บทที่ 3 ตอนที่ 1
หรัณย์พาหญิงสาวแวะซื้อของในตลาดสดหลายอย่าง กินเวลาครึ่งค่อนวัน สุดท้ายก็พาหล่อนมาทิ้งไว้ที่ร้านขายอาหารตามสั่งแห่งหนึ่ง แล้วก็หายตัวไป ตลอดเวลาเขาไม่ได้ทำรุ่มร่ามกับหล่อน ไม่ได้พูดจาส่อสื่อละลาบละล้วงอย่างที่หล่อนระแวดระวัง
“เป็นแฟนซันเหรอนางหนู”
หล่อนเงยหน้าจากอาหารที่กำลังรับประทาน ข้าวราดผัดกะเพราหมูไข่ดาวง่าย ๆ แต่อิ่มอุ่นท้องมากมายในยามหิวจัด หลังจากไม่ได้แตะต้องอะไรเลยตั้งแต่เมื่อคืน นอกจากเหล้า...
“เปล่าค่ะ... รู้จักกันเฉย ๆ” หล่อนตอบเจ้าของร้านอาหารตามสั่ง อายุคงประมาณห้าสิบกว่า ๆ หน้าตาใจดี ไม่เหมือนพวกเพื่อน ๆ ใกล้ที่พักของชายหนุ่มเมื่อเช้า
“อย่างนั้นเหรอ ถึงว่าป้าไม่เคยรู้ข่าวว่าซันมันจะมีใคร”
“ค่ะ...” หล่อนตั้งหน้าตั้งตากินต่อ ป้าเจ้าของร้านเองก็ไม่ได้ตั้งใจกับบทสนทนาอย่างเป็นทางการนัก เพราะต้องทำอาหารให้ลูกค้ารายอื่น คงชวนคุยไปตามประสา เพราะหล่อนเป็นคนเดียวที่นั่งอยู่ในร้าน และมีอีกคนยืนรอหน้าร้าน รอกับข้าวที่สั่งใส่ถุงกลับบ้าน
เสียงผู้คนจอแจในตลาดสด เสียงรถ อากาศอบอ้าว และผู้คนแออัด หล่อนไม่ได้คุ้นเคย แต่กลับรู้สึกเฉย ๆ อย่างน่าประหลาด อาจเป็นเพราะสิ่งที่ได้เผชิญพบมาเพิ่งจะข้ามวันนั้น เลวร้ายระยำจนไม่มีอะไรเทียบได้แล้ว
“ซันเป็นคนดี ทำแต่งาน ไม่นอกลู่นอกทาง... คงจะดีถ้ามีคนสวย ๆ อย่างหนูมาช่วยกันทำมาหากิน”ป้าเจ้าของร้านหันมายิ้ม หญิงสาวชะงัก จึงวางช้อนแล้วรีบหยิบแก้วน้ำขึ้นดื่มก่อนจะสำลัก
“นายคนนั้นเหรอคะ... เป็นคนดี” หล่อนถามอ้อมแอ้ม อีคนดีที่ป้าว่า เพิ่งจะออกจากร้านยาดอง และคุยกันแต่เรื่องลามกไม่พ้นหว่างขาผู้หญิง แต่... มาคิดอีกที เขาก็มีมุมส่วนดีอยู่บ้างจริง ๆ อย่างน้อย ๆ ก็ยอมช่วยเหลือหล่อนโดยไม่ซักไซ้ไล่เลียงอะไรมากความ
“ถ้าเทียบกับไอ้พวกขี้ยา ไม่ก็เด็กแว้นแถวนี้ ซันก็เป็นเทพบุตรเลยล่ะหนู”
“เทพบุตรกังฟูเพลย์บอยสิไม่ว่า” หล่อนบ่นพึมพำ ในชีวิตป้าคงไม่เคยได้ออกสู่โลกภายนอกเลยสินะ วนเวียนอยู่แค่ในตลาด ถึงไม่เคยรู้ว่าในอีกสังคมหนึ่ง คนที่เพียบพร้อมไปด้วยรูปเป็นทรัพย์ มีสมบัติกินใช้ไปสามชาติเจ็ดชาติก็ไม่หมด นั้นมีอยู่เกลื่อนกลาด ซึ่งหากเป็นเมื่อก่อน อย่าว่าแต่จะเข้ามานั่งกินดื่มในร้านป้าเลย แม้จะชายตามองตลาดนี้ในระยะสามร้อยเมตร หล่อนก็คงไม่ทำ
“คนรวย หรือจะสู้คนดีหนูเอ้ย...” ป้าพูดต่อ พูดอะไรต่อมิอะไรไปเรื่อย ๆ แต่ต้นประโยคกลับสะกดใจหล่อนจนไม่ได้ฟังอะไรอีกเลย
“คนดีงั้นเหรอ... ไม่เห็นจำเป็นเลย” สำหรับคนที่เพิ่งถูกสวมเขามาอย่างน่าอนาถ จะคนดี หรือคนไม่ดี จะรวยหรือไม่ มันก็ไม่สำคัญอีกแล้ว... การได้แต่งงานกับผู้ชายที่ตัวเองรัก คือสิ่งที่ผู้หญิงทุกคนเฝ้าฝัน รอคอย ทุ่มเท และตั้งความหวังเอาไว้เต็มที่ หล่อนก็เช่นกัน... หล่อนรอวันนี้มาสิบกว่าปี ตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย กระทั่งเรียนจบ ทำงาน ช่วยกันเก็บเงินสร้างเนื้อสร้างตัว จนสามารถซื้อเรือนหอราคาห้าหกล้านได้โดยไม่ต้องรบกวนครอบครัว ทุกอย่างมีพร้อม รถ บ้าน หน้าที่การงาน เหลือแต่รอเวลาใช้ชีวิตร่วมกันอย่างเป็นทางการ
“วันนี้ลูกของแม่สวยมาก สวยจริง ๆ” กอบแก้ว... มารดาของหล่อนจับลูบลูกสาวด้วยความชื่นชม แววตาปริ่มตื้นตันกับวันพิเศษ ซึ่งไม่ได้มีแต่บ่าวสาวที่รู้สึกยินดี คนรอบข้างก็พลอยภาคภูมิใจไปด้วย ในสังคมสมัยใหม่ การผิดประเพณี อยู่ก่อนแต่ง หรือแม้กระทั่งท้องก่อนแต่งก็ดูจะเป็นเรื่องธรรมดา ต่างจากยุคสมัยก่อนที่คนในสังคมเห็นเป็นเรื่องไม่สมควร ไม่เป็นที่ยอมรับ ใครมีลูกสาวแล้วยังรักษาขนบธรรมเนียม รักษาหน้าพ่อแม่ รักษาความดีงามของลูกผู้หญิงเอาไว้จนได้เข้าพิธีอย่างสมเกียรติ
“ณธิดา เธอสวยจริง ๆ พี่ก้องโชคดี ได้แต่งงานกับคนดี ๆ อย่างเธอ” ญารตี เพื่อนเจ้าสาวในชุดสวยกล่าวสำทับด้วยรอยยิ้ม พิธีช่วงเช้าผ่านไปด้วยความราบรื่น ทั้งแขกเหรื่อและเจ้าภาพต่างชื่นมื่นราวกับชั้นบรรยากาศของโลกเป็นสีชมพู กระทั่งถึงงานเลี้ยงในช่วงเย็นก็ถูกจัดขึ้นในโรงแรมเดียวกัน เจ้าสาวจึงเปลี่ยนจากชุดไทยประยุกต์ มาเป็นชุดราตรีสีขาวฟูฟ่อง
สวย หรู ดูอย่างไรก็แพง...
“ผู้ชายสมัยนี้จะมีรักเดียวใจเดียว รอกันเป็นสิบปีกว่าจะได้แต่งงานหายากยิ่งกว่าได้เจอโคตรเพชร ได้มาอยู่ด้วยกันแล้วก็ดูแลรักษากันไว้ให้ดี ๆ และไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นจำไว้ด้วยว่าหนูยังมีแม่เสมอ”
“ค่ะคุณแม่...” หล่อนยกมือไหว้มารดา แล้วกราบแนบไปที่อก ก่อนจะสวมกอดกันด้วยความรักอาลัย จากนี้ไป... ทุกอย่างจะเปลี่ยนแปลง หล่อนยังเป็นลูกของแม่เสมอ หากแต่ทุกอย่างในชีวิตกำลังเข้าสู่การเปลี่ยนแปลงอันใหญ่หลวง อันที่จริงแล้วแม่ไม่ได้ชอบคนรักของหล่อนนัก แต่หากรู้เห็นมาตลอดถึงความผูกพันและการร่วมด้วยช่วยกันสร้างเนื้อสร้างตัวมาตลอดหลายปี ท่านจึงปลงใจและยินดีตามประสาแม่ที่รักลูกสาวคนเดียวมาก
งานช่วงค่ำเริ่มขึ้น ในห้องจัดเลี้ยงเต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งความสุข เสียงเพลง และคำอวยพรแสดงความยินดี มีการเชิญตัวบุคคลสำคัญขึ้นเวที เพื่อกล่าวแสดงความยินดี ทั้งเจ้าบ่าวและเจ้าสาวมีแต่รอยยิ้มและความประทับใจ ส่งผ่านสายตาและสีหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความลึกซึ้ง ส่งผ่านให้แก่กัน...
กระทั่งถึงช่วงเวลาสำคัญอีกช่วง ที่หลายคนรอคอย
นั่นคือการโยนช่อดอกไม้ หรือการโยนช่อบูเก้
เจ้าบ่าวประคองเจ้าสาวยืนอยู่หน้าเค้กแต่งงานกลางห้องจัดเลี้ยง เบื้องหน้าของพวกเขามีทั้งเพื่อนฝูงและญาติ ๆ ที่เป็นผู้หญิง ทั้งฝั่งเจ้าบ่าวและเจ้าสาว มายืนออรอลุ้นช่วงนาทีสำคัญ ซึ่งเชื่อกันว่า หากหญิงสาวคนไหนได้รับช่อดอกไม้ในงานแต่งแล้วล่ะก็ จะได้เป็นเจ้าสาวคนต่อไปในเร็ววัน
อนึ่ง... จุดประสงค์หลักก็เพื่อความสนุกสนานบันเทิงในงานวิวาห์ ซึ่งเป็นงานมงคลยิ่ง
“เอาล่ะครับ... ใครจะได้ไปนะฮะ ช่อดอกไม้จากคุณปลาย เจ้าสาวคนสวยของเราในวันนี้” พิธีกรกล่าว เสียงเพลงสนุกสนานบรรเลงขึ้น ฟองสบู่ลอยฟุ้ง แสงสีเฉิดฉายกะพริบวูบวาบ
“โยนเลย ๆ” เสียงแขกเหรื่อเร่งเร้า เจ้าสาวก็แกล้งเหวี่ยงแกล้งยกขึ้นยกลง แต่ไม่ยอมปล่อยให้หลุดมือสักที
“เลิกเล่นได้แล้วปลาย... พี่จะได้พาปลายไปเข้าหอเสียที” เจ้าบ่าวกระซิบข้างหู แล้วหอมแก้มหล่อนฟอดใหญ่ มือข้างหนึ่งกอดสะเอวหล่อนไว้ไม่ปล่อย ในขณะที่เจ้าสาวยังคงสนุกสนานกับการได้แกล้งบรรดาเพื่อนฝูงที่เตรียมตัวแย่งชิงช่อดอกไม้กันอย่างแข็งขัน
“รอมาได้สิบกว่าปี... อีกแค่ไม่กี่นาที พี่ก้องอย่าเว่อร์ค่ะ” หล่อนย้อนกลับ
“เอาน่า... เพื่อนรอกันนานแล้ว โยนเถอะ เดี๋ยวจะถอดใจกลับไปนั่งโต๊ะกันหมดเสียก่อน” ชายหนุ่มเย้า ณธิดาลอบขำ แต่ก็พยักหน้ารับทราบ หล่อนยกช่อดอกไม้ขึ้นสูงเหนือศีรษะอีกครั้ง เสียงดนตรีกระหึ่ม พิธีกรกล่าวหยอกล้อสนุกสนาน สาว ๆ ก็กรี๊ดกร๊าดเร่ง
“ใครจะได้มีผัวคนต่อไป มาลุ้นกันครับ!” พิธีกรกล่าวในขณะที่ดอกไม้ถูกเหวี่ยงโยนไปด้านหลังของคู่บ่าวสาว ดนตรีหยุดนิ่ง แสงไฟดับพรึ่บ... ก่อนไฟสปอตไลต์จะสว่างจ้าขึ้น ตรงจุดหญิงสาวผู้กำชัย คว้าช่อดอกไม้ไว้ได้ในมือ
“ใครวะ...” เสียงสาว ๆ ที่พลาดท่ากระซิบกระซาบกัน ซึ่งไม่ใช่เพียงพวกหล่อนหรอกที่แปลกใจ ทุกคนในงานต่างก็เขม่นจ้องมองเป็นสายตาเดียวกัน เพราะเจ้าของช่อดอกไม้คนใหม่ซึ่งอยู่ในชุดสีขาวบริสุทธิ์ที่ไม่ใช่ชุดราตรีธรรมดา ๆ แต่เป็นชุดคลุมท้องด้วย อีกทั้งหล่อนยังไม่เป็นที่คุ้นหน้าคุ้นตาเอาเสียเลย
ท่าทีก็เอาเรื่อง แววตาดุดันภายใต้เครื่องสำอางที่ฉาบให้ดูน่าหวั่นเกรง ทรงผมรวบเรียบปล่อยหางม้าดูมีสง่าลึกลับเผยใบหน้าสวยคมเด่นชัด หล่อนมองไปยังคู่บ่าวสาวไม่กะพริบตา และที่โดดเด่น ทำให้หล่อนกลายเป็นจุดสนใจได้โดยไม่ต้องเรียกร้องก็คือ ท้องของหล่อนซึ่งบ่งบอกอายุครรภ์ว่าคงใกล้คลอดเต็มที
“ฉันมาตามพ่อของลูก” หล่อนกล่าวขึ้นในขณะที่คู่บ่าวสาวหันกลับมาแล้ว เสียงฮือฮาก็ดังเซ็งแซ่ทั้งห้องโถง
ณธิดาหันมองหน้าซีดตะลึงงันของเจ้าบ่าว หล่อนปากคอสั่น ทำอะไรไม่ถูก เหมือนถูกไฟช็อตกะทันหัน ถูกถีบร่วงตกจากที่สูงลอยละลิ่วอยู่ในความเวิ้งว้างอยู่อย่างนั้น หาที่ยึดเกาะเกี่ยวไม่ได้
“นี่เหรอคะพี่ก้อง ที่บอกด้าว่าติดงานอยู่ต่างประเทศ... ที่แท้ก็แอบมาแต่งงานกับอีเมียน้อยนี่เอง”
“เมีย... เมียน้อยเหรอ...” ณธิดาชาหนึบไปทั้งร่าง หล่อนก้มมองชุดเจ้าสาวที่ภูมิใจนักหนาแล้วจุกเจ็บจนแม้จะเรียบเรียงคำพูดเพื่อถามคชากูล ก็ยังทำไม่ได้ หล่อนใส่ชุดแต่งงานอยู่นะเว้ย! จะไม่ให้เกียรติความแพงหน่อยเหรอ!
“ปลาย... พี่อธิบายได้ คือ...”
“มาถึงขนาดนี้แล้ว... เธอยังหน้าด้านไม่ยอมปล่อยเขาอีกเหรอ วันนี้คงได้รู้กันทั้งบาง ว่าเธอแย่งผัวชาวบ้านมาเป็นเจ้าบ่าว”
“ด้า! พอที ด้ากลับไปก่อน อย่ามาวุ่นวายที่นี่” ชายหนุ่มเดินเข้าไปขวางเมื่อแขกไม่ได้รับเชิญตรงดิ่งเข้ามาหาเขาและณธิดา แขกเหรื่อเริ่มวิพากษ์วิจารณ์กระหึ่ม หลายคนอยู่ในอาการช็อก ไม่ต่างจากเจ้าสาว
“ทำไมคะ! พี่ก้องจะแต่งงานกับอีนั่น แล้วด้ากับลูกจะอยู่ยังไง มันควรได้รู้ว่าพี่มีเมียมีลูกแล้ว จะได้รู้ตัวว่าต้องอยู่ในฐานะไหน” ดูเหมือนแม่ของลูก ฝั่งผู้เป็นเจ้าบ่าวจะไม่ยอมง่าย ๆ ทั้งคู่ยื้อยุดฉุดกระชาก อยู่อย่างนั้นโดยไม่มีใครกล้าเข้าไปแทรกแซง ด้วยต่างก็ไม่รู้ที่มาที่ไป
“พอ! พอได้แล้ว หยุดทั้งสองคนนั่นแหละ”
“...” คราวนี้ทั้งงานหันสายตาไปทางเจ้าสาว ซึ่งเหมือนจะตั้งสติได้ และก้าวตามมายืนด้านหน้าทั้งสอง
“ว่าไง อีเมียน้อย... แค่ได้ใส่ชุดแต่งงานอย่านึกว่าจะเหนือนะ เพราะฉัน... เป็นแม่ของลูกพี่ก้อง”
“โธ่... ทุเรศว่ะ หน้ามียางอายไหมแม่คุณ ถึงขั้นหอบท้องไม่มีพ่อมาในงานแต่งคนอื่น ยังกล้าประกาศปาว ๆ ว่าตัวเองเหนือ” ทั้งงานเงียบกริบ
เจ้าสาวถลกชายกระโปรงขึ้น แล้วถอดรองเท้าส้นสูงขว้างทิ้งข้างหนึ่ง ส่วนอีกข้างถือไว้ในมือ เร็วกว่าที่ใครจะคาดคิด... “โอ๊ย!” คชากูลหน้าหันไปตามแรงรองเท้าที่ฟาดใส่อย่างจัง โดยมีแม่ของลูกเข้าประคอง และอยู่ในอาการตกใจ
ใครจะคิดว่าเจ้าสาวที่เพิ่งถูกทำลายงานแต่ง... จะเด็ดถึงเพียงนี้
