6. เสียงอะไร
ทันทีที่แสงสว่างจากหลอดไฟสว่างจ้าทั่วห้อง เสียงทุกอย่างที่เขาได้ยินอย่างชัดเจนเมื่อสักครู่หยุดลงทันทีเช่นกัน
“อะไรวะเนี่ย..สงสัยจะหูฝาดแฮะ”
เขาบ่นกับตัวเองก่อนจะสาวเท้าเดินไปยังโต๊ะทำงาน สำรวจดูปลั๊กไฟก็เห็นว่าไม่ได้เสียบค้างเอาไว้ ทุกอย่างอยู่ในสภาพปกติ
เขานึกถึงสิ่งที่ได้ยินและพยายามที่จะคิดให้เป็นวิทยาศาสตร์ให้ได้ ในที่สุดก็นึกออกว่าเขาได้ยินแสงดาว กับแซนดี้ คุยกันเรื่องบ้านผีสิง
“เฮ้อ! คงเป็นเพราะจิตใต้สำนึกได้ยินเรื่องบ้านผีสิงก็เลยหูแว่วซะมากกว่า บ้าจริง ๆ เลยเรา”
เขาส่ายหัวรู้สึกขำกับตัวเอง เขาเดินมานั่งที่เก้าอี้ตรงโต๊ะทำงานก่อนจะสังเกตรอบ ๆ โต๊ะ เขายังไม่ได้สำรวจสิ่งของที่มีอยู่ แค่เพียงเห็นว่ามีจอเครื่องคอมพิวเตอร์เท่านั้น
เขาลองเปิดลิ้นชัก แต่ก็เปิดได้เพียงชั้นแรก ส่วนชั้นที่สองเปิดไม่ออกคาดว่าจะต้องใช้กุญแจ เขาสำรวจด้วยสายตาภายในลิ้นชักที่เปิดได้เห็นสมุดบันทึกสีน้ำเงิน เขาอดที่จะหยิบมันขึ้นมาดูไม่ได้
“พล็อตซีรี่ส์ ทูตรักจากสวรรค์ โดย น้ำน่าน”
เขาอ่านหน้าแรกที่มีตัวอักษรตัวโต ๆ เขียนด้วยลายมือสวยงาม เขาไม่ได้เปิดหน้าต่อไป เพราะสายตามองเห็นแผ่นกระดาษโผล่ออกมาจากหน้าถัดไป จึงดึงแผ่นกระดาษนั้นออกมาก็พบว่า เป็นภาพถ่ายของหญิงสาวผมยาวประบ่าหน้าม้ากำลังยิ้มให้กับคนมอง รอยยิ้มนั้นดูทะเล้นน่ารักมีชีวิตชีวา เขาเก็บภาพเข้าที่เดิม และปิดสมุดเก็บเข้าลิ้นชักดังเดิม
เขาคิดว่าน่าจะเป็นภาพน้องสาวของวัชรมัยนั่นเอง
.............
“ทำไมพี่ดาไม่ห้ามพี่ไอซ์คะ ปล่อยให้ออกไปเช่าบ้านอยู่ข้างนอกทำไม”
นุชนิภา รู้สึกใจหายหลังกลับมาจากเยี่ยมบ้านที่ต่างจังหวัด แล้วทราบว่าภูริช ออกไปเช่าบ้านอยู่ใกล้ที่ทำงาน
“ใครจะไปห้ามเขาได้ ไม่ใช่เด็ก ๆ แล้วนี่ ตอนนี้เขาเรียนจบปริญญาโทแถมได้งานบริษัทดีเงินเดือนก็ดีซะด้วยอีกหน่อยเขาก็เก็บเงินซื้อบ้านของเขาเองได้”
กานดา บอกน้องสาว
“แล้วเขาจะกลับมาอยู่ที่นี่อีกไหมคะ”
นุชนิภา ถามพี่สาวด้วยความหวัง หล่อนรู้สึกชอบภูริชตั้งแต่ครั้งแรกที่เข้ามาอยู่ที่บ้านของพี่สาว ยิ่งหล่อนทราบว่าเขาเป็นผู้ชายที่เรียนเก่งและมีความสามารถหล่อนก็ยิ่งหลงไหลในตัวเขา แม้จะรู้ว่าเขามีคนรักอยู่แล้วแต่นุชนิภาก็ยังแอบชอบเขาอยู่ดี
“ก็คงจะกลับมาบ้างแหละก็พ่อเขาอยู่นี่ทั้งคน ว่าแต่เราเถอะ รีบเรียนให้จบเร็ว ๆ เข้า จะได้หางานหาการทำซะที”
กานดา หันมาเตือนน้องสาว
“อีกปีเดียวก็จบแล้วล่ะพี่ดาไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ”
“ขอให้อีกปีเดียวจริง ๆ เถอะ เห็นหนังสือเรียนไม่เคยจะหยิบมาอ่าน วัน ๆ อ่านแต่นิยายน้ำเน่าไร้สาระอะไรก็ไม่รู้ คนที่เรียนรามฯน่ะถ้าไม่ตั้งใจก็เรียนไม่จบหรอกอย่าคิดว่าจะ
จบได้ง่าย ๆ อย่างที่เธอคิดล่ะ”
“รู้แล้วค้า..เออ พี่ดาขา..นุชขอตังค์สักห้าร้อยหน่อยสิ กลับจากบ้านมาไม่เหลือสักบาทเลย”
“อะไรกัน ก่อนไปพี่ให้ตั้งสามพัน ไปใช้อะไรกันนักกันหนา แล้วที่ฝากเงินไปให้พ่อกับแม่ให้หรือยัง”
“ให้แล้ว..แค่นี้ก็ไม่ไว้ใจกันเลย”
หล่อนแกล้งทำน้ำเสียงน้อยใจ
“ทำตัวให้น่าไว้ใจนักนี่ คราวที่แล้วก็จิ๊กเอาส่วนของแม่ไปตั้งพัน”
“แหม..เรื่องตั้งนานมาแล้วลืม ๆ ซะมั่งก็ได้นะ ก็ตอนนั้นมันมีงานหนังสือที่ศูนย์สิริกิตติ์พอดีนุชก็จำเป็นต้องจิ๊กเอาไปซื้อหนังสือ ไม่ได้เอาไปใช้เหลวไหลที่ไหนซะเมื่อไหร่”
หล่อนให้เหตุผล
“ถ้าเป็นหนังสือเรียนพี่จะไม่ว่าเลย นี่อะไรก็ไม่รู้มีแต่นิยายทั้งนั้นแล้วเล่มหนึ่งถูก ๆ ซะที่ไหน เดี๋ยวนี้เขามีอ่านฟรีในเน็ตเยอะแยะ ทำไมไม่อ่านล่ะ ซื้อเป็นเล่มให้เปลืองตังค์ทำไม”
“นุชชอบสะสมหนังสือเล่มมากกว่าค่ะ มันให้อารมณ์ความรู้สึกส่วนตัวมากกว่าอ่านในเน็ต”
“จ้า..แม่คนความรู้สึกส่วนตัวเยอะ ยังไงก็อย่าขอตังค์ให้มันบ่อยนักสิ”
“บ่นเป็นยัยแก่อีกแล้วเดี๋ยวสามีก็เบื่อหรอก นะ นะ ขอห้าร้อยเท่านั้นเอง”
นุชนิภา หันมาออดอ้อนเหมือนเด็ก ทำให้กานดา ใจอ่อน เพราะในบรรดาน้อง ๆ สี่คน มีนุชนิภาเป็นน้องคนสุดท้องที่กานดา ต้องส่งเสียให้เรียนและถือเป็นน้องที่กานดารักมากกว่าใคร
“จะเอาตอนนี้เลยเหรอ”
“ค่ะ..พอดีนุชนัดเพื่อน ๆ ไว้จะไปดูหนังสือกัน”
กานดา หยิบเงินส่งให้ แม้จะรู้ว่าเงินส่วนใหญ่ที่ให้ไปนุชนิภามักจะหมดไปกับการซื้อหนังสือนิยายที่น้องสาวของหล่อนชอบมากถึงขนาดเก็บสะสม และแลกเปลี่ยนกันอ่านกับกลุ่มเพื่อน ๆ
…..
“เลือกของน้ำน่านอีกแล้วเหรอยัยนุช”
นภัสสร แซวนุชนิภา เมื่อเห็นหนังสือนิยายที่เพื่อนเลือกไว้ในมือ
“ก็ฉันกำลังติดซีรี่ส์ของนักเขียนคนนี้อยู่ เห็นว่าจะมีทั้งหมดสิบเล่ม ตอนนี้ฉันมีแค่ห้าเล่มเท่านั้นเอง วันนี้จะมาหาเล่มที่หกไม่รู้ออกหรือยัง พวกเธอช่วยฉันหาด้วย”
นุชนิภา บอกกับเพื่อนทั้งสอง
“ฉันก็ติดเรื่องของน้ำน่านเหมือนกัน ฉันขอยืมอ่านด้วยนะ วันนั้นยืมเธอไปเล่มที่สองเอง”
เกษมณี หันไปพูดกับนุชนิภา
