บท
ตั้งค่า

ตอนที่ ๓.๑ คำขอจากชายลึกลับ

วันนี้ผมตามป้าปรางค์มาเยี่ยมคุณเพียงฝันที่โรงพยาบาล เพราะแม้ว่าจะไม่ได้เป็นญาติกันแต่ผมก็สำนึกถึงความเมตตาที่ท่านมีให้ผมมาตั้งแต่เด็ก จำได้ว่ามีอยู่ครั้งหนึ่งผมวิ่งซนจนไปชนถ้วยเบญจรงค์ของท่านตกแตก ป้าปรางค์ตีผมจนก้นลาย และขอร้องคุณเพียงฝันว่าอย่าเอาความผม โดยป้ายอมให้หักเงินค่าจ้าง และจะขอทำงานอย่างอื่นชดใช้ แต่คุณเพียงฝันก็ไม่ถือโทษ แถมยังปลอบใจว่าของมันเก่าคร่ำครึเช่นนั้น คงถึงคราวของมันพอดี เพียงแต่ผมดวงซวยไปชนเข้าเท่านั้นเอง

ยังมีอีกครั้งที่ผมแอบขโมยสายบัวในสระไปฝากยายขายที่ตลาดเพื่อจะเอาเงินไปเล่นเกม ยายถามว่าเอามาจากไหน ผมก็บอกว่าไปงมมาจากสระสาธารณะข้างทาง รุ่งขึ้นอีกวันป้าปรางค์มาบ่นให้ยายได้ยินว่ามีมือดีเข้าไปขโมยสายบัวจากสระในบ้านกลิ่นโกมุท จนสระที่เคยเต็มไปด้วยดอกบัวสีแดงเว้าแหว่งหมดความสวยงาม ตอนนั้นนั่นแหละยายจึงได้รู้ว่าเจ้าหัวขโมยคนนั้นเป็นผมเอง

ยายกับป้าพากันลากผมไปสารภาพกับคุณเพียงฝัน แต่แทนที่ท่านจะโกรธกลับหัวเราะชอบใจ ชมว่าขนาดดอกที่มันอยู่กลางสระลึก ๆ ผมยังไปเอามาได้ วันหลังท่านจะไหว้วานให้ช่วยเก็บบ้าง วันที่อยากกินแกงสายบัว

“เจ้านิรินธน์รึ?”

เสียงแหบโหยเปล่งถามออกมาอย่างยากลำบาก เปลือกตาเหี่ยวย่นนั้นกำลังพยายามที่จะลืมขึ้นมา ตรงหัวตามีน้ำผสมขี้ตาเหนียว ๆ คลออยู่ ป้าปรางค์จึงเอาทิชชูช่วยซับออกให้ ก่อนจะตอบแทนผม

“ใช่ค่ะคุณ เพิ่งกลับมาจากเมืองนอกได้สองวัน” ในน้ำเสียงของป้าดูจะภูมิอกภูมิใจที่หลานชายอย่างผมได้ขึ้นชื่อว่าเป็นนักเรียนนอก

ผมขยับเข้าไปใกล้ ๆ คุณเพียงฝัน ส่งเสียงให้ท่านได้ยินว่าผมยืนอยู่ข้าง ๆ ผมสังเกตเห็นว่าท่านพยายามจะเปิดเปลือกตาขึ้นมามองหน้าผม พร้อมกับยกมือขึ้นมาควานหา ผมจึงเอื้อมไปจับมือท่านไว้อย่างนอบน้อม เมื่อได้สัมผัสแตะต้องกันพลันมุมปากเหี่ยวย่นนั้นก็ยกยิ้มขึ้นมา ท่านลืมตาขึ้นมาสบตากับผม แววตาของท่านยังคงเต็มไปด้วยความเมตตา เพียงแต่ว่ามันดูเหนื่อยล้าและทรมานเต็มที

แม้ว่าตั้งแต่จำความได้ ผมก็เห็นว่าคุณเพียงฝันเป็นหญิงในวัยที่เรียกได้ว่าเป็นยาย ผิวกายเหี่ยวย่น เส้นผมสีดอกเลา แต่ภาพของท่านในความทรงจำของผม ท่านเป็นคนแก่ที่ยังคงดูสง่าสมกับเป็นผู้ที่มีเชื้อมีสาย ท่านแต่งตัวด้วยผ้าไหม สวมใส่เครื่องประดับที่เข้ากัน จัดแต่งทรงผมเป็นกระบังอย่างที่ผู้ใหญ่ชอบทำ ภาพแบบนั้นผมเห็นจนชินตา แต่ทว่าในเวลานี้ คุณเพียงฝันคล้ายกับไม้ใกล้ฝั่งที่ผุพังเกินพอดี ผิวหนังหุ้มกระดูก ริมฝีปากก็หุบเข้าไปด้านใน เบ้าตาลึก ดวงตาเกือบจะไร้แววใด ๆ มีเพียงแววดีใจที่ทอประกายออกมาแวบหนึ่งตอนที่ท่านสบตากับผมเท่านั้น

“นิรินธน์”

ท่านเรียกชื่อผมซ้ำอีกครั้ง ท่านชอบชื่อนี้มากเพราะเป็นชื่อที่ท่านตั้งให้ เพราะผมคลอดในบ้านของท่าน ไม่น่าเชื่อใช่มั้ยล่ะครับว่าผมเกิดในปี พ.ศ. 2545 ปีที่มีเทคโนโลยีทันสมัย การสาธารณสุขก้าวไกล แต่คนที่ทำคลอดผมคือหมอตำแย ที่น่าจะเป็นคนสุดท้ายที่ได้สืบทอดวิชาความรู้มา และคุณเพียงฝันเป็นคนตัดสายสะดือ นั่นคงเป็นเหตุผลที่ท่านเมตตาและเอ็นดูผมเป็นพิเศษละมั้ง

“ครับ” ผมตอบรับ พลางก็ออกแรงบีบมือท่าน “คุณท่านเป็นยังไงบ้างครับ” ผมเรียกท่านว่าคุณท่าน เพราะจำมาจากละครที่ดูตอนเด็ก แล้วก็เรียกติดปากมาจนถึงปัจจุบัน

ท่านบีบมือผมกลับ พร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงหอบเหนื่อย “อยากไปแล้ว แต่เขาไม่ยอมให้ไป”

“ใครครับ?” ผมคิดว่าท่านคงหลงตามประสาคนแก่นั่นแหละ พี่พยาบาลบอกผมกับป้าปรางค์ก่อนที่จะพาเข้ามาหาท่าน ว่าคุณเพียงฝันหลงลืมไปมาก บางครั้งก็พูดจาอะไรแปลก ๆ ผมจึงเออออไปกับท่าน เพื่อให้ท่านรู้สึกว่าเราคุยเรื่องเดียวกัน

“คุณทวด” ท่านพูดด้วยน้ำเสียงเหนื่อยอ่อนเต็มที

แต่ยังไม่ทันที่ผมจะถามอะไรต่อ พี่พยาบาลก็เข้ามาพอดี “หมดเวลาเยี่ยมแล้วค่ะ ปล่อยให้คุณยายพักผ่อนก่อนนะคะ ช่วงนี้คุณหมอเพิ่งเปลี่ยนยาตัวใหม่ให้ ท่านจะนอนเยอะหน่อยค่ะ บางทีคุย ๆ อยู่ก็ทิ้งเราให้พูดอยู่คนเดียว หนีหลับเฉยเลย” พี่พยาบาลพูดติดตลก แต่ประโยคถัดมาของเธอก็ทำให้ผมกับป้าปรางค์ดีใจ “แต่ร่างกายของคุณยายตอบสนองกับยาตัวใหม่ดีทีเดียวนะคะ คุณหมอบอกว่าอาจพากลับไปดูแลที่บ้านได้ ไม่จำเป็นต้องนอนติดเตียงอยู่ในโรงพยาบาลแล้ว”

หลังจากนั้นอีกสองวันป้าปรางค์ก็มาบอกกับผมว่าคุณเพียงฝันกำลังจะออกจากโรงพยาบาลในวันพรุ่งนี้ ผมแปลกใจมากเพราะวันก่อนที่ไปเยี่ยมอาการของท่านก็ยังไม่ได้เรียกว่าดี แม้พี่พยาบาลจะบอกว่าดีขึ้นมากเพราะได้ยาตัวใหม่ก็ตาม แต่ถึงกระนั้นผมก็ถูกป้าใช้ให้ไปช่วยกันทำความสะอาดบ้านกลิ่นโกมุท เพื่อเตรียมต้อนรับคุณเพียงฝันกลับมา

“บ้านหลังใหญ่ยังกับวัง เราทำกันแค่สามคนมันจะเสร็จเหรอป้า?” ผมขนเอาอุปกรณ์ทำความสะอาดออกมาจากห้องเก็บของพลางปากก็บ่น เพราะพอกวาดตามองบ้านหลังใหญ่แล้วใจมันท้อ

“ป้าเอ็งเขาเข้ามาทำความสะอาดอยู่อาทิตย์ละครั้ง มันไม่ได้สกปรกขนาดนั้นหรอก ช่วยกันคนละไม้คนละมือประเดี๋ยวก็เสร็จ เอ็งเองก็ว่างอยู่ไม่ใช่หรือไง” ป้าปรางค์ไม่ได้ว่าอะไรแต่ยายใส่ผมชุดใหญ่ “ถือว่าตอบแทนที่ท่านเคยเมตตาก็แล้วกัน”

“นิวก็ไม่ได้บอกว่าจะไม่ช่วยสักหน่อยนี่ยาย แค่กลัวว่ามันจะเสร็จไม่ทันคุณท่านกลับมาพรุ่งนี้เท่านั้น” ผมแก้ตัว

“อย่างนั้นก็รีบลงมือทำ มัวแต่พูดอยู่นั่นเมื่อไรมันจะเสร็จล่ะ”

ยายพรรณีคนขี้บ่นประจำตลาดกวาดพื้นไปบ่นไป ผมไม่อยากจะเถียงด้วยก็เลยเดินถือไม้กวาดอีกอันกับผ้าและกะละมังใส่น้ำที่ป้าปรางค์ยื่นให้ขึ้นไปทำความสะอาดชั้นบน

มุมหนึ่งของบ้านกลิ่นโกมุทที่ผมชอบมากก็คือบันไดสุดแสนอลังการที่ผมกำลังก้าวขึ้นมานี่แหละครับ ขั้นบันไดเป็นไม้สีขาว ราวบันไดเป็นเหล็กดัดสีทองลวดลายวิจิตรงดงาม ทางเดินขึ้นแยกเป็นสองด้านแล้วมาบรรจบกันตรงกลางตรงกับมุขด้านบน ตรงที่พักบันไดนั้นมีภาพถ่ายของครอบครัวกลิ่นโกมุทตั้งแต่สมัยคุณเพียงฝันยังเป็นเด็ก แต่บรรดาผู้คนในภาพเหล่านั้นผมรู้จักและเคยเจอแค่คุณเพียงฝันคนเดียว

ก็จะเคยเจอคนอื่นได้ยังไงล่ะครับ ขนาดคุณเพียงฝันยังแก่ขนาดนั้น ป่านนี้คนอื่น ๆ คงตายเป็นผีบรรพบุรุษหรือไม่ก็ไปเกิดใหม่กันหมดแล้วละ

เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ก็เกิดมีลมวูบหนึ่งพัดผ่านศีรษะของผมไป ผมรีบหันซ้ายแลขวาว่ามันพัดมาจากทางไหน ก็หาความเป็นไปได้ไม่เจอเลยครับ

“หน้าต่างก็ยังไม่ทันได้เปิด พัดลมแถวนี้ก็ไม่มีสักตัว แล้วลมมาจากไหนวะ?”

ผมตั้งคำถามพร้อมกับขนหัวที่ลุกซู่ขึ้นมาทันควัน แต่ก็จำต้องทำใจดีสู้เสือ ก้าวขึ้นบันไดต่อไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งผมมาหยุดอยู่ที่บันไดขั้นสุดท้าย ที่มีภาพวาดผู้ชายในชุดไทยนุ่งผ้าโจงกระเบนสีน้ำตาล สวมเสื้อราชปะแตนสีงาช้าง ใส่ถุงเท้ายาวสีดำกับรองเท้าหนังสีเดียวกัน เขาไว้ผมรองทรง ใบหน้าคมสัน ริมฝีปากบาง สันกรามบึกบึนสมเป็นชายไทย ในมือถือไม้เท้าราวกับเป็นคนแก่ แต่ใบหน้าก็ดูไม่น่าจะเกินสามสิบไปได้ เครื่องหน้าแต่ละอย่างแม้จะดูไม่มีอะไรโดดเด่นผิดไปจากชายไทยสมัยโบราณ แต่พอดูรวม ๆ กอปรกับรูปร่างแข็งแรงกำยำนั้นแล้วมันดูมีเสน่ห์เหลือเกินจนผมอยากจะร้องเพลงของพี่ป้าง นครินทร์ กิ่งศักดิ์

ระหว่างที่ผมกำลังจินตนาการถึงชายในภาพวาดว่าหากเขาเดินไปเดินมาอยู่ในปัจจุบันคงถูกนักปั้นสักคนเอาไปเล่นละครพีเรียดอย่างแน่นอน ป้าปรางค์ก็เดินขึ้นบันไดมา ผมจึงหันไปถามป้าเพราะไม่เคยเห็นภาพวาดภาพนี้มาก่อน

“คุณเพียงฝันจ้างจิตรกรมาวาดไว้เมื่อปีที่แล้วน่ะ ท่านว่าฝันถึงบรรพบุรุษ ก็เลยให้เขาวาดตามคำบอกเล่าของท่าน เป็นไง หล่อมั้ยล่ะ?” ป้าปรางค์พูดยิ้ม ๆ เมื่อเห็นว่าผมเอาแต่จ้องอยู่นาน

“คนนี้เหรอครับที่คุณท่านเรียกว่าคุณทวด”

“เอ… ป้าก็ไม่แน่ใจนะ ท่านไม่เคยบอกว่าเป็นใคร ชื่ออะไร ป้าเองก็ไม่กล้าถามมากเรื่องของเจ้านาย”

เหมือนป้าปรางค์หลอกด่าผมเลยนะครับ ว่าเสือกเรื่องของเจ้านาย ผมก็เลยหัวเราะแหะ ๆ แล้วก็รีบเดินขึ้นบันไดไปเริ่มลงมือทำความสะอาด

บ้านกลิ่นโกมุทมีทั้งส่วนที่เป็นโครงสร้างเก่าเมื่อร้อยกว่าปีก่อน และส่วนที่เพิ่งต่อเติมใหม่ในยุคหลัง ๆ แต่ก็สร้างให้กลมกลืนกัน พยายามไม่รื้อหรือทำลายของเก่า จึงทำให้บ้านหลังนี้ดูมีมนตร์ขลังบางอย่างที่ผสมผสานระหว่างความน่ากลัวและความน่าค้นหา เมื่อก่อนผมไม่ค่อยได้มีโอกาสขึ้นมาชั้นบนบ่อยนักหรอกครับ นอกจากว่าคุณเพียงฝันจะเรียกใช้งานแบบเฉพาะเจาะจงว่าต้องเป็นผมเท่านั้น ไหน ๆ วันนี้ก็มีโอกาสได้ขึ้นมา ผมขอเดินสำรวจหน่อยก็แล้วกัน

ตัวตึกชั้นบนถูกแบ่งเป็นห้อง ๆ มีโถงตรงกลางที่ตั้งชุดรับแขกแบบโบราณไว้หนึ่งชุด ดูจากสภาพแล้วมันคงไม่ได้ถูกใช้งานบ่อยนักหรอกครับ ผมกวาดสายตามองห้องต่าง ๆ ก่อนจะหยุดสายตาอยู่ทางปีกซ้ายของตัวบ้าน ในขณะที่ป้าปรางค์เดินแยกไปทางด้านขวาที่มันเป็นห้องนอนของคุณเพียงฝัน

“นิวไปกวาดถูสี่ห้องทางปีกซ้ายนะ เดี๋ยวป้าจะทำสี่ห้องทางปีกขวา เสร็จแล้วเราค่อยลงไปช่วยยายที่ชั้นล่าง” ป้าปรางค์สั่ง

“ครับป้า”

ผมรับคำแล้วก็เดินแยกออกมาหยุดอยู่ที่หน้าประตูห้องหนึ่ง มองมันอย่างชั่งใจพลางก็นึกในใจ

‘แหม… ป้าปรางค์ ชิงเลือกปีกขวาที่ต่อเติมใหม่ แล้วให้กูมาทำปีกซ้ายเนี่ยนะ’

ผนัง ประตู แม้จะถูกทาสีใหม่ทับลงไปอย่างประณีตจนเดาอายุของมันไม่ออก แต่ผมก็รู้ประวัติอยู่ดีนั่นแหละ โชคดีนะที่ผมเป็นคนไม่กลัวเรื่องลึกลับ เพราะว่าไม่เคยเจอกับตัว เด็กยุค 5G อย่างผม หากพิสูจน์ไม่ได้ก็ไม่มีทางเชื่อหรอกครับ ทุกอย่างมันเกิดจากความกลัวที่เราสร้างขึ้นมาเองต่างหาก เมื่อคิดได้ดังนั้นผมก็ผลักประตู ผัวะ เข้าไป

“เหี้ย!”

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel