บท
ตั้งค่า

บทที่ 2 ช่วยเหลือชายปริศนา

หวางเฉินซีรู้จากซูเยว่ว่าเจ้าของเรือนหลังนี้เปิดร้านขายน้ำชาอยู่ในตลาด นางจึงให้ซูเยว่นั่งรถม้าไปติดต่อเจ้าของเรือนและวางเงินมัดจำเอาไว้ ระหว่างที่กำลังรอซูเยว่กลับมา หญิงสาวจึงเดินสำรวจรอบๆอย่างพิจารณา พบว่าในพื้นที่นี้นอกจากเรือนไม้หลังเล็กแล้วยังมีเรือนไม้อีกหลังที่สร้างไว้เพื่อเก็บของอีกด้วย

ซ่าาาา!

จู่ๆสายฝนก็ตกกระหน่ำลงมา ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ท้องฟ้ายังคงสว่างไสว ร่างบางของหวางเฉินซีรีบวิ่งเข้าไปในเรือนเก็บของ โชคดียิ่งนักที่เรือนแห่งนี้ไม่มีประตูปิดเป็นเพียงเรือนที่เปิดโล่งตรงทางเข้าเอาไว้เท่านั้น

สายฝนยังคงตกลงมาอย่างไม่ขาดสาย จากอากาศที่เย็นสบายในตอนแรกเริ่มเหน็บหนาวขึ้นจนหวางเฉินซีต้องยกมือขึ้นกอดอกเพื่อคลายความหนาว ไม่รู้ว่าซูเยว่จะติดฝนอยู่ในตลาดหรือไม่ ฝนตกหนักเช่นนี้นางคงต้องได้รออยู่ที่นี่ไปสักระยะจนกว่าฝนจะซาลง หวางเฉินซีคิดในใจ

หากแต่ว่า…

หมั่บ!

“กรี๊ดดดดด!” หญิงสาวเปล่งเสียงกรีดร้องออกมาดังลั่น เมื่อรู้สึกได้ถึงมือใหญ่ของใครบางคนที่ยื่นเข้ามาจับข้อเท้าของนางเอาไว้ ไวเท่าความคิดหญิงสาวจึงหันกลับไปใช้เท้าถีบร่างของคนผู้นั้นจนล้มกระเด็นกลิ้งไปบนพื้น

“ช่วยด้วย…” เสียงแหบห้าวดังขึ้น ก่อนที่นางจะทันได้วิ่งออกไปจากเรือนไม้เก็บของทำให้ต้องหมุนกายหันหน้ากลับมาดูเสียก่อน

“ใครกัน” พึมพำด้วยความแปลกใจทันทีที่เห็นร่างหนาของบุรุษผู้หนึ่งนอนคว่ำหน้าอยู่บนพื้น ดูเหมือนว่าเขาจะบาดเจ็บหนักไม่น้อยเลยทีเดียว

หวางเฉินซีขยับเข้ามาดูคนที่นอนอยู่ว่ายังหายใจอยู่หรือไม่

“ยังไม่ตาย” ดวงตาคู่งามมองสำรวจไปทั่วเรือนกายกำยำที่มีบาดแผลอยู่หลายแห่ง เห็นเช่นนั้นจึงหยิบสมุนไพรออกมาจากในย่ามประคบลงไปบนบาแผลของเขา เพียงไม่นานหยาดโลหิตที่กำลังไหลรินออกมาจากบาดแผลก็แห้งเหือดไปอย่างน่าอัศจรรย์

“เป็นคนดีหรือพวกโจรกันนะ ถ้าหากเป็นอย่างหลังก็ไว้ชีวิตข้าไว้สักคนก็แล้วกัน ข้าอุตส่าห์ช่วยท่านเลยนะ” หญิงสาวกล่าวพึมพำกับคนที่นอนอยู่ ทว่าเพียงแค่กล่าวจบประโยคเปลือกตาหนาก็เปิดขึ้นอย่างรวดเร็ว

ดวงตากลมเบิกกว้างขึ้นด้วยความตกใจราวกับเห็นผี ผงะก้าวถอยไปทางด้านหลัง หากแต่ยังไม่ทันจะได้ลุกขึ้นวิ่ง ชายหนุ่มก็คว้าไปที่ข้อมือบางของนางเสียก่อน

“โอ๊ะ!” ร่างบางล้มก้นจ้ำเบ้าลงบนพื้นตามแรงดึงของคนตัวโต แววตาและริมฝีปากสั่นระริกไปมาด้วยความหวาดกลัว เมื่อเห็นดวงตาสีนิลกำลังจ้องเขม็งมองมายังนางอย่างดุดัน

หวางเฉินซีมองสายตาดุดันของคนตรงหน้า ริมฝีปากบางสั่นระริกไปมาอย่างน่าสงสาร ไม่รู้ว่าเขาเป็นคนดีหรือร้าย หากเป็นคนร้ายนางจะรอดพ้นจากเงื้อมมือของเขาไปได้อย่างไรกัน

“ท่านผู้นี้เป็นคนดีมีวาสนายิ่งนัก บาดเจ็บหนักถึงเพียงนี้ยังรอดชีวิตมาได้ ฟ้าดินคงเห็นว่าท่านเป็นคนดีไม่อยากให้อายุสั้นกระมัง” หวางเฉินซีข่มความกลัวเอาไว้ภายในใจ ก่อนจะกล่าวคำยกยอต่อบุรุษปริศนาอย่างเอาใจ หากแต่เขากลับจ้องนางนิ่ง จนหญิงสาวไม่กล้าเอ่ยวาจาใดออกมาอีก

“หึ ข้าไม่ตายง่ายๆหรอก” หลางจิ้นถงเปล่งเสียงหึออกมาเบาๆ ปล่อยมือออกจากข้อมือบาง

“ข้าขอถามได้หรือไม่ ท่านไปทำอะไรมาเหตุใดถึงได้บาดเจ็บหนักเช่นนี้” หวางเฉินซีถามบุรุษร่างกำยำอย่างกล้าๆกลัวๆ

“ข้าถูกพวกชนเผ่าต้วนชิวโจมตีมา” ชายหนุ่มก้มมองสำรวจไปตามเนื้อตัวที่เคยมีบาดแผลจากการถูกอาวุธฟาดฟัน พบว่ายามนี้โลหิตสีแดงได้หยุดไหลแล้ว สมุนไพรที่นางมอบให้มีหน้าตาที่แปลกประหลาด แต่กลับช่วยหยุดโลหิตได้ดียิ่งนัก

“ท่านเป็นทหารในสังกัดแม่ทัพหลางหรือเจ้าคะ"

“เจ้ารู้จักแม่ทัพหลางอย่างนั้นหรือ” ดวงตาคมกริบหรี่ลงเล็กน้อย มองสตรีร่างบางตรงหน้าพบว่านางกำลังผงกศีรษะตอบรับคำถามของเขา

“รู้จักสิเจ้าคะ หลางจิ้นถงแม่ทัพใหญ่แห่งแคว้นหลิง ผู้เก่งกาจทั้งวิชาบู๊และวิชาบุ๋น นิสัยโหดเหี้ยมมุทะลุและไร้หัวใจ” ท่านแม่ทัพหลางหรือหลางจิ้นถง คนที่นางกำลังกล่าวถึงนั้นมีบทบาทเป็นตัวประกอบในนิยายเรื่องนี้ เขาเคยช่วยพระเอกเริ่นกั๋วกงไว้จากพวกต้วนชิว แม้จะมีอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน หากแต่เริ่นกั๋วกงกลับยกให้หลางจิ้นถงเป็นดั่งผู้มีพระคุณของเขา

มือบางรีบยกขึ้นปิดปาก หลังจากรู้ตัวว่าพูดมากเกินไป หากแต่ไม่ทันเสียแล้ว เมื่อเงยหน้าขึ้นเห็นสายตาดุดันของชายปริศนาที่กำลังจ้องมองมา

เขาคงไม่พอใจที่นางกล่าวว่าเจ้านายของเขากระมัง…

“รู้แล้วก็ดี แต่จงรู้ไว้อีกอย่างว่าท่านแม่ทัพหลางไม่ชอบคนปากพล่อย อีกทั้งยังเคยตัดลิ้นคนปากดีมานับพันนับหมื่นคนแล้ว”

“ขออภัยเจ้าค่ะ หวังว่าท่านจะไม่นำเรื่องที่ข้าพูดถึงท่านแม่ทัพในวันนี้ไปบอกท่านแม่ทัพนะเจ้าคะ อย่างไรข้าก็มีบุญคุณที่ช่วยชีวิตท่านเอาไว้” หญิงสาวบุ้ยหน้าไปมองสมุนไพรที่วางอยู่บนบาดแผลของเขา ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาสบตากับคนตัวโต เป็นจังหวะเดียวกับที่เสียงรถม้าคันใหญ่วิ่งเข้ามาพอดี

เปรี้ยง!

สายฟ้าฟาดลงมาจากที่ไกลๆ ทว่าเสียงของมันกลับก้องกังวานดังไปทั่วบริเวณ ทำให้คนตัวเล็กถึงกับสะดุ้งโหยงขึ้นด้วยความตกใจ แสงฟ้าแลบทำให้ได้เห็นใบหน้าหล่อเหลาที่แสนดุดันน่ากลัวของเขา

“กรี๊ดดด!” หญิงสาวตกใจเป็นอย่างมากรีบหมุนกายสาวเท้าวิ่งจากไปด้วยความรวดเร็ว ถึงแม้สายฝนจะยังคงกระหน่ำตกลงมาจนเนื้อตัวเปียกปอน แต่นางก็ไม่สนใจอะไรอีกต่อไปแล้ว

“หญิงโง่” หลางจิ้นถงมองแผ่นหลังบางที่วิ่งป่าราบพร้อมกระโดดหายขึ้นไปบนรถม้าคันใหญ่ทั้งที่ยังไม่ทันได้จอดสนิทดีพลางเหยียดยิ้มออกมาที่มุมปาก ก่อนจะใช้วิชาตัวเบากระโดดหายไปบนต้นไม้อย่างไร้ร่องรอย ทิ้งไว้เพียงหยดโลหิตสีแดงที่กำลังโดนน้ำฝนชะล้างมันออกไปจากบนพื้น

ในที่สุดหวางเฉินซีและซูเยว่ก็เดินทางกลับมาถึงจวนสกุลหวางเรียบร้อยแล้ว ภายในเรือนไม้หลังเล็กที่ตั้งอยู่ท้ายจวนหลังใหญ่เป็นที่อยู่อาศัยของอนุรั่วและหวางเฉินซีบุตรสาวของนาง ทว่าหลังจากที่อนุรั่วจากไป เรือนหลังนี้จึงมีเพียงแค่หวางเฉินซีพักอาศัยอยู่ตามลำพังเท่านั้น

“ตอนที่อยู่เรือนไม้หลังนั้นเกิดอะไรขึ้นหรือเจ้าคะคุณหนู” ซูเยว่ถามด้วยความสงสัย หลังจากที่เห็นเจ้านายวิ่งกระโดดขึ้นรถม้าอย่างไม่คิดชีวิต ก่อนจะเร่งคนบังคับม้าให้รีบควบม้าจากไป ท่าทางของนางเหมือนกำลังหวาดกลัวอะไรบางอย่าง ทว่าในตอนที่อยู่บนรถม้านางพยายามถาม ทว่าหวางเฉินซีกลับไม่ยอมตอบนาง

หวางเฉินซีได้ยินคำถามจึงยอมเปิดปากเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้ซูเยว่ฟัง ในตอนที่กำลังนั่งรถม้ากลับจวน หัวสมองของนางอื้ออึงจนคิดสิ่งใดไม่ออก ยังคงหวาดกลัวกับบุรุษผู้นั้นอยู่มาก ทว่ายามนี้อาการตกใจกลัวดีขึ้นมากแล้ว คิดว่าปิดบังไปก็ไม่มีประโยชน์

“ตายแล้ว! คุณหนูห้ามไปยุ่งเกี่ยวกับคนของท่านแม่ทัพหลางเด็ดขาดนะเจ้าคะ”

“ทำไมหรือ” ดวงหน้างามยื่นเข้ามาใกล้ เปี่ยมไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น

“บ่าวเคยได้ยินว่าทั้งเจ้านายและลูกน้องต่างมีนิสัยโหดเหี้ยมอำมหิตพอๆกัน สามปีก่อนท่านแม่ทัพบุกเข้าไปตีค่ายลับของพวกกบฏต้วนชิวจนแตกกระเจิง ใครหนีไปได้ถือว่าโชคดียิ่งนัก เพราะคนที่หนีไม่รอดนั้นโดนท่านแม่ทัพสั่งเฉือนเนื้อออกเป็นชิ้นๆขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ เมื่อคนผู้นั้นสิ้นใจแล้วก็สั่งตัดหัวเสียบประจานอยู่รอบๆค่ายลับของพวกกบฏ” ซูเยว่เล่าไปก็ทำหน้าหวาดกลัวไปด้วย ก่อนที่นางจะยื่นหน้าเข้ามากระซิบเจ้านายสาวอีกหน

“บ่าวเคยไปได้ยินเรื่องลับของท่านแม่ทัพหลางมาด้วยเจ้าค่ะ”

“เรื่องอะไรหรือ” หวางเฉินซียื่นหูเข้าไปใกล้ริมฝีปากของซูเยว่ด้วยความสนใจ นางเป็นคนอยากรู้อยากเห็นเสียด้วยสิ เกริ่นมาให้ฟังขนาดนี้แล้วต้องเล่าแล้วล่ะ

ซูเยว่หันซ้ายหันขวาเพื่อความแน่ใจว่าภายในห้องนี้มีเพียงแค่นางกับคุณหนูหวางเฉินซีอยู่ตามลำพังจริงๆ จากนั้นจึงกระซิบข้างใบหูเจ้านายเสียงเบา

“บ่าวเคยได้ยินว่าท่านแม่ทัพเคยมีอนุอยู่คนหนึ่ง ทว่าจับได้ในภายหลังว่านางคบชู้กับบ่าวเลี้ยงม้า ท่านแม่ทัพจึงจัดการจับคนทั้งคู่ใส่โลงและฝังลงใต้ดินทั้งเป็นเลยเจ้าค่ะ”

“ท่านแม่ทัพเป็นคนน่ากลัวถึงเพียงนั้นเชียวหรือ” ในนิยายไม่ได้กล่าวถึงตัวประกอบผู้นี้มากนัก รู้แค่เพียงว่าเขาเป็นคนเก่งกาจ โหดเหี้ยมและไร้หัวใจ มีบทบาทคือช่วยพระเอกจากพวกกบฏต้วนชิวเท่านั้น

“ใช่เจ้าค่ะ เรื่องความโหดเหี้ยมอำมหิตของท่านแม่ทัพยังมีอีกเยอะเจ้าคะ” ซูเยว่ทำท่าขนลุกด้วยความกลัว นึกถึงเรื่องที่หลางจิ้นถงเคยเผาคนทั้งเป็น ท่าทางของนางทำให้คนมองถึงกับกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ หวังว่านายทหารคนนั้นจะไม่ทรยศนำคำที่นางกล่าวถึงแม่ทัพหลางไปบอกเจ้าตัวนะ หากเขาโกรธแค้นนางขึ้นมา นางอาจจะโดนเขาจับฝังดินเหมือนกับอดีตอนุของเขาก็เป็นได้ หวางเฉินซีคิดด้วยความกังวลใจ

ก๊อกๆๆๆ!

เสียงเคาะประตูดังขึ้นขัดจังหวะความคิด ซูเยว่จึงเดินไปเปิดประตูออก เผยให้เห็นสาวใช้คนหนึ่งยืนอยู่ที่หน้าประตู

“ท่านเสนาบดีให้มาตามคุณหนูหวางเฉินซีไปพบเจ้าค่ะ”

“ท่านเสนาบดีกลับมาแล้ว คงรู้เรื่องที่คุณหนูกับเริ่นกั๋วกงหย่ากันแล้วแน่ๆเลยเจ้าค่ะ” ซูเยว่กล่าวเสียงเครียด ในขณะที่หวางเฉินซีถอนหายใจออกมาเบาๆ

“รู้ก็รู้ไปสิ ข้าไม่ได้คิดจะปิดบังเรื่องนี้กับท่านพ่ออยู่แล้ว” หญิงสาวสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่เพื่อเรียกกำลังใจ ก่อนจะเดินตัวตรงไปยังบันไดขึ้นเรือนใหญ่ คิดว่านอกจากท่านพ่อของนางแล้วคงมีมารดาเลี้ยงและพี่สาวต่างมารดากำลังรอเล่นงานนางอยู่แน่ๆ

นางจะรับมือกับทุกคนอย่างไรดี!

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel