวางเฉินซี หญิงสาวเห็นท่าทางของคนเป็นพ่อจึงรู้ได้ทันทีว่าเขารักลูกไม่เท่ากัน ในนิยายกล่าวถึงความสัมพันธ์ของคนในครอบครัวสกุลหวางไว้ว่า ทุกคนมองนางเอกหวางเฉินซีไม่ต่างจากสาวใช้ในจวนคนหนึ่ง แม้กระทั่งหวางปิ่งเฉวียนผู้เป็นบิดาของนางเองก็ตาม
“เจ้ามันเป็นคนโง่ อุตส่าห์ได้ตบแต่งเป็นถึงฮูหยินใหญ่ของเริ่นกั๋วกงแต่กลับทำเรื่องงามหน้า ถึงขนาดกล้าทำร้ายซิ่วฮูหยินแม่สามีของเจ้า”
หวางเฉินซีนิ่วหน้าเข้าหากัน กลอกตามองบนด้วยความเบื่อหน่าย คนพวกนี้คงเกลียดนางเข้าไส้กระมัง ไม่ว่านางจะแก้ตัวอย่างไรก็คงไม่มีใครฟังหรอก
“ข้าไม่ได้ทำเจ้าค่ะ” หญิงสาวสวนกลับสั้นๆ
“หากไม่ได้ทำแล้วจะยอมหย่ากับเริ่นกั๋วกงทำไมกัน” ถังหลินเบ้ปากมองบุตรสาวนอกไส้ด้วยความหมั่นไส้
“เพราะข้าไม่อยากทนใช้ชีวิตอยู่กับบุรุษโง่งมที่ยอมให้มารดาจูงจมูกชักจูงไปตามทางที่ต้องการ โตขนาดนั้นยังไม่มีความคิดเป็นของตัวเองอย่างเริ่นกั๋วกงหรอก” หญิงสาวยกมือขึ้นกอดอกพลางเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะหันมาสบตากับถังหลินและมองเลยมายังหวางฝูหรง
“เจ้ามองหน้าข้าทำไมกัน” นางตะคอกใส่น้องสาวต่างมารดาเสียงแข็ง
“อันที่จริงเรื่องนี้มีคนใส่ร้ายข้า หากท่านพ่อลองเปิดหูเปิดตาสืบหาความจริงก็ลองถามฮูหยินใหญ่กับพี่สาวฝูหรงดูสิเจ้าคะ เผื่อพวกนางจะยอมบอกความจริงกับท่าน” หวางเฉินซีแค่นยิ้มหยัน หารู้ไม่ว่าวาจาของนางทำให้ถังหลินและหวางฝูหรงหันขวับมาสบตากันโดยไม่ได้นัดหมาย ยิ่งเห็นสายตาของหวางปิ่งเฉวียนที่มองมาด้วยความแปลกใจแกมสงสัยยิ่งทำให้พวกนางร้อนตัว
“เจ้ากล้าดีอย่างไรมากล่าวหาข้ากับท่านแม่!” หวางฝูหรงแผดเสียงกร้าวยกมือขึ้นหมายจะตบหวางเฉินซี ทว่าร่างบางกลับเบี่ยงตัวหลบอย่างรวดเร็วทำให้นางเซถลาไปทางด้านหลัง เมื่อนั้นหวางเฉินซีจึงยกเท้าขึ้นถีบไปที่สะโพกของหวางฝูหรงจนล้มคะมำไปบนพื้น
“หรงเอ๋อร์ของแม่!” ถังหลินรีบเข้ามาประคองบุตรสาวที่โกรธจนน้ำหูน้ำตาไหล และหันกลับไปมองหวางเฉินซีตาขวาง
“ท่านพี่ ซีซีทำร้ายหรงเอ๋อร์ เรื่องนี้ยอมไม่ได้นะเจ้าคะ” เมื่อไม่กล้าจัดการหวางเฉินซีด้วยตัวเอง นางจึงหันไปหาประมุขจวนสกุลหวางผู้เป็นสามีของนางแทน
“ซีซีเจ้ากล้าเกินไปแล้ว ทำร้ายข้ายังไม่พอ ยังทำร้ายพี่สาวของเจ้าอีกหรือ! ไสหัวออกไปจากจวนข้าเสีย! เลี้ยงสุนัขยังเชื่องกว่าเจ้าเสียอีก!” หวางปิ่งเฉวียนขึงตาใส่บุตรสาวคนเล็กด้วยความโกรธ รู้ว่าคนหัวอ่อนขี้กลัวอย่างหวางเฉินซีนั้นไม่กล้าไปไหนจริงๆหรอก
ทว่า... มือเล็กกำแน่นเข้าหากัน ไม่นานจึงค่อยๆคลายออก หวางเฉินซีเปล่งเสียงเหอะออกมาเบาๆ หากอยู่ในยุคปัจจุบันนางคงขอยกตุ๊กตาทองสาขานักแสดงยอดเยี่ยมให้สองแม่ลูกนั่นไปแล้ว
"ดีเจ้าค่ะ สุนัขอย่างข้าซื่อสัตย์กับคนที่สมควรได้รับความซื่อสัตย์เท่านั้น แต่ถ้าเจ้าของมันไม่ดี สุนัขอย่างข้าก็ไม่ขอทนอยู่ด้วยหรอก” กล่าวจบหญิงสาวก็เดินจากไปพร้อมซูเยว่ตรงไปยังเรือนเล็กเพื่อเก็บข้าวของ กลับมายังไม่ทันข้ามวันก็ต้องรีบเก็บของออกไปอยู่ที่อื่นอีกแล้ว
หวางเฉินซีและซูเยว่ช่วยกันเก็บข้าวของออกมาจากเรือนเล็ก ยังดีที่สมบัติเก่าของมารดาของนางไม่ได้มีเยอะมากนัก นอกจากเมล็ดพันธุ์ของสมุนไพรหยุดโลหิตแล้ว ก็มีเงินอีกเพียงไม่กี่ตำลึงเท่านั้น หวางเฉินซีรู้สึกสงสารในชะตาชีวิตของนางเอกและมารดาในนิยายเรื่องนี้ไม่น้อย ยามที่นางอยู่ที่จวนสกุลหวางแห่งนี้คงไม่ได้อยู่อย่างสุขสบายมากนัก นอกจากจะโดนฮูหยินใหญ่และหวางฝูหรงคอยหาเรื่องรังแกแล้ว หวางปิ่งเฉวียนผู้เป็นบิดายังไม่สนใจไยดี หวางเฉินซีคนเก่าช่างมีความอดทนสูงจริงๆ แต่สำหรับไข่มุกที่อยู่ในร่างของหวางเฉินซีนั้น นางไม่ขอทนอยู่ต่อให้ผู้ใดเอาเปรียบหรือรังแกหรอก
รถม้ารับจ้างเคลื่อนออกไปจากหน้าประตูจวนสกุลหวางโดยมีเสียงก่นด่าของหวางปิ่งเฉวียนดังไล่มาตามหลัง หากแต่หวางเฉินซีนั้นไม่สนใจ กระทั่งรถม้าวิ่งออกไปจากประตูจวน จากนี้ไปความสัมพันธ์ของนางและคนสกุลหวางจบสิ้นลงไปเสียที
“เราจะไปอยู่ที่ไหนกันดีเจ้าคะคุณหนู” ท่ามกลางความเงียบซูเยว่ได้ถามขึ้น หญิงสาวนิ่งคิดไปเล็กน้อย
“ไปที่เรือนไม้ให้เช่านอกเมือง”
“ที่นั่นทั้งเล็กทั้งแคบ คุณหนูจะอยู่ได้หรือเจ้าคะ” ซูเยว่ไม่ได้กลัวความลำบาก แต่นางเป็นห่วงคุณหนูของนางมากกว่า
“ได้สิ อยู่ที่นั่นไม่ได้แตกต่างจากเรือนเล็กท้ายจวนของสกุลหวางหรอก บางทีที่นั่นอาจดีกว่าที่สกุลหวางด้วยซ้ำ” เพราะไม่ได้มีท่านพ่อที่มองนางด้วยสายตาแห่งความเกลียดชัง ไหนจะมารดาเลี้ยงและพี่สาวต่างมารดาที่คอยหาเรื่องกลั่นแกล้งรังแกอยู่ทุกวัน
ใช้เวลาเดินทางราวสองเค่อคนทั้งสองก็เดินทางมาถึงเรือนไม้ให้เช่า โชคดียิ่งนักที่ก่อนหน้านี้หวางเฉินซีได้ให้ซูเยว่ไปติดต่อขอเช่ากับเจ้าของเรียบร้อยแล้วจึงสามารถเข้าพักได้ทันที
หวางเฉินซีและซูเยว่ช่วยกันขนของลงจากรถม้า ก่อนจะเปิดประตูออกพบว่าเรือนไม้หลังนี้มีขนาดพอๆกับเรือนไม้ท้ายจวนสกุลหวาง ดูเหมือนว่าเจ้าของจะดูแลรักษาที่นี่อย่างดี เพราะมันสะอาดสะอ้านราวกับมีคนดูแลอย่างสม่ำเสมอ
กว่าที่หวางเฉินซีและซูเยว่จะทำความสะอาดและเก็บของจนเข้าที่เข้าทาง เวลาก็ล่วงเลยผ่านไปจนดึกดื่นมากแล้ว เรือนหลังนี้มีห้องนอนอยู่สองห้อง นางจึงแบ่งให้ซูเยว่ไปหนึ่งห้อง
“คุณหนูจะอาบน้ำเลยหรือไม่เจ้าคะ” ซูเยว่ถามขึ้น หากคุณหนูจะอาบน้ำนางจะได้ไปต้มน้ำมาไว้ให้อาบ ทว่าหวางเฉินซีกลับโบกมือให้สาวใช้คนสนิท
“เจ้าไปพักผ่อนเถอะ”
ซูเยว่มีท่าทางเกรงอกเกรงใจ ไม่มีเจ้านายคนไหนยกห้องให้สาวใช้แบบนี้หรอกนะ หวางเฉินซีรับรู้ได้ถึงความกังวลของนางจึงส่งยิ้มให้ซูเยว่บางๆ
“ซูเยว่ต่อไปนี้เราจะอยู่กันแบบพี่น้อง ข้าไม่มีค่าจ้างให้เจ้าหรอก ฉะนั้นแล้วอย่าได้เกรงใจไปเลย” อันที่จริงก่อนออกจากจวนสกุลหวางมา นางได้บอกให้ซูเยว่อยู่รับใช้ที่จวนต่อ หากแต่ซูเยว่กลับปฏิเสธขอติดตามมาด้วยกัน
“บ่าวไม่ได้ต้องการเงินทองอะไรหรอกเจ้าค่ะ ขอแค่ได้อยู่รับใช้ข้างกายคุณหนูก็พอใจแล้ว” นางเป็นเด็กกำพร้าเติบโตมากับคุณหนูหวางเฉินซี และตั้งใจจะอยู่รับใช้คุณหนูไปตลอดชีวิต
“ขอบใจนะซูเยว่ รีบเข้านอนกันเถอะ พรุ่งนี้มีอะไรต้องทำอีกมาก”
“เจ้าค่ะ” ซูเยว่รับคำอย่างว่าง่าย หลังจากนั้นคนทั้งคู่ก็แยกย้ายกันเดินกลับเข้าไปในหอนอน เพราะเกิดเรื่องวุ่นวายตลอดทั้งวัน ทันทีที่หัวถึงหมอน หวางเฉินซีก็หลับใหลเข้าสู่ห้วงนิทราไปอย่างรวดเร็ว
ค่ายทหารนอกเมือง แคว้นหลิง
ภายในค่ายทหารมีกระโจมหลายหลังวางเรียงรายกันอย่างเป็นระเบียบ เพราะเป็นค่ายทหารใหญ่ประจำแคว้นทำให้มีผู้คนมากมายที่อยู่ในภายในค่ายทหารแห่งนี้ ประตูกระโจมหลังใหญ่ที่ตั้งอยู่ตรงกลางค่ายถูกเปิดออก ขายาวของใครบางคนก้าวเดินเข้าไปข้างใน แลเห็นร่างสูงใหญ่ของบุรุษผู้หนึ่งนั่งอยู่บนเตียงขนาดหนึ่งคนนอน ท่อนบนเปลือยเปล่าที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามปรากฏรอยอาวุธอย่างชัดเจน หากแต่กลับไม่เห็นหยาดโลหิตไหลรินออกมาแม้แต่หยดเดียว
“ท่านแม่ทัพข้านำยามาให้ท่านขอรับ” โจวอี้เฟยวางถาดใส่ยาในมือลงเบื้องหน้าของแม่ทัพใหญ่
หลางจิ้นถงหยิบจอกใส่ยามากระดกรวดเดียวจนหมดก่อนจะวางคืนลงบนถาดไม้ตามเดิม คิ้วกระบี่ย่นเข้าหากันเล็กน้อยเมื่อเห็นสายตาของโจวอี้เฟยที่กำลังมองไปยังบาดแผลของเขา
“มีอะไรหรือไม่”
“เปล่าขอรับ ข้าแค่แปลกใจ ท่านบาดเจ็บหนักมากถึงเพียงนี้ หากไม่ได้สมุนไพรชนิดนั้นช่วยไว้คงไม่รอดแล้ว” จากบาดแผลที่หลางจิ้นถงได้มา เขาคิดว่าหากไม่ได้สมุนไพรหยุดโลหิตคงได้เลือดออกจนสิ้นชีพไปแล้วเป็นแน่
“เจ้าเป็นหมอไม่รู้จักสมุนไพรนี้หรือ” หลางจิ้นถงเปล่งเสียงหัวเราะออกมาในลำคอด้วยความขบขัน โจวอี้เฟยเป็นหมอที่เก่งกาจ เขามีความรู้เรื่องการแพทย์ทุกอย่างราวกับกินตำราเข้าไป ไม่น่าเชื่อว่าจะไม่รู้จักสมุนไพรห้ามเลือดชนิดนี้
โจวอี้เฟยส่ายศีรษะไปมา “ดูเหมือนว่ามันจะเป็นสมุนไพรที่ถูกคิดค้นขึ้นมาใหม่ จึงไม่มีอยู่ในตำราการแพทย์” และคนที่คิดค้นมันได้คงเป็นคนที่มีความรู้และฉลาดเฉลียวยิ่งนัก ประโยคสุดท้ายชายหนุ่มคิดในใจ นึกอยากเห็นหน้าคนที่ช่วยท่านแม่ทัพหลางไว้เสียแล้วสิ
