บทที่ 5 น้ำตาแทนคำจากลา
บทที่ 5 น้ำตาแทนคำจากลา
ยามเช้าในวันฤกษ์ดี ขบวนเกี้ยวแดงเคลื่อนไปตามถนนใหญ่ของเมืองหลวง เสียงฆ้องกลองดังกึกก้อง ตลอดเส้นทางชาวบ้านต่างมุงดูด้วยความชื่นชม เจ้าสาวของตระกูลหลินช่างงดงามนัก แม้ในยามนั่งอยู่ในเกี้ยว นางก็นั่งตรงอย่างสง่างาม ข้างกายมีแม่นมคนสนิทเช็ดน้ำตาเงียบ ๆ โดยไม่พูดอะไร
มิ่งหุ้ยเองก็เงียบ ไม่แม้แต่จะปลอบใจแม่นม…เพราะนางรู้ดี หากเอ่ยคำใดออกไป น้ำเสียงนั้นคงสั่นจนกลายเป็นเสียงสะอื้น
“เขาคงคิดได้แล้ว…ว่าควรเลือกทางใด”นางบอกตนเองซ้ำ ๆ แม้ใจจะเจ็บแทบลมหายใจขาดห้วง
เกี้ยวเจ้าสาวเคลื่อนเข้าสู่เขตจวนหลินแล้ว บิดาของนาง ซึ่งส่งนางขึ้นเกี้ยวด้วยมือของตน ยังคงยืนอยู่หน้าประตูบ้าน หวังว่าลูกสาวจะได้พบความสุข…แม้ในใจลึก ๆ จะรู้สึกกังวล
เสียงบ่าวตะโกนว่า “ถึงแล้ว!”
มิ่งหุ้ยก้มหน้าเตรียมตัวลงจากเกี้ยว แต่แล้ว…เสียงฝีเท้าม้าดังขึ้นจากด้านหลัง ขบวนรถม้าอีกขบวนหนึ่งแล่นมาหยุดลงอย่างช้า ๆ ที่หน้าประตูจวนเดียวกัน
มิ่งหุ้ยกัดริมฝีปากจนเลือดซึม หัวใจพลันร่วงวูบ
นางเงยหน้าขึ้นช้า ๆ เพียงพอให้เห็นภาพตรงหน้า
เกี้ยวแดงอีกคันหนึ่ง
หยุดอยู่หน้าประตูเดียวกัน
ตรงนั้น หลินเฉินในชุดเจ้าบ่าวยืนรออยู่ ใบหน้าของเขานิ่งขรึม สายตาที่ยามใดเคยมองนางด้วยแววรักอ่อนโยน บัดนี้มองตรงมาอย่างไม่รู้สึกผิดแม้แต่น้อย
ประตูเกี้ยวอีกคันเปิดออก สตรีในชุดเจ้าสาวรองก้าวลงมาอย่างอ่อนช้อย หลานสาวของมารดาหลินเฉินนั่นเอง…ผู้ซึ่งมารดาของเขาตั้งใจให้เป็นอนุ
“หมายความว่าอย่างไรกัน“
สตรีผู้นั้นเดินตรงเข้ามา ใบหน้าแต่งแต้มรอยยิ้มที่แฝงความหมาย นางหยุดยืนเคียงข้างหลินเฉิน แล้วยิ้มน้อย ๆ ให้มิ่งหุ้ยที่ยังยืนอยู่หน้าประตูเกี้ยวของตน
“มาขนาดนี้แล้ว…ยังไม่ชัดเจนอีกหรือ พี่หญิง”
คำเรียกขานนั้นอ่อนหวาน ทว่ากรีดลึกเข้าใจกลางอก
มิ่งหุ้ยเงียบงัน ทั้งโลกเหมือนหยุดหมุน ไม่มีเสียงฆ้อง ไม่มีเสียงแห่ขันหมาก มีเพียงเสียงหัวใจของนางที่เต้นแผ่วลงเรื่อย ๆ
“ชัดเจน…”
น้ำตาหยดหนึ่งหล่นลงกระทบพื้นหินเย็นเยียบ ราวกับกรีดรอยลงกลางใจของนางทุกหยาดหยด ใจของเขาในยามนี้ก็ไร้ซึ่งไออุ่น ไม่เหลือแม้เพียงเศษเสี้ยวความอาทรหรือห่วงใย ทั้งที่ครั้งหนึ่งเคยเอ่ยคำมั่นสัญญา ว่าจะดูแลกันจนวันตาย
นางยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ท่ามกลางลมหนาวที่พัดกรรโชกคล้ายจะพาเอาความทรงจำทั้งมวลหายไป ไม่เอ่ยคำใดออกมา มีเพียงหยาดหยดสุดท้ายแห่งความรู้สึกที่ไหลรินออกจากดวงตาคู่งาม แต่เต็มไปด้วยความหม่นเศร้า
“ขอให้น้ำตาหยดนี้…แทนคำอำลา” เสียงของนางเบาดุจสายลมยามเช้า ทว่าเจ็บลึกดั่งคมมีดที่กรีดลึกเข้าไปในหัวใจ
เขาไม่แม้แต่จะขยับ เขามองนางด้วยแววตาเฉยชา เย็นชาจนแทบไม่เชื่อว่านี่คือสายตาของผู้ที่เคยรักกัน ไม่มีแม้แววลังเล ไม่มีความอาวรณ์ ไม่แม้แต่คำขอโทษสักคำ
ข้างกายเขา บัดนี้มีอีกสตรีหนึ่งยืนเคียงข้าง สตรีที่ยิ้มด้วยความภาคภูมิใจ รอยยิ้มนั้นบ่งบอกถึงชัยชนะ ว่านางคือผู้ชนะ คือคนที่ได้ยืนเคียงข้างเขาในที่สุด
นางได้แต่มองภาพนั้นทั้งน้ำตา หัวใจที่เคยเปี่ยมไปด้วยรักกลับปริร้าวจนแทบสิ้นซาก
“ต่อจากนี้…เจ้าจะมีนางอยู่เคียงข้าง ส่วนข้าจะหายไปจากชีวิตเจ้า อย่างที่เจ้าต้องการ”
นางผินหน้าจากมาในขณะที่เสียงในจวนสกุลหลินยังคงครึกครื้นด้วยบรรยากาศของงานมงคล
แต่สำหรับมิ่งหุ้ยแล้ว…วันนี้ไม่ใช่วันแห่งความยินดี ไม่ใช่วันแต่งงานของนาง หากเป็นวันสิ้นสุดความฝันที่นางเฝ้าทะนุถนอมมานานแสนนาน
นางพึมพำเบา ๆ กับตนเอง ก่อนหันไปสบตากับหลินเฉินอีกครั้ง แววตานั้น…ไม่ได้อ้อนวอน ไม่ได้สั่นไหว
มีเพียงความว่างเปล่าและการตัดใจอย่างเด็ดขาด
นางยกชายกระโปรงขึ้นก้าวลงจากเกี้ยว ท่ามกลางสายตาของบ่าวไพร่และแขกเหรื่อในงาน นางเดินตรงเข้าไปหาหลินเฉินแต่ไม่ใช่เพื่อรับถาดน้ำตาล ไม่ใช่เพื่อก้าวข้ามเตาไฟ
นางหยุดยืนต่อหน้าเขา
“ขอบคุณเจ้าสำหรับความรักที่ผ่านมา”
นางหันหลังกลับโดยไม่รอให้เขาเอ่ยอะไร แม้เพียงคำเดียวก็ไม่มีให้
เกี้ยวของเจ้าสาวถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง…เช่นเดียวกับความรู้สึกของนางที่ถูกทิ้งมาก่อนหน้านั้นนานแสนนานแล้ว
เสียงเกี้ยวเจ้าสาวที่ควรจะนำพานางเข้าสู่จวนสามี บัดนี้กลายเป็นเพียงสิ่งของไร้ค่า ขบวนขันหมากที่ควรต้อนรับเจ้าสาว กลับกลายเป็นภาพที่กรีดแทงใจยิ่งกว่ามีดใด
นางเดินจากมา…ช้า ๆ
แต่ละก้าวเต็มไปด้วยความปวดร้าว ทุกก้าวที่ย่ำลงบนลานหินนั้น ดุจเดินข้ามเศษแก้วที่บาดลึกเข้าถึงวิญญาณ
ผู้คนที่เคยมุงดูเงียบงัน มีเพียงสายตาเวทนาและงุนงง ไม่รู้ว่าควรดีใจหรือเสียใจ
ไม่มีใครกล้าเอ่ยถาม ไม่มีใครกล้าเข้าไปห้าม
แม่นมที่ติดตามมา รีบวิ่งเข้ามาคว้ามือของนางไว้
“กลับกันเถอะ… ข้าคงคาดหวังจากชายผู้นั้นมากเกินไป”
น้ำเสียงของนางเรียบเย็น แต่ในแววตากลับซ่อนความผิดหวังที่ลึกยิ่งกว่าความโกรธ
“ข้าคิดว่า…ในห้วงสุดท้าย ที่เขายอมให้คนมายกเกี้ยวเจ้าสาว เขาคงสำนึกได้แล้วว่าอะไรคือสิ่งที่ควรทำ”
นางหลุบตาลงต่ำ ยิ้มเย้ยให้กับความคิดของตนเอง
“แต่ข้าคิดผิด…อย่างสิ้นเชิง”
นางเคยให้โอกาสเขา
ให้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ให้แม้ในวันที่หัวใจของตนเองแทบไม่มีอะไรหลงเหลือแต่เขากลับทอดทิ้งมันไว้กับความเงียบ
กับการไม่เลือก กับความลังเลที่ฆ่าคนรักได้โดยไม่ต้องเปื้อนมือ และคงโยนความผิดนี้ให้มารดาเช่นทุกครั้ง
“ถึงเวลาแล้ว…ที่ข้าจะให้โอกาสตัวเองเสียที”
น้ำเสียงของนางเด็ดขาดยิ่งกว่าครั้งไหนหากวันใดเขาย้อนกลับมาทวงถามถึง ‘โอกาส’ จากนางอีก…ก็ขอให้รู้ไว้ว่า
ไม่มีอีกแล้ว
และไม่มีวันเหลืออยู่ในหัวใจนี้อีกต่อไป
“คุณหนู!“
แม่นมพยักหน้าอย่างสะอื้น แล้วจัดแจงเสื้อผ้าของมิ่งหุ้ยให้เรียบร้อยอีกครั้ง นางจัดปิ่นปักผมให้มั่น แล้วยื่นผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวคืนมาให้นาง
แต่มิ่งหุ้ยกลับยกมือนิ่ง
“ไม่ต้อง…ข้าไม่จำเป็นต้องคลุมหน้า เพื่อรอให้ใครเปิดผ้าคลุมนั้นอีก”
ท่ามกลางแสงแดดอ่อนของยามสายนางในชุดเจ้าสาวแดงชาดเดินออกจากจวนสกุลหลินอย่างสง่างาม
แม้จะไม่มีดนตรีบรรเลง
แม้จะไม่มีเจ้าบ่าวยืนรออยู่หน้าเตาไฟ
แม้จะไม่มีคำแสดงความยินดีจากญาติผู้ใหญ่แต่นางก็ยังมีศักดิ์ศรีและหัวใจที่เข้มแข็งของตน
