บทที่ 2 รั่วเหรินซีคนใหม่
"คุณหนูเจ้าขา คุณหนูแน่ใจจริงๆหรือเจ้าคะว่าจะแต่งงานกับจางไท่ฝู" สาวใช้คนสนิทกล่าวถามพร้อมเงยหน้าขึ้นประสานสายตากับเจ้านายสาวระหว่างที่กำลังเดินกลับไปยังหอนอน
"ทำไมล่ะหลิวกุ้ย หรือเจ้าก็คิดอย่างที่แม่รองกับซินเอ๋อร์คิด" รั่วเหรินซีถามขึ้น ในขณะที่ย่างกรายเดินขนาบกับกำแพงริมระเบียงที่ทอดยาวจนมองออกไปเห็นสวนพฤกษาที่มีดอกไม้นานาพรรณปลูกอยู่
หลิวกุ้ยหันมองซ้ายทีขวาทีก่อนจะเร่งฝีเท้าเดินให้ทันผู้เป็นนาย ก่อนจะเอ่ยขึ้นเสียงเบา
"บ่าวเคยได้ยินมาว่าจางไท่ฝูไม่เคยสนใจสตรีนางใด คุณหนูว่าไม่แปลกหรือเจ้าคะ"
"แปลกอย่างไรหรือ?" วาจาของหลิวกุ้ยทำให้รั่วเหรินซีชะงักฝีเท้าลงและหันกลับมาถามด้วยความสงสัย
"บุรุษอายุมากแล้วอย่างจางไท่ฝู ไม่เคยแตะต้องหรือชายตาแลสตรีใด แม้กระทั่งบ่าวบำเรอสักคนก็ยังไม่มี มิแน่ว่าจางไท่ฝูอาจจะเป็นพวกต้วนซิ่วก็ได้นะเจ้าคะ" ประโยคสุดท้ายหลิวกุ้ยกล่าวเสียงเบาลงให้ได้ยินเพียงสองคนเท่านั้น
รั่วเหรินซีจึงเปล่งเสียงหัวเราะออกมาดังลั่นด้วยความขบขัน ดูเหมือนว่าหลิวกุ้ยจะเข้าใจผิดไปหลายส่วน แต่ทว่านางจะไม่แก้ความเข้าใจผิดให้หลิวกุ้ยตอนนี้หรอกนะ รอให้ถึงวันแต่งงานเมื่อใด หลิวกุ้ยก็จะรู้เองนั่นแหละ
ทางด้านหลิวกุ้ยได้แต่เอียงคอมองเจ้านายด้วยความแปลกใจ จู่ๆคุณหนูของนางหัวเราะอะไรกัน มีเรื่องอะไรน่าขันงั้นหรือ หากแต่ว่านางยังไม่ทันได้ถามก็มีเสียงหนึ่งดังขัดขึ้นมาเสียก่อน
"พี่สาวสำรวมกิริยาหน่อยเถิด หรือเป็นเพราะว่าแม่ใหญ่จากไปตั้งแต่เด็กจึงไม่มีผู้ใดสั่งสอนอบรมเรื่องมารยาท" วาจานั้นดังมาจากทางด้านหลังของรั่วเหรินซี เมื่อหันไปมองจึงเห็นร่างระหงของน้องสาวต่างมารดากำลังเดินเข้ามา
"คุณหนูหรงซินโปรดระวังคำพูดด้วยเจ้าค่ะ" หลิวกุ้ยไม่พอใจนักที่รั่วหรงซินพูดจาไม่ให้เกียรติพี่สาวของนาง ทั้งๆที่รั่วเหรินซีเป็นถึงบุตรสาวของฮูหยินใหญ่ แต่ทว่าหลังจากที่ฮูหยินใหญ่จากไป เยว่เล่อซินจึงขึ้นมาเป็นใหญ่แทน นางดูแลจัดการเรื่องภายในเรือนทุกอย่าง เกียรติของรั่วเหรินซีก็ถดถอยลงไปด้วย ไม่รวมกับเบี้ยรายเดือนที่เคยได้ใช้อย่างสบาย ทว่ากลับถูกเยว่เล่อซินสั่งให้หักลงครึ่งหนึ่งเมื่อหกเดือนก่อน ทำให้ทุกวันนี้นางแทบไม่มีเงินซื้อผ้ามาตัดอาภรณ์ตัวใหม่เลย
ทว่าเพียงแค่เอ่ยจบประโยค หลิวกุ้ยก็ต้องผงะถอยไปข้างหลังเมื่อได้ยินเสียงแข็งกระด้างของรั่วหรงซินที่ตะโกนใส่หน้าของนางเสียงดัง
"เป็นเพียงบ่าวอย่าเสนอหน้ามาสอดเรื่องของเจ้านาย!"
"ข้าไม่มีท่านแม่คอยอบรมสั่งสอนจึงไม่รู้มารยาทก็นับเป็นเรื่องปกติ แต่เจ้ามีท่านแม่อยู่ทั้งคน แต่กลับทำตัวหยาบคายไม่ต่างจากเด็กกำพร้าอย่างข้า หรือเป็นเพราะว่าแม่รองไม่เคยอบรมสั่งสอนเจ้า" รั่วเหรินซีกล่าวเสียงเรียบ แต่ถ้อยคำของนางกลับสร้างความเจ็บใจให้กับรั่วหรงซินจนถึงกับอ้าปากค้างด้วยความตกใจ ไม่นึกว่ารั่วเหรินซีจะกล้าพ่นวาจาร้ายกาจตอบโต้นางเช่นนี้
หมั่บ!
เรียวแขนของรั่วเหรินซีถูกมือของรั่วหรงซินกระชากบีบแน่น ในขณะที่นางขึงตาใส่อย่างข่มขู่ หรือเป็นเพราะนางไม่ได้ออกแรงกับรั่วเหรินซีนานแล้ว ฝีปากนางถึงกล้ามากขึ้นกว่าเดิม
"พี่สาว ท่านคงจะลืมไปแล้วกระมังว่าตอนนี้ท่านไม่มีฮูหยินใหญ่คอยคุ้มกะลาหัวเหมือนตอนเด็กๆแล้ว"
"จะทำอะไร" รั่วเหรินซีรู้สึกเจ็บไม่น้อย เพราะนอกจากรั่วหรงซินจะใช้มือบีบแล้วยังใช้เล็บยาวๆจิกลงไปบนผิวนุ่มของนางอีกด้วย
"ในเมื่อไม่มีใครสั่งสอนท่าน เช่นนั้นข้าจะเป็นคนสั่งสอนท่านเองว่าไม่สมควรพูดจาเช่นนี้กับข้า"
ผลั่ก!
รั่วหรงซินออกแรงผลักคนตรงหน้าจนล้มคะมำและรีบเดินเข้าไปหา มือบางยกขึ้นหมายจะตบสั่งสอนคนปากดี หากแต่ว่ารั่วเหรินซีกลับใช้เท้าถีบไปที่ท้องของนางก่อน
"โอ๊ย!" รั่วหรงซินหงายหลังล้มก้นจ้ำเบ้าอยู่บนพื้นพลางส่งเสียงร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวด ทว่าเพียงไม่นานนางก็เปล่งเสียงกรีดร้องออกมาเสียงดังเมื่อรั่วเหรินซีปรี่เข้ามาคร่อมนางเอาไว้
"นังเด็กกำพร้าเจ้าจะทำอะไรข้า!" หญิงสาวตวาดใส่คนตรงหน้าเสียงดังลั่น ในสายตาของนางไม่เคยมองรั่วเหรินซีเป็นคนในครอบครัว อีกทั้งยังเกลียดชังสตรีผู้นี้จนจับใจ รั่วเหรินซีแย่งความรักจากท่านพ่อรั่วเฉิงไปจากนาง ไม่ว่าจะทำอะไรท่านพ่อก็ล้วนเข้าข้างตามใจ ท่านแม่เยว่เล่อซินกังวลเป็นอย่างมาก อีกทั้งยังบอกกับนางว่าต้องรีบหาทางขับไล่รั่วเหรินซีออกไปจากจวน ก่อนที่ทรัพย์สมบัติของท่านพ่อจะถูกนางแย่งไปจนหมด
"ลูกกำพร้างั้นหรือ..." รั่วเหรินซีแสยะยิ้มเหี้ยม คนปากดีเช่นรั่วหรงซินต้องโดนสั่งสอน!
"กรี๊ดดด อุ๊บ!" เสียงกรีดร้องที่ดังออกมาจากปากบางเงียบไปทันทีเมื่อมีรองเท้าผ้าไหมเนื้อดีลายดอกโบตั๋นถูกยัดใส่ปากกลบเสียงร้องไปจนหมดสิ้น
"ว้าย! คุณหนู" สาวใช้คนสนิทของรั่วหรงซินรีบปรี่เข้าไปหานาง ช่วงเวลาแห่งความวุ่นวายบังเกิดขึ้น ก่อนที่รั่วเหรินซีจะหันไปคว้ามือของหลิวกุ้ยวิ่งออกไปจากประตูจวนอย่างรวดเร็ว
"หลิวกุ้ยไปเตรียมรถม้า" ขณะที่กำลังวิ่งนางก็เอ่ยสั่งไปด้วย
"ไปไหนเจ้าคะคุณหนู" หลิวกุ้ยถามด้วยความสงสัย
"ออกไปข้างนอกน่ะสิ ยามนี้ท่านพ่อไม่อยู่เรือน อีกไม่นานหรงซินต้องไปฟ้องแม่รองเป็นแน่" และหากนางฟ้องสำเร็จ แน่นอนว่าเยว่เล่อซินไม่ยอมแน่ที่นางไปทำร้ายรั่วหรงซิน รั่วเหรินซีไม่อยากมีเรื่องในตอนนี้เพราะท่านพ่อไม่อยู่ อีกทั้งบ่าวไพร่ทุกคนในเรือนส่วนมากเชื่อฟังฮูหยินรองเพราะหวาดกลัวอำนาจของนาง รั่วเหรินซีจึงคิดว่านางควรจะหลบออกไปข้างนอกสักพัก รอจนกระทั่งท่านพ่อกลับมาก็แล้วกัน
และก็เป็นดั่งที่คาดการณ์เอาไว้ เสียงฝีเท้าคนดังตึกตักกำลังมุ่งหน้ามาทางหน้าประตูเมื่อหันไปมองจึงเห็นเยว่เล่อซินพร้อมด้วยสาวใช้ราวห้าหกคน อีกทั้งยังมีรั่วหรงซินเดินตามมาอย่างติดๆ โชคดียิ่งนักที่พลขับรถม้านำรถม้าวิ่งเข้ามาพอดี รั่วเหรินซีจึงรีบเปิดประตูกระโดดขึ้นรถม้าอย่างรวดเร็ว ครั้นเมื่อเยว่เล่อซินเร่งฝีเท้ามาจนถึงจุดที่รั่วเหรินซียืนอยู่ก็ไม่ทันการณ์แล้ว เพราะรถม้าคันใหญ่ได้วิ่งออกไปจากประตูเรือนสกุลรั่วเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
รถม้าของสกุลรั่ววิ่งเข้ามาหยุดลงอยู่ที่วัดบนภูเขา แม้เวลานี้จะเป็นเวลายามอุ้ย (13.00 - 14.59 น.) แต่นอกจากรั่วเหรินซีกับหลิวกุ้ยแล้วที่วัดกลับเงียบสงบไม่เห็นเงาคนแม้แต่ผู้เดียว
"อุ๊ย! รองเท้าของคุณหนู..."
เสียงอุทานของหลิวกุ้ยทำให้รั่วเหรินซีก้มหน้ามองไปยังเท้าของตน ทำให้เห็นรองเท้าที่ติดอยู่ในเท้าเพียงข้างเดียว เพราะอีกข้างนางได้ใช้มันจับยัดปากของรั่วหรงซินไปแล้ว
"หากคุณหนูไม่รังเกียจใส่รองเท้าของบ่าวก็ได้เจ้าค่ะ" หลิวกุ้ยกุลีกุจอถอดรองเท้าของตัวเองให้เจ้านายสาว รั่วเหรินซีมองรองเท้าที่ทำจากผ้าสีหม่นเก่าๆของนาง ก่อนจะส่ายศีรษะไปมา
"ข้าไม่ได้รังเกียจเจ้าหรอกนะหลิวกุ้ย หากแต่วันนี้ข้าอยากถอดรองเท้าเดินมากกว่า" หญิงสาวเอ่ยพลางส่งยิ้มกว้างให้สาวใช้คนสนิท ก่อนที่นางจะดึงรองเท้าข้างเดียวของตนออก โดยไม่สนใจเสียงร้องห้ามของหลิวกุ้ย จากนั้นก็เดินเท้าเปล่าเข้าไปในประตูวัดทันที
วัดแห่งนี้มีชื่อว่าวัดไต้หรู เป็นวัดเล็กๆที่ตั้งอยู่บนเนินเขา รั่วเหรินซีคิดว่าเป็นเพราะวัดไต้หรูตั้งอยู่ห่างไกลจึงทำให้ไม่มีผู้ใดแวะเวียนขึ้นมามากนัก ทว่าเพียงแค่นางเดินตรงไปยังประตูอุโบสถยังไม่ทันจะได้เข้าไปข้างใน สายตาก็เห็นบุรุษผู้หนึ่งเดินออกมาจากประตูเรือนพักพร้อมกับนักพรตหญิงคนหนึ่ง
รั่วเหรินซีเบิกตากว้างด้วยความตกใจ ก่อนที่นางจะรีบเบือนหน้าหนีภาพที่ไม่น่าพิศมัยตรงหน้าเมื่อเห็นสายตาคมกริบของบุรุษผู้นั้นตวัดมองมายังนาง หญิงสาวรีบเดินตัวแข็งเข้าไปในอุโบสถ ได้แต่ภาวนาขอให้บุรุษผู้นั้นไม่รู้ว่านางเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทั้งๆที่ในใจกำลังคิดว่าชายหญิงอยู่ด้วยกันตามลำพังภายในเรือนพักจะทำอะไรกันนอกเสียจากว่า...
'แย่จริงๆ ชายไม่มีจิตสำนึก ส่วนสตรีก็ชั่วช้าเป็นถึงนักพรตหญิงแต่กลับทำเรื่องเสื่อมเสีย!' รั่วเหรินซีพยายามลบภาพที่เห็นออกไปจากสมอง ก่อนจะพุ่งความสนใจไปที่รูปปั้นองค์เจ้าแม่มาจู่ที่ตั้งอยู่เบื้องหน้าแทน และหลับตาพนมมือไว้กลางอก
"ขอให้ว่าที่สามีของข้าเอ่ยปากขอหย่ากับข้าไวๆ ไม่ว่าข้าจะทำอะไรก็ขอให้ดูขัดหูขัดตาเขาไปเสียหมดนะเจ้าคะ" หญิงสาวเอ่ยปากลั่นคำอธิษฐานออกมาเสียงดัง วาจาของนางไม่เพียงแต่ทำให้หลิวกุ้ยตกใจ ทว่าคนที่เดินเข้ามาใหม่ก็ถึงกับต้องชะงักฝีเท้าพร้อมขมวดคิ้วเข้าหากันจนเป็นปมแน่นด้วยความแปลกใจ
'สตรีผู้นี้แปลกพิลึกคนยิ่งนัก' ชายหนุ่มคิดในใจ ที่ผ่านมาเคยเห็นแต่หญิงสาวมาอธิษฐานขอพรให้สามีรักใคร่ในตัวนาง บ้างก็ขอพรให้ความรักยั่งยืน แต่ทว่าสตรีตรงหน้ากลับอธิษฐานขอให้สามีของนางหย่าขาดจากนางไวๆ เสียอย่างนั้น
