ฉันเข้ามาอยู่ในนิยายเหรอเนี่ย 1.2
ฟางเหนียงได้ยินก็เบิกตากว้าง เธอไม่คิดว่าแม่สามีจะมีความคิดแบบนี้ แต่สุดท้ายก็พยักหน้าเอาด้วย เพราะไม่ชอบชาวบ้านกลุ่มนี้สักเท่าไร ที่ชอบพูดถึงลูกสาวเธอในทางเสียหาย
แม่สามีกับลูกสะใภ้รีบมาหลบหลังต้นไม้ โดยที่สายตามองหาสิ่งของเหมาะมือมาถือไว้คนละอันสองอัน หลังจากหาที่ซ่อนได้แล้ว จึงหยิบก้อนหินขนาดพอเหมาะมือขึ้นมา จากนั้นก็เล็งไปที่รังมดแดงตรงต้นไม้ที่กลุ่มชาวบ้านพวกนั้นนั่งอยู่ แล้วปาก้อนหินออกไป และย่าหลี่ก็ปาแม่นซะด้วยสิ
“โอ๊ย!! นี่มันมดแดงนี่นา ตกลงมาได้ยังไงกันเนี่ย”
หลังจากก้อนหินโดนรังมดแดง เสียงร้องโวยวายของชาวบ้านกลุ่มนี้ก็ดังขึ้น พร้อมกับปัดมดแดงที่หล่นลงมาใส่ตัวออก
สองแม่สามีกับลูกสะใภ้ยังไม่รามือแค่นั้น ทั้งสองยังคงหาก้อนหินเขวี้ยงใส่รังมดแดงไม่หยุด หวังให้รังมดแดงรังนี้หล่นลงมาใส่หัวคนที่ชอบนินทา
จนเมื่อเห็นว่าภารกิจสมหวังแล้ว ก็รีบออกมาจากตรงนั้นทันทีด้วยความสะใจ
ฝ่ายหลี่ชิงเหยา
เมื่อหญิงสาวตั้งสติได้แล้ว ก็ลุกออกมาจากห้องเพื่อสำรวจบ้านหลังนี้ ซึ่งบ้านหลี่เป็นบ้านชั้นเดียวตามแบบเดิม แต่ก็สร้างด้วยอิฐและมุงหลังคาด้วยกระเบื้อง ดูแล้วคงใช้เงินไม่น้อย
‘ดีจัง แม้ว่าฐานะบ้านหลี่ไม่ได้ร่ำรวยมาก แต่ก็ไม่ได้ลำบาก ถือว่าพออยู่พอกิน แบบนี้ฉันก็ไม่ลำบากน่ะสิ” หลี่ชิงเหยาพูดออกมาเบา ๆ
จากความทรงจำ ตอนนี้หลี่หยวนและหลี่เหวินยังคงทำงานในทุ่ง เพราะยังไม่มีการเลิกคอมมูน แต่ก็ไม่ได้บังคับเหมือนเมื่อก่อน เวลานี้ขึ้นอยู่กับความสมัครใจของแต่ละคน
ส่วนแม่กับย่าของเธอก็จะผักป่ามาทำกับข้าว หรือหากวันไหนได้มาเยอะหน่อย ก็จะเอาไปขายที่ตลาดนัดในหมู่บ้านถัดไป
“ความเป็นอยู่ก็สงบดีนะ บ้านนี้รักกันดี” หลี่ชิงเหยาพูดออกมาเบา ๆ หลังจากคิดทบทวนความจำแล้ว “แต่ชีวิตจริงมันจะเดินเรื่องเหมือนในนิยายหรือเปล่านะ และที่สำคัญ ฉันดันอ่านไม่จบเสียนี่ เฮ้อ...” เธอพูดจบก็ถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยใจ
“แม้ว่ายุคนี้จะมีให้ชาวบ้านทำการค้าบ้างแล้ว แต่สินค้าบางอย่างยังจำกัดและยังต้องใช้คูปองในการซื้อที่สหกรณ์อยู่สินะ ว่าแต่ทำไมฉันถึงไม่มีมิติเหมือนคนอื่นในนิยายที่เคยอ่านบ้างนะ แบบนี้ไม่ยุติธรรมเลย” เธอยังคงพูดกับตัวเองวนไปวนมาในตอนที่เดินสำรวจบ้าน
ขณะเดียวกันนั้นย่าหลี่และฟางเหนียงก็กลับมาถึงบ้านพอดี เมื่อเห็นว่าหลี่ชิงเหยาตื่นแล้ว ก็รีบเดินมาหาด้วยความดีใจ
“หลานย่าปลอดภัยแล้ว ย่าดีใจเหลือเกิน” หญิงชราเข้ามากอดและลูบศีรษะของหลานสาวด้วยความดีใจ ส่วนหญิงสาวเองก็กอดกลับไปเหมือนกัน
“ตื่นมาก็ดีแล้ว ชิงเหยาหิวหรือยัง เดี๋ยวแม่ไปทำอะไรให้กิน” ฟางเหนียงถามลูกสาวอย่างอ่อนโยน เธอตั้งใจจะไปทำอาหารให้ลูกสาวก่อน แต่โดนหลี่ชิงเหยาห้ามไว้
“ฉันยังไม่หิวค่ะแม่ เดี๋ยวค่อยกินมื้อเย็นพร้อมพ่อกับพี่ใหญ่ก็ได้ค่ะ แล้วนี่แม่กับย่าไปไหนกันมาคะ” หญิงสาวที่รับรู้ชะตากรรมว่าจะต้องมาอยู่ในร่างนี้จริงๆ ก็พยายามทำตัวให้เป็นธรรมชาติที่สุด จึงถามออกไปอย่างสนิทสนม
แม่สามีกับลูกสะใภ้สบตากันเป็นเชิงปรึกษาว่าจะบอกยังไงดี เพราะไม่อยากบอกเรื่องที่ทั้งสองไปทำกันมา สุดท้ายฟางเหนียงจึงพูดเรื่องเบี่ยงเบนไปทางอื่น
“แม่กับย่าก็ไปเดินเล่นแถวนี้แล้วน่ะ ว่าแต่นี่ลูกหายดีแล้วเหรอ ถึงได้ออกมาเดินเล่นข้างนอกแบบนี้ แม่ว่าลูกเข้าไปนอนพักอีกสักหน่อยดีกว่าไหม” เธอพูดออกมาอย่างอ่อนโยนและจะจูงมือลูกสาวเข้าไปในบ้าน
“ฉันนอนจนมึนหัวไปหมดแล้วค่ะแม่ ออกมาเดินเล่นข้างนอกสมองจะได้สดชื่นบ้าง” หญิงสาวตอบกลับมาพร้อมรอยยิ้ม ในใจนั้นคิดว่า ‘ทั้งสองคนคงไปหาเรื่องใครอีกหรือเปล่านะ เพราะท่าทางของทั้งสองบ่งบอกว่าคงไม่ใช่เรื่องดี’
“แล้วนี่หลานไม่คิดจะไปเอาเรื่องกับคนบ้านโจวเหรอ ย่าคิดว่าหลานไม่ได้ตกน้ำเองหรอกใช่ไหม จะต้องมีคนรังแกหลานสาวของย่าแน่นอน” จังหวะนั้น อยู่ ๆ ย่าหลี่ก็พูดขึ้นมา นางยังต้องการจะไปสอบถามถึงเรื่องที่เกิดขึ้นจากคนบ้านโจว แต่ถูกหลานชายและลูกชายห้ามไว้เสียก่อน ตอนนี้ก็สบโอกาสที่จะเอาคืนบ้านนั้นแล้ว จึงถามหลานสาวขึ้นมา
“ฉันเอาคืนแน่คะ แต่การเอาคืนของฉัน ฉันจะไม่เดินเข้าไปด่า หรือหาเรื่องฝ่ายนั้นเหมือนแต่ก่อนแล้วค่ะ อีกอย่างฉันก็ไม่มีหลักฐานที่จะเอาผิดคนพวกนั้นด้วย ที่ผ่านมาฉันถูกเพื่อนรักคนนี้จูงจมูกมามากพอแล้ว แต่ต่อไปนี้จะไม่มีเหตุการณ์แบบนั้นแล้วค่ะ หลี่ชิงเหยาที่เคยโง่ในอดีต ไม่มีอีกแล้วค่ะย่า ย่ากับแม่สบายใจได้เลย”
ท่าทางของหญิงสาวที่พูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่มั่นใจ รวมถึงสายตาที่มุ่งมั่นและเด็ดเดี่ยวนั้น ทำให้ผู้เป็นแม่และย่ายิ้มออกมาด้วยความดีใจ แม้ว่าหลานสาวคนนี้จะดื้อในบางครั้ง หรืออาจจะนิสัยไม่ดีกับคนอื่นบ้าง แต่เธอก็เป็นลูกและหลานที่รักของคนบ้านหลี่
