บทที่ 3 บุรุษปริศนากับโจรภูเขา
คนที่สาปแช่งชีวิตคู่ของตนเช่นสตรีผู้นี้ หากเขาเป็นว่าที่สามีของนางคงได้ตรอมใจเสียตั้งแต่คืนเข้าหอเป็นแน่!
รั่วเหรินซีลืมตาขึ้นรู้สึกเหมือนว่ามีใครกำลังมองตนอยู่ เมื่อหันไปมองด้านหลังจึงเห็นชายร่างสูงในชุดสีน้ำเงินเข้มกำลังส่งสายตาจับจ้องมองมายังนาง ใบหน้าเรียวมีเม็ดเหงื่อผุดขึ้นตามกรอบหน้า มือเล็กสั่นระริกจนต้องบีบมันเอาไว้ซ่อนความหวาดกลัวไว้ภายในใจ
'เขาตามมาปิดปากนางหรืออย่างไรกัน' หญิงสาวคิด เมื่อเห็นว่าเขากำลังส่งสายตาจับจ้องมองมายังนางอย่างไม่วางตา ภายในอุโบสถนี้ไม่มีคนอื่นนอกจากนางกับหลิวกุ้ย หากเกิดอะไรขึ้นหลิวกุ้ยเองก็ช่วยนางไม่ไหวเป็นแน่
"หลิวกุ้ยกลับกันเถอะ" รั่วเหรินซีหันไปเอ่ยกับสาวใช้ ครั้นเมื่อลุกขึ้นยืนพลันเห็นร่างสูงกำลังย่างกรายเข้ามาหา มือหนาจับไปยังกริชสีเงินที่เหน็บอยู่ข้างเอว ก่อนที่เขาจะพุ่งเข้าหานางอย่างรวดเร็ว!
"กรี๊ดดดดด!" รั่วเหรินซีกรีดร้องออกมาเสียงดังด้วยความตกใจระคนหวาดกลัว พลันร่างบางของนางก็ถูกดึงไปปะทะอกแกร่ง หญิงสาวรู้สึกเวียนศีรษะเป็นอย่างมากจนต้องหลับตาปี๋ เมื่อทั้งเขาและนางกลิ้งหลุนๆไปหลบอยู่หลังรูปปั้นของเจ้าแม่มาจู่
ฉั่บๆๆๆ!
เกาทัณฑ์นับสิบลูกพุ่งตรงเข้ามาหาคนทั้งคู่ทั่วทุกสารทิศ รั่วเหรินซีได้แต่ร้องกรี๊ดออกมาดังๆด้วยความตกใจ ทั้งตัวรู้สึกหนักอึ้งเพราะมีร่างหนาของใครบางคนทาบทับอยู่
"กรี๊ดดดด!"
"หุบปาก!" เสียงตวาดที่ดังลั่นอยู่ข้างบนทำให้รั่วเหรินซีสะดุ้งโหยงรีบหุบปากลงตามคำสั่งทันที หญิงสาวหลับตาแน่น ไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมอง เพราะเกรงว่าจะโดนคมของลูกเกาทัณฑ์สังหารเสียก่อน
"สาวใช้ของข้าเล่า นางเป็นอย่างไรบ้าง"
"เอาตัวเองให้รอดก่อนเถอะ" จางเหวยหลงเปล่งเสียงเหอะออกมาเบาๆ แต่กระนั้นก็หันไปมองขงจิ่งที่ใช้ตัวบังหลิวกุ้ยอยู่
'ให้ตายเถอะ! ไม่คิดว่าพวกมันจะมีกันเยอะถึงเพียงนี้' ชายหนุ่มสบถขึ้นในใจ อันที่จริงเขารู้นานแล้วว่าพวกโจรภูเขาแอบติดตามเขามาตั้งแต่ตอนอยู่ที่นอกเมือง ทั้งเขาและขงจิ่งจึงตัดสินใจหลอกล่อพวกมันมาที่วัดไต้หรูเพื่อให้ห่างไกลผู้คน จะได้ไม่มีคนที่ไม่เกี่ยวข้องได้รับอันตรายไปด้วย แต่ใครจะไปคาดคิดว่าจะมีสตรีผู้หนึ่งขึ้นมาขอพรสาปแช่งชีวิตคู่ของตนถึงวัดไต้หรูเช่นนี้
"จะอยู่แล้วตายตรงนี้ หรือจะหนีไปตายเอาดาบหน้า"
เสียงกระซิบที่ดังอยู่ข้างหูทำให้รั่วเหรินซีเปิดเปลือกตาขึ้นมองข้างหนึ่ง สมองของนางครุ่นคิดอย่างหนักหน่วง จะเอาอย่างไรกับชีวิตดีนะ!
"เลือก!"
ร่างบางสะดุ้งโหยงขึ้นอย่างแรงด้วยความตกใจ ทันทีที่ได้ยินเสียงแหบห้าวตวาดใส่นาง
"ไปกับท่าน" ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดนางถึงเลือกที่จะฝากชีวิตไว้กับเขา ทั้งๆที่เป็นเพียงคนแปลกหน้าไม่เคยรู้จักกันมาก่อน หากแต่นางคิดว่าหากเขาไม่หวังดีคงไม่ยอมช่วยเหลือนางตั้งแต่แรกอย่างแน่นอน
จางเหวยหลงได้ยินเช่นนั้นจึงยกมุมปากขึ้นด้วยความพอใจ
"ดี! เช่นนั้นข้าจะนับหนึ่งถึงสาม พอครบสามแล้วจงวิ่งไปให้เร็วที่สุด หากขึ้นรถม้าได้เมื่อใดก็รีบออกไปทันที อย่าได้หวนกลับมาอีก"
"แล้วท่านเล่า" หญิงสาวหันไปสบตากับคนตัวโตจึงได้เห็นใบหน้าหล่อเหลาในระยะประชิด รั่วเหรินซีนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ สาบานได้เลยว่าตั้งแต่เกิดมาจนถึงตอนนี้ไม่เคยเห็นผู้ชายคนไหนหล่อเหลาบาดใจเท่าผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าคนนี้มาก่อน
"เป็นห่วงข้าหรือ" ชายหนุ่มเปล่งเสียงหัวเราะหึๆในลำคอ รั่วเหรินซีได้ยินเช่นนั้นจึงเบือนหน้าหนีไปทางอื่น ไม่อยากเชื่อว่าบุรุษผู้นี้หลงตัวเองยิ่งนัก จางเหวยหลงขมวดคิ้วเมื่อเห็นปากบางเบะเข้าหากัน ราวกับว่ากำลังก่นด่าเขาอยู่ในใจก็มิปาน
"ข้าจะล่อพวกมันไปทางอื่น หนึ่ง!"
"เอาตอนนี้เลยหรือ" รั่วเหรินซีถามด้วยความตกใจ เขาจะไม่ให้โอกาสนางได้เตรียมตัวหน่อยเลยหรืออย่างไรกัน
"สอง!"
"ท่าน! ข้ากลัว!" หญิงสาวผินหน้ามองฝูงลูกเกาทัณฑ์ที่พวยพุ่งมายังที่หลบของนางและเขาอย่างไม่หยุดหย่อน นางจะฝ่าคมแหลมของอาวุธพวกนี้ไปได้อย่างไรกัน!
"สาม วิ่ง!" ทันทีที่เอ่ยจบ มือหนาก็ผลักคนร่างบางไปทางหนึ่ง ส่วนเขาก็หมุนกายวิ่งไปอีกทาง
รั่วเหรินซีรู้สึกหวาดกลัวไม่น้อยพลันเมื่อเงยหน้าขึ้นก็บังเอิญไปสบตากับชายชุดดำที่แต่งกายเยี่ยงนักฆ่าผู้หนึ่ง เมื่อเขาเห็นนางก็เล็งอาวุธเข้ามาหาทันที
หากแต่ว่า...
ฉั่บ! กริชสีเงินเล่มหนึ่งพุ่งเข้าไปปักคอของชายผู้นั้น เป็นบุรุษแปลกหน้าหลงตัวเองนั่นเองที่ช่วยนางไว้
"วิ่ง!" เขากล่าวกระตุ้นนางอีกหนหนึ่งเมื่อยังเห็นคนตัวเล็กยืนอึ้ง สิ้นเสียงตวาดของเขา รั่วเหรินซีจึงรีบหมุนกายหันหลังสับฝีเท้าวิ่งจากไปด้วยความรวดเร็ว
รั่วเหรินซีคิดว่านี่เป็นครั้งแรกในชีวิตของนางที่ได้วิ่งเร็วถึงเพียงนี้ ครั้นเมื่อมาถึงรถม้าคันใหญ่ที่จอดรออยู่นางก็รีบกระโดดขึ้นรถม้า ทว่าไม่นานก็ต้องอุทานออกมาเสียงดังด้วยความตกใจ เมื่อจู่ๆประตูรถม้าก็ถูกดึงให้เปิดออก
"บ่าวเองเจ้าค่ะคุณหนู" หลิวกุ้ยเอ่ยได้ไม่เต็มเสียง ทรวงอกของนางสะท้านขึ้นลงราวกับเหน็ดเหนื่อยเสียเต็มประดา รั่วเหรินซีจึงรีบดึงนางขึ้นมา จากนั้นก็ร้องสั่งให้พลขับรถม้าพาออกไปจากวัดไต้หรูทันที
นับตั้งแต่วันที่รั่วเหรินซีไปเยือนที่วัดไต้หรูจนถึงวันนี้ เวลาก็ได้ล่วงเลยผ่านไปหลายวันแล้ว ช่วงนี้ชีวิตของรั่วเหรินซีวุ่นวายเป็นอย่างมาก เพราะต้องเตรียมตัวสำหรับงานแต่งงานที่ใกล้เข้ามาถึงนี้ แต่กระนั้นถึงแม้จะวุ่นวายมากเพียงใด แต่เหตุการณ์ระทึกขวัญที่เกิดขึ้นในวันนั้นก็ทำให้นางยังรู้สึกอกสั่นขวัญแขวนไม่หาย อดนึกถึงบุรุษแปลกหน้าที่หน้าตาดีคนนั้นไม่ได้ ป่านนี้ไม่รู้ว่าเขาจะเป็นอย่างไรบ้าง นางเองก็ได้แต่หวังว่าเขาจะมีชีวิตรอดปลอดภัยก็แล้วกัน เพราะถึงอย่างไรนางก็เป็นหนี้ชีวิตของเขาอยู่
ตึกๆๆ!
เสียงฝีเท้าคนดังแว่วเข้ามาใกล้หอนอนของนาง ทำให้หญิงสาวที่กำลังนั่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง โดยมีหลิวกุ้ยกำลังใช้หวีไม้หวีไปตามเรือนผมนุ่มของนางอยู่ ทั้งเจ้านายและสาวใช้ต่างเงยหน้าสบตากันผ่านทางกระจกทองเหลืองที่ตั้งอยู่โต๊ะกลมด้วยความแปลกใจ ทว่ายังไม่ทันมีผู้ใดเอื้อนเอ่ย เสียงเคาะประตูห้องก็ดังขึ้นมาเสียก่อน
ก๊อกๆๆ!
"คุณหนูเจ้าขา ฮูหยินรองมาขอพบเจ้าค่ะ" สาวใช้หน้าประตูยังกล่าวคำรายงานไม่จบประโยคดี ประตูไม้บานใหญ่ก็ถูกผลักให้เปิดออก โดยที่เจ้าของห้องยังไม่ทันได้เอ่ยปากอนุญาต รั่วเหรินซีมองไปยังผู้มาใหม่ด้วยความไม่พอใจนัก
"ซีเอ๋อร์ แม่มีเรื่องจะคุยกับเจ้า" เสียงหวานของเยว่เล่อซินทำให้คนฟังถึงกับขมวดคิ้วเรียวสวยเข้าหากัน รั่วเหรินซีรู้สึกขนลุกซู่ตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า คาดว่าคนตรงหน้าต้องมีแผนอะไรสักอย่างแน่นอน
"แม่รองมีธุระอะไรหรือเจ้าคะ" หญิงสาวถามด้วยความหวาดระแวง เยว่เล่อซินจึงขยับกายเข้ามาใกล้พลางส่งยิ้มหวานจับใจให้หญิงสาวรุ่นลูก
"แม่อยากคุยกับเจ้าเรื่องสินสอด"
'นั่นไง ว่าแล้วเชียว' หญิงสาวคิดในใจ ก่อนจะสะดุ้งขึ้นมาเล็กน้อยเมื่อเยว่เล่อซินจับมือบางของนางขึ้นมากอบกุมเอาไว้หลวมๆ
"สินสอดที่ทางสกุลจางส่งมามากมายเกินกว่าที่เจ้าจะดูแลไหว แม่คิดว่าหากเจ้าให้แม่ช่วยควบคุมดูแล มันจะเป็นระบบระเบียบมากขึ้น" น้ำเสียงของนางเต็มไปด้วยความอ่อนโยน ไม่ต่างจากใบหน้า ทว่ารั่วเหรินซีรู้ดีอยู่แก่ใจว่านางเพียงแค่เสแสร้งเท่านั้นเอง
ในนิยายนางรองรั่วเหรินซียินยอมทำตามที่เยว่เล่อซินบอก นางใจดียอมยกสินสอดที่ได้มาจากสกุลจางให้กับฮูหยินรองไปจนหมด เยว่เล่อซินแบ่งสินเจ้าสาวให้ไม่ถึงหนึ่งในสามของสินสอด อีกทั้งยังสั่งให้ผู้ที่รู้เรื่องนี้ปิดปากเงียบสนิท บรรดาบ่าวไพร่ต่างเกรงกลัวอำนาจของฮูหยินรองจึงทำตามคำสั่งของนางอย่างเคร่งครัด แม้กระทั่งรั่วเฉิงเองก็ไม่ระแคะระคายถึงเรื่องนี้
ในนิยายบทของนางรองรั่วเหรินซีเป็นเพียงสตรีใสซื่อไร้พิษภัย หลังจากแต่งงานไปกับจางไท่ฝู เมื่อนางร้ายรั่วหรงซินเห็นว่าแท้จริงแล้วจางไท่ฝูนั้นคือบุรุษหนุ่มรูปงาม รั่วเหรินซีก็กลายเป็นเพียงหมากตัวหนึ่งของมารดาเลี้ยงและน้องสาวที่พวกนางใช้ในการผลักดันรั่วหรงซินให้ได้รับตำแหน่งฮูหยินรองของพระเอกจางไท่ฝู จากนั้นรั่วเหรินซีก็ถูกน้องสาวต่างมารดากำจัดด้วยหวังว่าจะได้กลายเป็นฮูหยินใหญ่ของจางไท่ฝู
ทว่าพระเอกกลับหันไปคว้านางเอกมาแต่งงานด้วย นางร้ายจึงคิดวางแผนกำจัดนางเอก แต่โดนตลบหลังเปิดโปงความชั่วช้าเสียก่อน พระเอกจึงหย่าขาดจากนางร้าย รั่วหรงซินได้รับโทษที่ก่อไว้และโดนเนรเทศออกไปจากเมืองหลวงพร้อมด้วยมารดาของนาง พระเอกกับนางเอกได้ครองรักกันอย่างมีความสุข ส่วนรั่วเหรินซีนั้นหายสาบสูญ ไม่มีผู้ใดได้พบเจอนางอีก ทิ้งปริศนาให้นักอ่านรู้สึกคาใจด้วยนักเขียนเรื่องนี้ต้องการเขียนบทปลายเปิดให้ผู้อ่านจินตนาการเอาเองว่ารั่วเหรินซีนั้นยังมีชีวิตอยู่หรือไม่
"ซีเอ๋อร์ไยถึงเงียบไป คิดอะไรอยู่งั้นหรือ" เสียงของเยว่เล่อซินทำให้รั่วเหรินซีหลุดจากภวังค์ความคิด นางปรายตาขึ้นสบตากับมารดาเลี้ยง ทันทีที่นางเปิดปากกล่าววาจาบางคำออกไป สีหน้ายิ้มแย้มของเยว่เล่อซินก็เปลี่ยนไปทันที
