บท
ตั้งค่า

บทที่ 4 งานมงคลมาถึงแล้ว

"แม่รองไม่ต้องเป็นกังวลเรื่องสินสอดของข้าหรอกเจ้าค่ะ ข้าดูแลจัดการเองได้" รั่วเหรินซีดึงมือกลับพร้อมกับสีหน้าที่เปลี่ยนไปของเยว่เล่อซิน

"ดูเอาเถอะ เจ้าคิดจะเนรคุณข้าหรือ ถึงแม้ว่าข้าจะไม่ใช่มารดาแท้ๆของเจ้า แต่ข้าก็ดูแลเจ้ามาตั้งแต่ยังเด็ก สินสอดที่เจ้าได้มาควรจะแบ่งให้ข้ากับท่านพ่อของเจ้าก็เป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว" นางชักสีหน้าใส่รั่วเหรินซี แววตาแข็งกระด้างเหมือนอย่างที่ผ่านมา ในเมื่อพูดด้วยๆดีไม่ได้ก็ต้องใช้ไม้แข็งเข้าใส่

"ข้าไม่เคยคิดที่จะเนรคุณผู้ใด แน่นอนว่าข้าต้องแบ่งสินสอดให้ท่านพ่ออยู่แล้ว แต่กับแม่รอง ท่านเคยดูแลใส่ใจข้าด้วยหรือ"

"รั่วเหรินซี จะมากเกินไปแล้วนะ!" ฮูหยินรองของสกุลรั่วกำมือเข้าหากันแน่น ที่ผ่านมารั่วเหรินซีไม่เคยมีท่าทางกระด้างกระเดื่องใส่นางเช่นนี้มาก่อน แต่หนึ่งเดือนที่ผ่านมานั้นดูนางเปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคน ช่างน่าประหลาดใจยิ่งนัก

"ข้าพูดจริงเจ้าค่ะ หาไม่แม่รองก็ลองเก็บไปคิดไตร่ตรองดูเถิด" หญิงสาวกระตุกยิ้มเบาๆที่มุมปาก ท่าทางที่เต็มไปด้วยโทสะของเยว่เล่อซินไม่ได้ทำให้นางรู้สึกหวาดกลัวแต่อย่างใด

"ข้าอุตส่าห์ไม่นำเรื่องที่เจ้าหยิบรองเท้ายัดปากซินเอ๋อร์ไปฟ้องท่านพี่ เพราะอย่างไรก็เห็นว่าเจ้าเป็นลูกสาวคนหนึ่งเช่นกัน ในเมื่อเจ้าไม่เคยเห็นว่าข้าเป็นแม่ ต่อไปข้าก็จะไม่ปกป้องดูแลเจ้าอีก ข้าจะนำเรื่องที่เจ้ารังแกซินเอ๋อร์ไปบอกท่านพี่!" นางกล่าวด้วยความโมโห ดวงตาสองข้างแดงก่ำ ในตอนที่รั่วหรงซินวิ่งแจ้นเข้ามาเปิดปากฟ้องว่าโดนรั่วเหรินซีรังแก นางอุตส่าห์ปลอบประโลมบุตรสาวไม่นำเรื่องที่เกิดขึ้นไปเล่าให้รั่วเฉิงฟัง เพราะคิดว่าหากทำเช่นนี้ รั่วเหรินซีจะเห็นว่านางมีบุญคุณด้วยและยกสินสอดที่ได้มาจากสกุลจางให้นางเป็นผู้จัดการดูแล

"แม่รองอยากทำอะไรก็ทำไปเถิดเจ้าค่ะ แต่คิดดีๆนะเจ้าคะ วันนั้นน้องสาวซินเอ๋อร์มาหาเรื่องข้าก่อน อีกทั้งยังคิดจะทำร้ายข้า ข้าก็แค่ป้องกันตัว หากท่านบอกท่านพ่อเรื่องวันนั้น ท่านคิดว่าท่านพ่อจะเข้าข้างใคร"

"นี่เจ้า!" ร่างบางของเยว่เล่อซินสั่นสะท้านไปด้วยความโกรธ แววตาของนางเต็มไปด้วยเพลิงโทสะ ก่อนจะรีบหมุนกายหันหลังก้าวเดินออกไปจากห้องอย่างรวดเร็ว เพราะคิดว่าหากรั้งอยู่นานกว่านี้คงอดใจไม่ไหวพลั้งมือทำร้ายรั่วเหรินซีเป็นแน่ นางรู้ดีว่าแม้จะอยากตบตีสั่งสอนเจ้าเด็กนั่นมากเพียงใด แต่ก็ไม่อาจทำได้ หาไม่รั่วเฉิงต้องไม่ยอมปล่อยผ่านเรื่องนี้อย่างแน่นอน ตราบใดที่นางยังอยู่ที่เรือนสกุลรั่ว นางจะต้องดำเนินการอย่างรอบคอบ เพียงแค่อดทนอีกไม่นาน เมื่อรั่วเหรินซีจากไป ทรัพย์สมบัติของสกุลรั่วจะต้องตกเป็นของนางกับรั่วหรงซินเท่านั้น!

ในที่สุดวันมงคลก็เวียนมาถึงแล้ว รั่วเหรินซีถูกปลุกให้ตื่นตั้งแต่ฟ้ายังไม่ทันสางเพื่อแต่งตัว ทว่าสำหรับเจ้าตัวแล้วไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นดีใจเลยแม้แต่น้อย ขณะที่บรรดาสาวใช้กำลังแต่งหน้าแต่งตัวให้ก็นั่งหลับสัปหงกจนเกือบจะตกจากเก้าอี้อยู่หลายครั้งหลายครา จนกระทั่งแต่งตัวเสร็จเรียบร้อย หลิวกุ้ยจึงสะกิดปลุกนาง ในตอนที่เปิดเปลือกตาขึ้นมาก็ได้เห็นภาพสะท้อนของตนอยู่ในกระจกทองเหลือง

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความบังเอิญหรืออย่างไร มู่ชิงเหยากับรั่วเหรินซีนั้นมีใบหน้าที่คล้ายกันราวกับแกะ ในตอนที่วิญญาณของมู่ชิงเหยาเข้ามาอยู่ในร่างของรั่วเหรินซี สิ่งแรกที่นางทำคือการวิ่งมาส่องกระจกทองเหลือง ไม่นานก็เป่าปากออกมาด้วยความโล่งใจ เมื่อเห็นว่ารั่วเหรินซีมีใบหน้าที่งดงามเหมือนมู่ชิงเหยาในโลกปัจจุบัน

"คุณหนูของบ่าวงดงามปานนี้ แน่นอนว่าจางไท่ฝูต้องรักใคร่เอ็นดูเป็นอย่างมาก" หลิวกุ้ยเอ่ยพลางยกมือขึ้นปาดน้ำตา สำหรับนางแล้วรั่วเหรินซีเป็นทั้งเจ้านายและน้องสาวที่นางรักใคร่ เมื่อเห็นคนที่ตนดูแลกำลังจะได้แต่งงาน ก้าวขึ้นไปสู่อีกจุดหนึ่งของชีวิตก็อดใจหายไม่ได้

"หลิวกุ้ยข้ารู้ว่าข้างดงาม แต่ข้าไม่ได้คาดหวังให้จางไท่ฝูรักใคร่เอ็นดูข้าเพียงเพราะความงามของข้าเสียหน่อย"

"ทำไมล่ะเจ้าคะคุณหนู" คิ้วบางของหลิวกุ้ยย่นเข้าหากัน เมื่อเห็นเจ้านายกวักมือเรียกจึงขยับเข้าไปใกล้ รั่วเหรินซีจึงยกมือขึ้นป้องปากกระซิบข้างใบหูของนางเสียงเบา

"ข้าจะหย่ากับจางไท่ฝู"

"ว่าอย่างไรนะเจ้าคะ!" หลิวกุ้ยยกมือทาบอก อุทานดังลั่นด้วยความตกใจ รั่วเหรินซีเห็นเช่นนั้นจึงผุดลุกขึ้นยกมือขึ้นปิดปากนาง

"เบาๆสิ เดี๋ยวก็มีใครมาได้ยินเข้าหรอก" หญิงสาวปรามเสียงเบา เมื่อเห็นหลิวกุ้ยพยักหน้าหงึกหงักจึงค่อยๆลดมือลง

"คุณหนูจะหย่ากับไท่ฝูได้อย่างไรเจ้าคะ สมรสพระราชทานฝ่ายหญิงไม่อาจเป็นฝ่ายขอหย่าร้างได้นะเจ้าคะ"

รั่วเหรินซีได้ยินเช่นนั้นจึงยกยิ้มขึ้นบางๆ เป็นโชคดีของนางที่ได้อ่านนิยายเรื่องนี้จนจบ กฏการแต่งงานของแคว้นเสิ่น หากชายหญิงแต่งงานเพราะได้รับสมรสพระราชทาน หากจะหย่าร้างฝ่ายชายต้องเป็นฝ่ายขอหย่าเท่านั้น กฏหมายของที่นี่ให้อำนาจกับฝ่ายชาย รั่วเหรินซีไม่ค่อยถูกใจเท่าใดนัก แต่อย่างน้อยก็ยังดีที่สามารถหย่าร้างกันได้ สำหรับนางไม่ได้คิดว่าการที่จะทำให้จางไท่ฝูเป็นผู้เอ่ยปากขอหย่านั้นยากเย็นเท่าใดนัก ในเมื่อเขาไม่ได้รักนาง ฉะนั้นแล้วนางจะยื่นข้อเสนอช่วยให้เขากับแม่นางเอกสมหวังในความรัก โดยแลกกับการที่เขาเป็นฝ่ายเอ่ยปากขอหย่าจากนาง

หลิวกุ้ยมองรั่วเหรินซีที่กำลังยิ้มน้อยยิ้มใหญ่พลางคิดว่าเหตุใดคุณหนูของนางถึงได้เปลี่ยนไปถึงเพียงนี้ หรือนางเครียดเรื่องการแต่งงานจนทำให้สติฟั่นเฟือนไปเสียแล้ว

โถ... คุณหนูของบ่าวช่างน่าสงสารเสียจริง หลิวกุ้ยคิดพลางส่ายศีรษะไปมาเบาๆ

รั่วเหรินซีที่อยู่ในชุดเจ้าสาวสีแดงมงคลตัวยาวกรอมเท้า บนศีรษะมีผ้าคลุมสีเดียวกันกับชุดเดินออกมาจากห้องตรงไปยังประตูเรือนที่ตรงนั้นมีท่านพ่อรั่วเฉิงกับเยว่เล่อซินและบุตรสาวของนางยืนอยู่ ทันทีที่สองแม่ลูกเห็นนางเดินออกมาก็เลื่อนมุมปากออกจากกันราวกับกำลังยิ้มเยาะ

"ซีเอ๋อร์" รั่วเฉิงขานเรียกบุตรสาวที่มาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าพลางดึงนางไปกอดแนบอก น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความอาทรจนนางรู้สึกได้

"อย่าได้กังวลไปนะลูก หากเจ้าได้พบหน้าจางไท่ฝู เจ้าจะเข้าใจว่าสิ่งที่พ่อเอ่ยกับเจ้านั้นเป็นเรื่องจริง"

"ข้าเชื่อท่านพ่อเจ้าค่ะ" หญิงสาวตอบผู้เป็นพ่อ ก่อนที่รั่วเฉิงจะตัดใจปล่อยบุตรสาวออกจากอ้อมแขน รั่วเหรินซีเดินมาหยุดยืนตรงหน้าของเยว่เล่อซินเพื่อรับคำอวยพรตามธรรมเนียม

"หวังว่าเจ้าจะมีความสุขที่ได้แต่งงานกับชายแก่คราวพ่อนะ" เยว่เล่อซินกระซิบข้างใบหูของหญิงสาว แม้จะเอ่ยวาจาร้ายกาจ ทว่าสีหน้ากลับยิ้มแย้มราวกับกำลังยินดีที่นางได้แต่งงานจากใจจริง

"ข้าจะถือว่าเป็นคำอวยพรของแม่รองก็แล้วกันนะเจ้าคะ" รั่วเหรินซีกล่าวอย่างไม่สะทกสะท้าน ใครคาดหวังคำอวยพรจากคนผู้นี้กัน ไม่ใช่นางเสียหน่อย

"ข้าได้แต่อวยพรขอให้เจ้าบ่าวของพี่สาวมีแรงลุกขึ้นมาเข้าหอนะเจ้าคะ" รั่วหรงซินกล่าวบ้างพลางแค่นเสียงหัวเราะออกมาเบาๆด้วยความสะใจ

"เมื่อใดที่เจ้าได้พบจางไท่ฝู เจ้าจะรู้ว่าข้าเป็นสตรีที่น่าอิจฉาที่สุดในแคว้นนี้" เจ้าจะอิจฉาข้าจนแทบบ้าเลยล่ะ ประโยคสุดท้ายนางคิดในใจพลางหันมาสบตากับน้องสาวต่างมารดาและเปล่งหัวเราะหึๆในลำคอ จากนั้นจึงสะบัดหน้าเดินไปขึ้นเกี้ยวเจ้าสาวที่ถูกจัดเตรียมเอาไว้

ขบวนเกี้ยวเจ้าสาวเคลื่อนออกจากประตูเรือนสกุลรั่ว ร่างบางนั่งหลังตรงอย่างสง่าท่ามกลางเสียงอวยพรที่ดังแว่วมาให้ได้ยิน นางไม่แม้แต่จะผินหน้าหันไปดูประตูเรือนด้วยความอาลัยเหมือนอย่างที่เจ้าสาวคนอื่นๆทำ เพราะสำหรับมู่ชิงเหยาที่อยู่ในร่างของรั่วเหรินซีนั้น ที่เรือนสกุลรั่วไม่มีสิ่งใดให้นางต้องอาลัยอาวรณ์

เวลาผ่านไปราวสองเค่อ ขบวนเกี้ยวเจ้าสาวก็มาหยุดอยู่ที่หน้าประตูจวนสกุลจาง ในตอนที่รั่วเหรินซีถูกสาวใช้เชิญลงจากเกี้ยว นางได้แต่อุทานขึ้นเบาๆอย่างอึ้งๆในความใหญ่โตหรูหราของจวนหลังใหญ่ที่ตั้งอยู่เบื้องหน้านี้ เรือนสกุลรั่วของนางกลายเป็นเล็กเมื่อเทียบกับจวนหลังนี้เลยทีเดียว

ร่างบางเยื้องกรายเดินเข้ามาข้างในประตูจวนที่เปิดรออยู่ สิ่งแรกที่นางทำคือการหันไปมองบุรุษร่างสูงที่ยืนอยู่บนแท่นทำพิธี แน่นอนว่าจางไท่ฝูหาใช่ชายแก่คราวพ่ออย่างที่ฮูหยินรองกับรั่วหรงซินเคยกล่าวเอาไว้ ใบหน้าของเขาหล่อเหลาบาดใจสมกับเป็นพระเอกในนิยายเรื่องที่นางเคยอ่าน แต่เมื่อมองดีๆแล้ว รั่วเหรินซีกลับรู้สึกคุ้นเคยกับดวงหน้าคมสันของเขาอย่างประหลาด

'ไยถึงได้รู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตายิ่งนัก' หญิงสาวครุ่นคิดด้วยความประหลาดใจ และดูเหมือนว่าคนตัวโตเองก็ชะงักไปเล็กน้อยเช่นกันในตอนที่ได้เห็นนาง

'ข้ากับนางเคยพบกันมาก่อนหรือ' จางเหวยหลงคิดในใจ ถึงแม้ว่ายามนี้จะมีผ้าคลุมปิดใบหน้าของนางเอาไว้ หากแต่เขาก็สามารถมองเห็นได้อย่างเลือนราง

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel