นิยายชุด ใต้เงาเสน่หา

46.0K · จบแล้ว
B.J.
26
บท
16
ยอดวิว
8.0
การให้คะแนน

บทย่อ

1. ใต้เงาเสน่หา เมื่อชีวิตในเมืองพังทลาย "พิมพ์ขวัญ" หญิงสาววัยใกล้สามสิบจึงตัดสินใจกลับไปยังบ้านสวนในอำเภอเล็ก ๆ ที่เธอเคยจากมา ท่ามกลางแปลงพุดซ้อนและบ้านไม้หลังเดิม เธอได้พบกับ "ครูธีร์" ชายหนุ่มผู้เงียบขรึม ผู้สูญเสียภรรยาและไม่เคยเปิดใจให้ใครอีกเลย ไม่มีคำรัก ไม่มีคำสัญญา มีเพียงความเงียบที่เข้าใจกัน ดอกไม้ที่ค่อย ๆ บานในหัวใจ และใครสักคนที่จับมือไว้แน่น บางครั้ง ความรักที่มั่นคงที่สุด อาจซ่อนอยู่ในบ้านไม้หลังเก่า ภายใต้เงาของดอกไม้ที่ไม่มีใครมองเห็น แต่กลับเบ่งบานอยู่เสมอ 2. เมียรัก จากหญิงสาวในโลกปัจจุบัน สู่ร่างหญิงอวบกลางหมู่บ้านชนบทในยุคที่ไม่คุ้นตา คำขอพรให้พบรักแท้จากยมทูต กลับพาเธอมาพบผู้ชายที่เคยมีบุญคุณต่อกัน ในโลกใหม่ที่เต็มไปด้วยสายลม กลิ่นสมุนไพร และหัวใจที่ค่อย ๆ เต้นเป็นจังหวะเดียวกัน นี่ไม่ใช่แค่เรื่องของพรหมลิขิต แต่คือการลุกขึ้นเปลี่ยนแปลงตัวเอง และสร้างครอบครัวจากศูนย์ เพราะความรักแท้ คือการมองเห็นคุณค่าของกันและกัน ไม่ว่าในร่างไหนหรืออดีตแบบใด 3. อาทิม "การตายของพ่อที่ถูกปิดไว้ด้วยฉากฆ่าตัวตาย กลายเป็นเงื่อนงำที่พา 'พลอยเพชร' ก้าวสู่โลกมืดของความลับและการทรยศ ผู้ต้องสงสัยกลับเป็นคนใกล้ตัวที่เธอไม่เคยคาดคิด ท่ามกลางอันตรายที่จ่อคอหอย มีเพียง 'ทิม' ชายหนุ่มผู้พร้อมเสี่ยงตายเพื่อปกป้องเธอ ความจริงที่รออยู่เบื้องหน้าจะเปลี่ยนทั้งชะตา...และหัวใจของเธอไปตลอดกาล"

นิยายรักโรแมนติกรักหวานๆดราม่าโรแมนติก

1

นิยายชุด เล่ม 1 ใต้เงาเสน่หา

เธอกลับบ้านในวันที่หัวใจอ่อนแรง เสียงฝนกระทบกระจกหน้าต่างของรถทัวร์สายเหนือบ่งบอกว่ากำลังจะเข้าสู่ฤดูฝนอย่างเป็นทางการ แต่กับพิมพ์ขวัญ ฤดูที่เปียกปอนนั้นมาเยือนหัวใจของเธอตั้งแต่หลายเดือนก่อนแล้ว และมันยังไม่มีวี่แววว่าจะผ่านพ้นไปได้ง่าย ๆ

หญิงสาววัยยี่สิบเก้าปีที่เคยมั่นใจในทุกย่างก้าวของชีวิต ยืนมองเส้นทางคดเคี้ยวที่ทอดผ่านทุ่งนาและแนวเขาไกลสุดลูกหูลูกตาผ่านกระจกหน้าต่างรถ ดวงตาที่เคยสดใสกลับหม่นลงเล็กน้อย ทุกอย่างดูเหมือนหล่นหายไปพร้อมกับความไว้ใจ

เธอถูกแฟนหนุ่มที่คบหากันมาห้าปีหักหลัง ทรยศ และนอกใจไปคบกับเจ้านายของตัวเอง แล้วทำให้เธอตกเป็นแพะรับบาปในเรื่องยักยอกเอกสารบริษัท พิมพ์ขวัญไม่มีโอกาสแม้แต่จะอธิบาย ทุกอย่างจบลงในพริบตาเหมือนโดนผลักตกจากหน้าผาอย่างเลือดเย็น

“ถึงอำเภอแล้วนะคะ ใครจะลงตรงนี้เตรียมตัวด้วยค่ะ” เสียงกระเป๋ารถทัวร์ดังขึ้นปลุกเธอจากภวังค์

พิมพ์ขวัญเก็บสัมภาระเพียงไม่กี่ชิ้นลงจากรถพร้อมกับเสื้อฝนสีฟ้าอ่อน เธอเดินลากกระเป๋าใบเก่าไปตามทางเดินที่แฉะน้ำ เป้าหมายของเธออยู่ไม่ไกล บ้านไม้หลังเล็กที่มีสวนดอกไม้ล้อมรอบของยายละม่อมที่เธอรักมากที่สุดในโลก รอคอยอยู่เบื้องหน้า

“พิมพ์ขวัญของยายกลับมาแล้วเหรอลูก” เสียง อ่อนโยนดังมาจากใต้ถุนบ้าน พิมพ์ขวัญชะงักแล้วรีบเดินเข้าไปหาในทันที เธอกอดร่างผอมบางของหญิงชราที่เธอไม่ได้กอดมานานร่วมปี กลิ่นสบู่กลิ่นสมุนไพรประจำตัวของยายยังคงอบอุ่นเหมือนเดิม

“ยายจ๋า หนูคิดถึงยายที่สุดเลยจ้ะ คราวนี้ขวัญจะกลับมาอยู่กับยายนะจ๊ะ”

“ยายก็คิดถึงหนูจ้ะ กลับมาอยู่ด้วยกันนะ ที่นี่คือบ้านของขวัญ เราก็พอมีที่ทางทำมาหากิน” คำพูดสั้น ๆ แค่นั้น ทำให้เธอร้องไห้จนหมดแรง กอดยายเหมือนเด็กที่หลงทางกลับบ้าน

บ้านหลังนี้อยู่ในอำเภอเล็ก ๆ ห่างจากตัวเมืองไปพอสมควร รอบข้างเป็นบ้านชาวสวนและโรงเรียนประถมเล็ก ๆ ที่อยู่ถัดไปแค่รั้วไม้เตี้ย ๆ

พิมพ์ขวัญใช้เวลาหลายวันปรับตัวกับชีวิตที่ไร้ความเร่งรีบจากเมืองหลวง ยามเช้าเธอช่วยยายรดน้ำต้นไม้ในแปลงดอกไม้หลากสี ทั้งพุดซ้อน ชมนาด โมก สะเลเต และดาวเรืองที่ปลูกไว้เต็มแปลง กลิ่นหอมจาง ๆ ลอยปะปนกับไอหมอก ทำให้ใจเธอค่อย ๆ สงบลงทีละวัน

วันหนึ่ง พิมพ์ขวัญกำลังแบกฟางแห้งมาคลุมแปลงพุดซ้อนอยู่หลังบ้าน แล้วได้ยินเสียงผู้ชายดังมาจากอีกฝั่งของรั้ว

“คุณใช้ฟางสดแบบนั้น ระวังเชื้อรานะครับ”

เธอหันไปมองในทันที ก็พบกับชายหนุ่มในเสื้อเชิ้ตพับแขน กางเกงผ้าฝ้าย และหมวกสานปีกกว้างกำลังยืนอยู่ข้างรั้วฝั่งโรงเรียน สีหน้าเขานิ่งเรียบแต่ไม่เย็นชา เสียงทุ้มนั้นให้ความรู้สึกเหมือนเสียงหนังสือบทเรียนเก่า ๆ ที่อ่อนโยนอย่างบอกไม่ถูก

“เอ่อ... เชื้อราเหรอคะ” พิมพ์ขวัญพูดเสียงสั่น ๆ พร้อมยกมือเช็ดเหงื่อจากหน้าผาก

“ใช่ครับ ถ้าจะใช้คลุมดิน ลองเอาฟางไปตากแดดก่อนจะดีกว่า” เขายิ้มมุมปากเล็กน้อย ก่อนจะเดินจากไป ทิ้งให้พิมพ์ขวัญยืนมองตามแผ่นหลังเขาไปด้วยความสงสัย ว่าเขาคือใครกัน

ตอนค่ำ พิมพ์ขวัญจึงถามยายระหว่างที่ช่วยหั่นผักทำแกงจืด

“ยายจ๋า ผู้ชายข้างบ้านที่แต่งตัวเรียบร้อย ๆ เหมือนครู เขาเป็นใครเหรอจ๊ะ”

“อ๋อ ครูธีร์น่ะเหรอ เป็นคนดีมากนะลูก อยู่ที่นี่มาสามปีแล้ว ตั้งแต่ภรรยาเขาเสียไปก็อยู่คนเดียว ดูแลเด็ก ๆ ที่โรงเรียนอย่างดีเลย”

“เขาแต่งงานแล้วเหรอจ๊ะ”

“เคยแต่งจ้ะ แต่ภรรยาเขาเสียไปเพราะรถชนตอนกลับจากซื้อหนังสือให้เด็ก ๆ ครูธีร์เลยไม่เคยพูดถึงเรื่องความรักอีกเลย ไม่เคยเห็นยิ้มให้ใครเลยเหมือนกัน”

พิมพ์ขวัญเงียบลง จู่ ๆ ภาพชายหนุ่มข้างรั้วเมื่อเช้าก็ชัดเจนขึ้นมาในใจ รอยยิ้มมุมปากของเขาอาจจะไม่ใช่แค่ความสุภาพ แต่มันเหมือนรอยยิ้มที่ยังเก็บบางสิ่งไว้ภายใน

เช้าวันต่อมา พิมพ์ขวัญตั้งใจเอาฟางไปตากแดดที่ลานข้างบ้านตามคำแนะนำของเขาอย่างตั้งอกตั้งใจ ในใจแอบหวังว่าเขาอาจเดินผ่านมาทางรั้วอีกและเธอจะได้ทักทาย

เธอนั่งลงข้างต้นแก้วที่เริ่มแตกใบใหม่ จับกล้องเก่า ๆ ที่ติดตัวมาจากกรุงเทพฯ ขึ้นมาถ่ายภาพดอกไม้ ท้องฟ้า และเงาไม้ที่ทอดผ่านแปลงเพาะกล้า

และเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าใกล้รั้ว เธอก็เงยหน้าขึ้น และเจอเขาอีกครั้ง

“อรุณสวัสดิ์ครับ” ครูธีร์เอ่ยเสียงเรียบ แต่ท่าทางไม่ได้ห่างเหินเหมือนวันแรก

“สวัสดีค่ะ เอ่อ... ฉันตากฟางแล้วนะคะ ตามคำแนะนำ” เขาหัวเราะเบา ๆ ครั้งแรกที่เธอได้ยินเสียงหัวเราะของเขา

“ดีมากครับ ค่อย ๆ เป็นค่อย ๆ ไป” หัวใจของพิมพ์ขวัญที่เคยแตกละเอียดเริ่มซ่อมแซมด้วยเสียงจากธรรมชาติ เสียงหัวเราะเบา ๆ และสายตาอ่อนโยนของใครบางคนที่พูดน้อยคำ แต่กลับให้ความอบอุ่นลึกซึ้งกว่าคำพูดใด

บ้านสวนหลังเดิมที่เคยเป็นเพียงสถานที่พักใจกำลังจะกลายเป็นพื้นที่ปลูกความรู้สึกใหม่ ๆ ทีละนิด

ท่ามกลางฤดูฝนที่ยังตกพรำ ๆ นั้น เธอเริ่มรู้สึกว่า

บางทีความสุขอาจไม่ต้องมาในรูปของชัยชนะหรือชื่อเสียงเสมอไป แต่มันคือการได้กลับบ้านในวันที่หัวใจอ่อนแรง และได้เจอใครสักคน ที่ยืนรออยู่ข้างรั้วไม้ริมสวน

เขามักทักทายเธอเสมอ จนเกิดเป็นความเคยชิน ธีร์ดูเป็นผู้ชายสุภาพ เรียบง่าย ไม่มีเล่ห์เหลี่ยมอะไรให้ต้องระมัดระวังมากนัก กลิ่นดอกพุดกับรอยยิ้มของคนแปลกหน้าทำให้หัวใจของเธอสั่นไหวอย่างประหลาด

เสียงนกร้องยามเช้ากลายเป็นเสียงนาฬิกาปลุกใหม่ของพิมพ์ขวัญในบ้านสวนหลังเก่า

เธอไม่ต้องเร่งรีบแต่งหน้าทาปาก ไม่ต้องวิ่งขึ้นรถไฟฟ้า ไม่ต้องฝ่ารถติดกลางกรุง

ที่นี่คือโลกอีกใบที่ห่างไกลจากชีวิตเดิมอย่างสิ้นเชิง

“พิมพ์ขวัญ เอาถุงดินไปใส่แปลงพุดให้ยายหน่อยลูก ดอกเริ่มแคระเพราะดินแข็งแล้ว” เสียงยายละม่อมดังมาจากหน้าระเบียง

“ค่า หนูจัดการให้เลย” พิมพ์ขวัญขานรับ พลางยืดเส้นยืดสาย ก่อนจะคว้าหมวกปีกกว้างกับถุงดินแล้วเดินไปยังแปลงพุดข้างบ้าน

ต้นพุดซ้อนเรียงกันอยู่หลายสิบต้น พุ่มเขียวขจีแต่เริ่มโรยราในบางต้น พิมพ์ขวัญนั่งยอง ๆ อย่างคล่องแคล่วกว่าช่วงแรก ๆ ที่เพิ่งมาอยู่ มือของเธอเริ่มชินกับกลิ่นดิน ความเหนียวของโคลน และแมลงเล็ก ๆ ที่บินวนรอบต้นไม้

เธอเงยหน้าขึ้นอย่างเผลอไผล เมื่อลมเช้าวันนั้นพัดเอากลิ่นหอมอ่อน ๆ ของดอกพุดเข้าจมูก มันเป็นกลิ่นหวานเย็น คล้ายสบู่แต่ไม่ฉุน ไม่แรง กลับอบอุ่นอย่างประหลาด