ตอนที่ ๓.๒ คำขอจากชายลึกลับ
“เหี้ย!”
ทันทีที่ประตูเปิดออก ผมก็ขนหัวลุกเลยครับ ผมเบิกตากว้าง กำด้ามไม้กวาดในมือไว้แน่น แล้วก็ตะโกนสุดเสียง
“ไหนป้าบอกว่าเข้ามาทำความสะอาดทุกอาทิตย์ไงเล่า แล้วทำไมฝุ่นมันเยอะแบบนี้อะ?”
เสียงของผมดังก้องไปทั้งบ้าน สักพักผมก็ได้ยินเสียงสะท้อนกลับมา “ทำเฉพาะห้องนอนของคุณเพียงฝันกับห้องชั้นล่าง ฝั่งนั้นป้าไม่เคยทำ”
“มิน่าล่ะถึงชิงเลือกปีกขวา ป้านะป้า”
ผมบ่นอุบ ก่อนจะเดินเขย่งปลายเท้าเข้ามาด้านในสุดของห้อง ดึงผ้าสีขาวที่มันคลุมเครื่องนอนออกมาพับไว้ ก่อนจะเริ่มลงมือปัดกวาดเช็ดถู
กว่าจะทำห้องแรกจนสะอาด ผมก็เหงื่ออาบทั้งตัวเลยละครับ พอมองสำรวจไปทั่วห้องว่าเอี่ยมอ่องเรียบร้อย ผมก็ย้ายไปห้องที่สองทันที
ห้องนี้ก็ไม่ต่างกันนักหรอกครับ แต่ดีหน่อยที่ห้องไม่ได้ใหญ่มาก ผมจึงกลั้นใจทำไม่นานก็เสร็จเรียบร้อย ถัดไปก็ห้องที่สามที่มีขนาดพอ ๆ กัน เรี่ยวแรงของผมยังเหลือมากพอที่จะทำมันให้เสร็จก่อนจะเย็นแน่ ๆ
ถึงแม้จะไม่ได้กลัวแต่ผมก็เกรงใจคฤหาสน์เก่าแก่หลังนี้อยู่นะครับ ก็วันก่อนป้าปรางค์ยังบอกว่าอย่าเข้ามาเพ่นพ่านในยามวิกาล แล้วใครจะอยากอยู่นาน ๆ จนถึงตะวันตกดินกันล่ะครับ ผมจึงก้มหน้าก้มตารีบทำความสะอาด เอาโทรศัพท์มือถือออกมาเปิดเพลงฟังเสียงดังลั่น เพราะว่าห้องนี้มันอยู่ห่างจากปีกขวาจนไม่ได้ยินเสียงป้าปรางค์แล้วน่ะครับ
“เฮ้อ! เสร็จสักที”
ผมยืนมองผลงานของตัวเองอย่างภาคภูมิใจ การใช้ชีวิตเพียงลำพังในควีนส์แลนด์ก็มีข้อดีหลายอย่างเหมือนกันนะครับ จากเด็กที่เคยทำอะไรไม่เป็นเลย ไม่ใช่เพราะว่าถูกเลี้ยงดูมาอย่างดีหรือว่าป้ากับยายตามใจหรอกนะครับ แต่ว่าผมมันดื้อ แล้วก็ขี้เกียจน่ะ ห่วงแต่เล่นอย่างเดียว ป้ากับยายใช้ให้ทำอะไรผมก็ไม่ค่อยทำ พวกท่านรำคาญก็เลยเอาไปทำเสียเอง แต่ตอนอยู่ที่ควีนส์แลนด์ไม่มีคนคอยบ่นคอยว่า แล้วก็ไม่มีคนมาคอยทำให้ด้วยครับ ผมจึงต้องช่วยเหลือตัวเอง รวมทั้งตอบแทนลูคัสกับเอมมิลี่ด้วย ช่วงที่เธอตั้งท้องเมื่อปีก่อน ผมก็อาสาทำงานบ้านให้ทั้งหมด จนติดนิสัยรักสะอาดมาจนถึงทุกวันนี้
แสงสีทองยามเย็นเริ่มส่องเข้ามาทางช่องหน้าต่างบานสูงตรงสุดทางเดิน บ่งบอกว่าเป็นเวลาเย็นมากแล้ว อีกไม่นานดวงอาทิตย์คงจะลับขอบฟ้า แล้วความมืดในยามราตรีก็จะเข้ามาเยือน
“แล้วกูจะบิลต์ให้บรรยากาศมันน่ากลัวทำไมวะ?”
ผมด่าตัวเองก่อนจะก้าวเท้าไปยืนอยู่หน้าห้องสุดท้าย ห้องนี้เป็นห้องที่ใหญ่ที่สุดในปีกซ้าย มุมดีเสียด้วยเพราะอยู่ทางด้านทิศตะวันตกที่ติดกับสระบัวสีแดงขนาดใหญ่ หากมองออกไปจากหน้าต่างของห้องนี้จะเห็นวิวสระบัวกว้างขวางทอดตัวยาวจนถึงแนวรั้ว มองเลยไปจะเป็นคลองขนาดใหญ่ที่แยกมาจากแม่น้ำแม่กลองอีกที
ผมค่อย ๆ ผลักประตูเข้าไปอย่างเตรียมตัวเตรียมใจจะรับมือกับความหนาของฝุ่นในห้องนี้เพราะมันเป็นห้องริม ล้อมรอบไปด้วยประตูหน้าต่าง ช่องลม และทางออกระเบียงขนาดใหญ่ ลมแม่น้ำอาจจะพัดเอาทรายเอาฝุ่นเข้ามาสะสมไว้มากมายก็เป็นได้ แต่แล้วผมก็ต้องแปลกใจ เพราะเมื่อเปิดประตูเข้าไปกลับไม่เป็นอย่างที่ผมคิดเลยสักนิดเดียว
“ว้าว!”
ผมต้องเปล่งเสียงอุทานออกมาเพื่อระบายความประหลาดใจนั้น เพราะห้องทั้งห้องสะอาดสะอ้านเงาวับราวกับมีคนคอยปัดกวาดเช็ดถูอยู่ทั้งเช้าทั้งเย็น บานหน้าต่างเปิดกว้างทุกบานเพื่อรับลม ตู้โต๊ะดูเป็นระเบียบเรียบร้อย เตียงนอนสี่เสาแบบโบราณขนาดใหญ่ตั้งอยู่ตรงกลางห้อง ผ้าปูที่นอนตึงเป๊ะราวกับเพิ่งถูกจัดแต่งอย่างดีโดยฝีมือนักการโรงแรม
ผมค่อย ๆ วางอุปกรณ์ทำความสะอาดลงไว้ตรงประตูห้อง แล้วก้าวเท้าเข้าไปอย่างลอย ๆ ผมละเลยที่จะหาเหตุผลว่าใครเป็นคนทำมัน ยามเมื่อสัมผัสกลิ่นหอมที่ลอยผ่านหน้าต่างเข้ามาปะทะประสาทรับกลิ่นของผม
“กลิ่นอะไร หอมจัง”
ในสมองของผมผุดคำตอบขึ้นมาโดยอัตโนมัติว่ามันคือกลิ่นของเกสรดอกบัว ปกติกลิ่นของมันไม่ได้กำจายขนาดนี้นี่นา หากไม่ได้เอาดอกมาสูดดมแรง ๆ คงเพราะใกล้ค่ำแล้วสินะ ดอกบัวสายในสระคงพากันเบ่งบาน พอลมพัดจึงพาเอากลิ่นหอมอบอุ่นของมันเข้ามาถึงในนี้
ผมเอื้อมมือแตะลงบนเตียง ก็พบว่ามันนุ่มน่านอนเหลือเกิน กลิ่นของมันหอมสะอาด ไม่มีกลิ่นอับเหมือนเครื่องนอนในสามห้องที่ผ่านมา
“ป้าปรางค์คงยังทำความสะอาดห้องฝั่งขวาไม่เสร็จหรอกมั้ง อย่างนั้นนินิวของีบสักหน่อยนะป้า แล้วค่อยลงไปช่วยยายพร้อมกัน”
ถือโอกาสนอนพักเอาแรงหน่อยก็แล้วกันนะครับ เดี๋ยวป้าปรางค์ก็คงมาเรียกผมเองนั่นแหละ แฮร่… ก็มันเมื่อยนี่นา
ผมไม่แน่ใจนักว่านี่ผมกำลังตื่นหรือว่ากำลังฝัน รู้แต่ว่าตอนนี้ผมกำลังยืนอยู่ที่ระเบียงห้องนอนห้องนั้น และผมกำลังมองลงไปที่สระบัวสาย มันมีสะพานไม้เล็ก ๆ ที่ยื่นเข้าไปในสระระยะสั้น ๆ ราวสักสองเมตร และผมเห็นว่ามีคนคนหนึ่งยืนอยู่บนนั้น!
มันคงไม่ชวนให้ขนลุกสักเท่าไร หากชายคนนั้นจะไม่อยู่ในชุดไทยโบราณ นุ่งผ้าโจงกระเบนสีน้ำตาล สวมเสื้อราชปะแตนสีงาช้าง ใส่ถุงเท้ายาวสีดำกับรองเท้าหนังสีเดียวกัน ไว้ผมรองทรง และในมือของเขาถือไม้เท้า!
“นั่นมัน…”
ในคราแรก ผมคิดว่าชายคนนั้นคือชายในภาพวาดที่เห็นตรงบันได แต่ทว่า… ทันทีที่ผมคิดเช่นนั้น เขาก็หันมาทางผมอย่างช้า ๆ ทำให้ผมเห็นใบหน้าของเขาชัดเจนแม้ว่าเราจะอยู่ห่างกัน
“เอ็งอยากได้เรือนหลังนี้ใช่หรือไม่ ข้าจะยกให้เอ็ง แต่เอ็งต้องทำบางอย่างให้ข้า”
“ทำอะไรครับ?”
ผีห่าตนไหนก็ไม่รู้ครับที่ทำให้ผมถามออกไป ทั้ง ๆ ที่ในใจก็รู้อยู่แล้วว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้าลึกลับเกินกว่าจะเรียกว่าคน อาจเป็นเพราะสิ่งตอบแทนที่ผมจะได้เป็นคฤหาสน์หลังใหญ่ที่ผมเคยใฝ่ฝันว่าอยากจะเป็นเจ้าของมัน จึงทำให้ผมหลงลืมคิดถึงความเป็นไปได้ที่มันแทบจะไม่มีเลย
ทันใดนั้น ใบหน้าของชายคนนั้นก็กลับมาอยู่ใกล้ผมจนน่าตกใจ แต่ไม่ใช่เพราะว่าเขาลอยมาหาผม แต่เป็นเพราะว่าตัวผมเองที่วาร์ปมายืนอยู่บนสะพานไม้กับเขาได้ยังไงก็ไม่รู้
‘กูหายตัวได้เหรอวะ?’
ชายคนนั้นจ้องเข้ามาในตาของผม “กลับไปแก้ไขเรื่องราวในอดีต”
แล้วเขาก็สั่งด้วยน้ำเสียงดุดัน แต่มันเจือไปด้วยการขอร้อง แววตาของเขาแข็งกร้าว แต่ก็เจือไปด้วยความคาดหวัง นั่นยิ่งทำให้ผมอยากรู้ว่าเขาต้องการที่จะแก้ไขอะไร
“แก้ไขอะไร แล้วอดีตของใครเหรอครับ?” ผมรีบถาม
เขายังไม่ตอบในทันที ทำเพียงหลุบตาลงต่ำ เหมือนกำลังซ่อนแววบางอย่างเอาไว้ แล้วเขาก็ค่อย ๆ เดินวนรอบตัวผม เสียงลงส้นเท้าหนักแน่นกอปรกับเสียงของไม้เท้าที่ถูกตอกลงบนพื้นสะพานไม้ดังก้องเป็นจังหวะเหมือนนับถอยหลัง ก่อนที่มันจะหยุดลงเมื่อเขาก้าวไปยืนอยู่ด้านหลังของผม
ผมกำลังจะหมุนตัวไปหา พลันก็รู้สึกถึงแรงฝ่าเท้าที่กระแทกเข้ามาที่กลางหลัง!
ตู้ม!
แล้วผมก็ลอยหวือลงไปในสระน้ำ!
“ลุง! มาถีบผมทำไมเนี่ย!?”
