2
กลิ่นนี้ทำให้เธอนึกถึงอ้อมกอดของแม่ในวัยเด็ก นึกถึงบ้านในวันที่ยังมีความสุข
และวันนี้มันก็ทำให้เธอนึกถึงเสียงชายหนุ่มคนนั้นที่เคยเอ่ยอย่างสุภาพว่า
“ค่อย ๆ เป็นค่อย ๆ ไป”
ครูธีร์ชายหนุ่มข้างรั้วผู้ไม่เอ่ยคำมากนัก แต่กลับปรากฏอยู่ในใจเธอหลายครั้งโดยไม่รู้ตัว
ช่วงสายของวัน พิมพ์ขวัญช่วยยายละม่อมคัดแยกดอกไม้สำหรับจัดช่อส่งตลาด พร้อมตัดพุดซ้อนสด ๆ ใส่ตะกร้าเล็กอีกใบหนึ่ง
“ยายคะ หนูอยากขอพุดซ้อนสักสามดอกได้ไหมคะ หนูจะเอาไปใส่แจกันเล็กในห้องนอน”
“แน่นอนสิลูก ดอกไม้น่ะ ไม่ใช่แค่ไว้ขาย มันไว้ให้คนรักได้ชื่นใจด้วย” ยายละม่อมพูดพร้อมรอยยิ้ม ทำให้พิมพ์ขวัญรู้สึกเหมือนกำลังถูกเติมเต็ม
เธอจัดดอกพุดในแจกันแก้วทรงเล็ก วางไว้ที่โต๊ะหัวเตียง และถ่ายรูปโพสต์ลงบล็อกที่เริ่มมีคนติดตามมากขึ้นอย่างเงียบ ๆ พร้อมแคปชั่น
“บางที…การได้สูดกลิ่นดอกไม้ในยามเช้า อาจเยียวยาใจได้มากกว่าคำพูดปลอบโยน”
คอมเมนต์เริ่มหลั่งไหลเข้ามา มีคนบอกว่าอยากกลับบ้าน มีคนบอกว่ากลิ่นพุดทำให้นึกถึงแม่ มีคนขอบคุณที่เธอแบ่งปันบรรยากาศอบอุ่นเหล่านี้
แต่มีเพียงสายตาคู่เดียวที่เธอเผลอคิดถึง… ทั้งที่เขาไม่เคยอยู่ในบล็อกนั้น
วันต่อมา เธอตื่นตั้งแต่เช้าเพื่อเตรียมช่วยยายขนดอกไม้ไปส่งที่โรงเรียนใกล้บ้าน ซึ่งรับซื้อดอกไม้ประดับประจำสัปดาห์ให้เด็กจัดกิจกรรมห้องเรียน
ยายละม่อมมักใช้จักรยานสามล้อปั่นไปช้า ๆ พร้อมรอยยิ้มใจดีในหมู่บ้าน แต่วันนี้ เธออาสาจะเป็นคนช่วยแทน
พิมพ์ขวัญจึงเดินเข็นรถพ่วงบรรทุกตะกร้าดอกไม้ เข้าไปในบริเวณโรงเรียนด้วยท่าทางเก้ ๆ กัง ๆ ก่อนจะชนเข้ากับคน ๆ หนึ่งเต็มแรง
“อ๊ะ! ขอโทษค่ะ!”
“ไม่เป็นไรครับ” เสียงนั้นเธอจำได้ทันที
พิมพ์ขวัญเงยหน้าขึ้นมาเจอกับคุณครูธีร์ในเสื้อเชิ้ตแขนยาวติดป้ายชื่อ ‘ครูธีร์ ชัยวัฒน์’ สีหน้านิ่ง ๆ ของเขาไม่ได้ดูดุ แต่กลับทำให้ใจเธอสั่นขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล
“มาส่งดอกไม้ให้โรงเรียนเหรอครับ”
“ค่ะ ยายฝากมาน่ะค่ะ” เธอหลบตาเล็กน้อย เพราะรู้สึกว่ารอยยิ้มมุมปากของเขากำลังทำให้หัวใจเต้นแรงกว่าปกติ
“ตรงนี้เลยครับ เดี๋ยวผมช่วยขนเข้าไป” เขาเอื้อมมือมาหยิบตะกร้าเบา ๆ และเดินนำเธอไปยังอาคารเรียน
ภายในห้องเรียนประถม เด็ก ๆ หัวเราะกันอย่างสดใส พิมพ์ขวัญนั่งมองเงียบ ๆ ขณะครูธีร์อธิบายให้เด็ก ๆ เข้าใจการใช้ดอกไม้ตกแต่งโต๊ะเรียน รอยยิ้มของเด็กทุกคนดูอบอุ่น และเธอก็เห็นบางสิ่งที่ไม่เคยเห็นในตัวเขาเมื่ออยู่หลังรั้ว
เขาหัวเราะ เขาก้มตัวให้เด็ก ๆ ดึงแขน เขาเล่าเรื่องต้นไม้ด้วยน้ำเสียงมีชีวิตชีวา
“คุณครูใจดีจังเลยนะคะ” พิมพ์ขวัญเผลอพึมพำออกมาเบา ๆ
“คุณครูเคยยิ้มเก่งกว่านี้นะคะ” เด็กหญิงคนหนึ่งพูดขึ้น ทำให้พิมพ์ขวัญสะอึกในใจ
คุณครูธีร์ที่อยู่ต่อหน้าเด็ก ๆ ดูต่างจากคุณครูข้างรั้วที่แสนขรึมเมื่ออยู่ตามลำพัง ราวกับว่าเขาแบ่งหัวใจออกเป็นหลายส่วน และซ่อนไว้ไม่ให้ใครเห็น
ก่อนกลับบ้าน พิมพ์ขวัญแอบวางขนมกล่องเล็ก ๆ ไว้ที่โต๊ะทำงานของครูธีร์ พร้อมโน้ตเขียนด้วยลายมือสวย ๆ ว่า
“ขอบคุณที่ช่วยขนดอกไม้นะคะ”
เธอไม่เซ็นชื่อ และเดินออกมาด้วยหัวใจที่แปลกประหลาดเหมือนเด็กสาวในวัยมัธยมที่แอบชอบใครสักคน
คืนนั้น พิมพ์ขวัญนั่งมองแจกันพุดซ้อนบนหัวเตียง ดอกไม้ที่เคยหอมอ่อน ๆ ยังคงส่งกลิ่นจาง ๆ อยู่ในอากาศ ทว่าในหัวใจของเธอกลับมีบางสิ่งหอมหวานกว่า เธอไม่รู้ว่าเรียกสิ่งนี้ว่าอะไร แต่เธอรู้ว่าเวลาที่ได้เห็นเขายิ้ม มันทำให้เธออยากยิ้มตาม
และในกลิ่นพุดซ้อนที่หอมเย็นนั้น เธอเริ่มได้กลิ่นของความหวัง
แสงแดดอ่อน ๆ ลอดผ่านม่านบางในห้องนอน บ้านไม้หลังเล็กดูอบอุ่นเหมือนโอบกอดพิมพ์ขวัญเอาไว้ในเช้าวันใหม่
เธอลุกขึ้นอย่างสดชื่นผิดปกติ อาจเพราะเมื่อคืนเธอหลับไปด้วยรอยยิ้ม
หรืออาจเพราะโน้ตเล็ก ๆ ที่เธอแอบเขียนไปวางไว้บนโต๊ะของครูธีร์เมื่อวานกำลังทำให้หัวใจของเธอตื่นขึ้นทีละนิด
พิมพ์ขวัญเดินลงจากบ้านเพื่อช่วยยายละม่อมรดน้ำต้นไม้ตามกิจวัตรประจำวัน ดอกพุดซ้อนยังบานสะพรั่งเหมือนเมื่อวาน แต่ความรู้สึกในใจเธอกลับไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว
เธอเริ่มมองสวนนี้ด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป
เริ่มรู้สึกว่ามีใครบางคนกำลังเกี่ยวพันเข้ามาในหัวใจของเธออย่างเงียบงัน
“ยายขา หนูขอเดินไปทางหลังโรงเรียนหน่อยนะคะ อยากถ่ายรูปต้นไม้ที่มันทอดลงบนลำธารน่ะค่ะ”
“ได้เลยลูก ระวังลื่นด้วยนะ ช่วงนี้ฝนตกบ่อย”
พิมพ์ขวัญคว้ากล้องและหมวกเดินออกจากบ้านไปยังฝั่งรั้วโรงเรียน ผ่านแปลงดอกไม้ ไปจนถึงแนวต้นไม้ใหญ่ริมลำธาร
เสียงน้ำไหลเบา ๆ กลิ่นหญ้าเปียกฝน และแสงที่รอดผ่านกิ่งไม้ทุกอย่างกลายเป็นภาพที่เธออยากเก็บไว้ไม่เพียงแค่ในกล้อง…แต่ในใจด้วย
ขณะกำลังกดชัตเตอร์ เสียงทุ้มนุ่มที่เธอเริ่มคุ้นหูก็ดังขึ้นจากทางด้านหลัง
“คุณมักจะมาที่นี่ตอนเช้าเสมอเหรอครับ”
พิมพ์ขวัญหันไปอย่างตกใจเล็กน้อย ครูธีร์ยืนอยู่ตรงรั้ว ใส่เสื้อเชิ้ตสีขาวกับกางเกงผ้าฝ้ายสีน้ำตาล มือถือแก้วกาแฟที่ยังมีไอน้ำลอยอยู่
“เปล่าค่ะ วันนี้แค่อยากถ่ายรูปตอนเช้ามันสวยดี”
“สวยครับ” เขาพยักหน้าเบา ๆ ก่อนจะเสริม
“ผมหมายถึง ทั้งแสงเช้า แล้วก็เงาต้นไม้พวกนั้นด้วยนะครับ” เธอหัวเราะเบา ๆ เขินกับความประหลาดในประโยคท้าย ๆ ที่ทำให้หัวใจเต้นแปลก ๆ
เขาเดินอ้อมแนวรั้วมายืนใกล้ฝั่งเธอมากขึ้น แล้วชี้ไปยังก้อนหินใหญ่ที่ติดริมน้ำ
“ตรงนั้นนั่งถ่ายจะได้มุมดีนะครับ”
“คุณรู้เพราะเคยมานั่งตรงนั้นมาก่อน”
“ใช่ครับ” เขาพยักหน้า
“สมัยก่อนผมกับเธอคนนั้นเคยนั่งด้วยกันบ่อย ๆ ที่นั่น”
คำว่า ‘เธอคนนั้น’ ทำให้พิมพ์ขวัญชะงักเล็กน้อย
ครูธีร์เองก็เงียบลง เหมือนเพิ่งรู้ตัวว่าเล่าเรื่องส่วนตัวเกินไป
“ขอโทษครับ ผมไม่ได้อยากทำให้คุณรู้สึกไม่ดี”
“ไม่เลยค่ะ ฉันต่างหากที่ต้องขอโทษที่ถามแบบนั้น” เธอยิ้มจาง ๆ แล้วเอ่ยอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ
“ฉันเคยได้ยินจากเด็กในโรงเรียนว่า คุณครูเคยยิ้มเก่งกว่านี้” เขาหัวเราะแผ่ว ๆ
“เด็กพวกนั้นช่างสังเกตจังเลยครับ” ทั้งคู่ยืนเงียบกันพักใหญ่ ท่ามกลางเสียงลำธารและสายลม
พิมพ์ขวัญนั่งลงบนก้อนหินที่เขาชี้ แล้วหยิบกล้องขึ้นมาถ่ายรูปเงาไม้ตามคำแนะนำของเขา
ครูธีร์นั่งลงบนตอไม้ใกล้ ๆ ถือแก้วกาแฟไว้แน่นเหมือนกับจับบางความทรงจำเอาไว้
