ตอนที่ ๒.๑ เพียงผ่าน ไม่ทันพบ
ที่นี่ผมมีเพื่อนสนิทอยู่หนึ่งคนถ้วน เราคบกันมาตั้งแต่อนุบาล ชั้นประถม แล้วก็มัธยมต้น เราห่างกันตอนที่ผมย้ายเข้าไปเรียนต่อมอ ปลายในกรุงเทพฯ แต่กระนั้นก็ยังติดต่อเมาท์มอยกันอยู่เสมอ แม้แต่ตอนที่ผมอยู่ออสเตรเลียก็ตาม มันชื่อพิพิมครับ ชื่อเดิมก็พิมเฉย ๆ นี่แหละ แต่พอผมเปลี่ยนชื่อเป็นนินิว มันก็กระแดะเปลี่ยนตามผมว่า ‘พิพิม’
พิพิมเป็นหลานเจ้าของร้านทองในตลาด แต่มันเป็นลูกสาวของเมียคนที่สามของเตี่ย อากงอาม่าก็เลยไม่ค่อยรักเท่าไร เพราะคนจีนจะรักลูกหลานผู้ชายมากกว่า พิพิมมันก็เลยนอยด์ เพราะตอนเด็ก ๆ ทำอะไรก็ไม่เคยเข้าตา มันเลยประกาศกร้าวกับครอบครัวว่าผู้หญิงอย่างมันนี่แหละจะเก่งและดูแลตัวเองให้ได้ดีกว่าหลานผู้ชายห่วย ๆ ไม่เอาไหนของอากงอาม่า
พอมันเรียนจบมอปลายปุ๊บมันก็ย้ายออกมาอยู่หอพักคนเดียว แต่อยู่ซอยเดียวกับร้านทองนั่นแหละ ก็ไม่รู้ว่ามันจะย้ายมาทำห่าอะไร แล้วมันก็ทำงานพาร์ตไทม์ในร้านพิซซ่า หาเงินส่งตัวเองเรียนต่อในมหาวิทยาลัยโดยไม่ยอมขอเงินจากที่บ้านสักบาท นี่ต่างหากนิยามของลูกเศรษฐีที่อยากลองใช้ชีวิตลำบากที่แท้ทรู
ระหว่างที่ผมกำลังชะเง้อเข้าไปในร้านพิซซ่าที่พิพิมทำงานเพื่อมองหาว่ามันอยู่ในร้านหรือเปล่า ทันใดนั้นก็มีรถมอเตอร์ไซค์ที่มีกล่องสีเขียว-แดงวางอยู่ท้ายเบาะปาดเข้ามาตรงหน้าผมพร้อมกับคำทักทายที่คุ้นชิน
“ไอ้เหี้ยนิว!”
แค่ได้ยินเสียงผมก็จำได้ทันทีว่าเป็นเพื่อนสนิท ยิ่งพอมันถอดหมวกกันน็อกออกมาภาพหน้าของมันก็ชัดเจน จมูกเหมือนหมาตาไม่มีชั้นแบบนี้คือพิพิมแน่นอน
“อีห่าพิม!” ผมตกใจเพราะล้อหน้าของมอเตอร์ไซค์คันนั้นชนเข้ากับขาของผมจนเซไปด้านหลัง
พลันคนที่คร่อมมันอยู่ก็สับขาตั้งลงอย่างชำนาญ แล้วมันก็กระโดดมากอดคอผมทันที
“กูคิดถึงมึงเหี้ย ๆ เลยนิว”
“เออ กูก็คิดถึงมึง ถึงได้รีบมาหานี่ไง”
“ไหนมึงว่าจะมาอาทิตย์หน้าไง”
“เซอร์ไพรส์!”
ผมพูดคำนั้นเป็นครั้งที่สาม แต่ครั้งนี้มันไร้ซึ่งอารมณ์จนพิพิมมันจับได้ มันจึงถอยห่างจากผมไปสักครึ่งเมตร แล้วก็จ้องหน้าผมอย่างจับสังเกต
“มีเรื่องใช่มะ?”
“สัด! อ่านกูออกตลอด สมเป็นเพื่อนรัก”
“ยาวมั้ยวะ?” มันถามพร้อมกับมองเข้าไปในร้านพิซซ่าเพื่อประเมินว่ามีเวลาฟังปัญหาของผมได้นานแค่ไหน
“เอาไว้มึงว่าง กูค่อยเล่าให้ฟังแล้วกัน วันนี้มึงเลิกงานกี่โมงอะ?”
“บ่ายสอง”
“ทำไมเลิกเร็ว?”
“กูมีนัด” มันบอกยิ้ม ๆ สายตามีเลศนัยสุด ๆ “มึงไปกับกูนะ”
“โอว ม่าย” ผมรีบส่ายหน้า เพราะรู้ว่าถ้ามันทำตาแพรวพราวแบบนั้นไม่มีอะไรหรอกนอกจากนัดกับผู้ชาย ไม่ใช่ผู้ชายธรรมดาแต่ว่าต้องเป็นดาราหรือไม่ก็นักร้องแหละ
“น่านะ แป๊บเดียว เดี๋ยวกูเลี้ยงเหล้า”
เชี่ย เสือกเอาเหล้ามาล่อ
“ที่ไหน?” ผมก็เลยจำใจต้องไปกับมัน
มันบอกชื่อห้างสรรพสินค้าที่เมนของมันมาออกอีเวนต์ที่อยู่ตรงถนนเส้นเลี่ยงเมือง ผมเห็นว่าไม่ไกลมาก แล้วอีกอย่างจะได้ไปซื้อของใช้จำเป็นเพราะผมไม่ได้ขนมามากนักจึงตัดสินใจไปกับมัน หลังคิดว่าจะอยู่เมืองไทยต่ออีกสองเดือนก็คงต้องซื้อของเพิ่ม อย่างน้อยก็เสื้อผ้าสักสองสามชุด
และผมเห็นว่าเหลือเวลาอีกไม่ถึงสองชั่วโมงพิพิมก็จะเลิกงาน ผมจึงเข้าไปนั่งรอมันในร้าน สั่งอาหารเมนูที่ไม่แพงมากนักมาสองอย่าง แล้วก็นั่งละเลียดกินรอมันอยู่ในนั้น
พอได้เวลาพิพิมก็แปลงร่างเป็นสก๊อยแว้นมอเตอร์ไซค์โดยมีผมซ้อนท้าย มันขี่ลัดเลาะซอยเล็ก ๆ ในตลาด จนกระทั่งมาโผล่ที่ถนนใหญ่เส้นเลี่ยงเมือง แดดเมืองไทยตอนบ่ายสองก็ไม่ปรานีเราทั้งสองคนเลยครับ พิพิมใส่เสื้อแขนยาวแต่ว่าผมใส่เสื้อยืดแขนสั้น ก็ใครจะรู้ล่ะว่ามันจะพามาอาบแดดตอนบ่ายสอง
“มึงบิดไปเร็ว ๆ เลย กูร้อน”
ผมเร่งเพราะกลัวว่าผิวจะเสีย พิพิมก็ได้ดังใจจริง ๆ มันบิดแบบไม่คิดชีวิตจนผมยาว ๆ ของมันที่เลยขอบหมวกกันน็อกออกมาตีหน้าผมผับ ๆ ผมตกใจก็เลยเอนตัวไปข้างหลังอย่างอัตโนมัติ แล้วแรงลมก็เกือบทำให้ผมเสียหลัก ดีที่ผมเอื้อมมือไปคว้าเอวพิพิมไว้ได้
แต่พิพิมดันตกใจจนทำล้อหน้าเซ แล้วทันใดนั้น…
ปริ๊น ปริ๊น ปรี๊นนนนน!
เบนซ์สปอร์ตสีขาวที่ขับเบียดเราไปอย่างเฉียดฉิวก็บีบแตรด่า คงเป็นเพราะคิดว่ารถมอเตอร์ไซค์ของเราจะเบียดไปชนมันเข้า แต่ผมว่าเจ้าของรถก็ขับเร็วเกินไปหน่อย
“จะรีบไปตายที่ไหนวะ”
ผมปากไวก็เลยตะโกนด่าออกไป และทันใดนั้นมันก็เบรกเอี๊ยดรออยู่เบื้องหน้า
“ปากหมาจริงเลยมึง” พิพิมหันมาด่าผม คงเพราะกลัวว่าจะมีเรื่อง “เขามีปืนหรือเปล่าก็ไม่รู้ คนรวยเดี๋ยวนี้ยิ่งหัวร้อนอยู่ด้วย”
“มันได้ยินได้ไงวะ?” ผมงงหนักว่าไม่ได้ตะโกนดังสักเท่าไร แม่ง รถราคาตั้งหลายล้าน ไม่กันเสียงภายนอกมั่งเลยหรือไง
แต่ยังไม่ทันที่เราสองคนจะไปถึง เจ้าของรถก็เหยียบคันเร่งออกไป ผมกับพิพิมจึงพ่นลมออกมาอย่างโล่งใจ นึกว่าจะไปไม่ถึงห้างเสียแล้ว
ไม่นานพิพิมก็พามอเตอร์ไซค์คู่ใจที่มีผมนั่งซ้อนท้ายสวย ๆ มาจอดนิ่งตรงสี่แยกไฟแดงสุดท้ายก่อนที่จะมุ่งหน้าข้ามแม่น้ำ แล้วอีกไม่กี่ร้อยเมตรก็จะถึงห้างที่ว่า แต่ตอนมอเตอร์ไซค์จอดนิ่งมันร้อนฉิบหาย จนผมต้องก้มหน้าหลบไม่ให้แดดเลีย
ก่อนไฟเขียวเพียงสองวินาทีผมก็ได้ยินเสียงเบิร์นยางรถยนต์ พอเงยหน้าขึ้นมามองก็ทันได้เห็นท้ายรถคันนั้นที่เพิ่งออกตัวไปจากที่จอดอยู่ข้าง ๆ แหม! ไม่ทันได้สังเกตว่าจอดอยู่ข้างกันจะเคาะกระจกขอดูหน้าสักหน่อย
“สงสัยจะรีบไปตายจริง ๆ” ผมแช่งรอบสอง
คราวนี้พิพิมไม่ได้ตำหนิอะไรผม เพราะมันกำลังตั้งหน้าตั้งตาบิดคันเร่ง คงกลัวว่าจะไปไม่ทันได้เจอเมนของมันนั่นแหละ
ในระหว่างที่เรากำลังจะข้ามสะพาน ก็พบว่ามีรถจอดหลบอยู่กลางสะพานหลายคัน คนเริ่มลงมาจากรถ มีหลายคนกำลังมุงดูอะไรบางอย่าง ผมจ้องมองเข้าไปก็พบว่าราวสะพานมีร่องรอยของความเสียหาย สงสัยจะเกิดอุบัติเหตุ
“คนมุงดูอะไรกันวะ?” พิพิมผ่อนคันเร่งลง พลางก็หันมาถามผม ท่าทางมันอยากรู้อยากเห็นมาก
ผมพยายามชะเง้อมองก็ไม่พบอะไร “สงสัยมีรถตกลงไปในแม่น้ำมั้งมึง” ได้แต่ตั้งข้อสงสัยตามสิ่งที่เห็น
“เออว่ะ ราวสะพานหักเลยมึง” พิพิมก็เห็นด้วย
“สาธุ” ผมรีบยกมือท่วมหัว “ขอให้เป็นรถเบนซ์คันนั้นทีเถอะ”
“นี่มึงแช่งเขาเป็นครั้งที่สามแล้วนะ ระวังเหอะถ้าเขาตายจริง ๆ เขาจะมาหามึง” พิพิมหันมาด่า ก่อนจะเริ่มบิดคันเร่งอีกครั้ง
ผมยักไหล่ พลางก็พูดลอย ๆ “มาก็ดีดิ กูจะได้ขอหวย” วินาทีนั้นผมคิดแบบนั้นจริง ๆ นะครับ คนกำลังหาตังค์ซื้อตั๋วเครื่องบินกลับออสเตรเลียพอดี
แล้วเราก็ปล่อยไทยมุงไว้ด้านหลัง มุ่งหน้าสู่ห้างสรรพสินค้าที่อยู่ไม่ไกลจากสะพานข้ามแม่น้ำแห่งนั้น พอหาที่จอดได้ พิพิมก็ลากผมเข้ามาด้านใน พอได้ไอแอร์เย็น ๆ ผมค่อยรู้สึกดีแล้วก็ใจเย็นลงหน่อย
