11. สถานที่อันคุ้นเคย
เดวิด ยืนมองสะพานข้ามแม่น้ำแควที่อยู่เบื้องหน้าด้วยความรู้สึกคุ้นเคย มีนักท่องเที่ยวหลายคนถ่ายรูปตามมุมต่าง ๆ
เขาใช้มือถือถ่ายภาพเช่นเดียวกัน บางครั้งก็หันไปถ่ายภาพของไกด์สาวไว้อีกด้วย เขาจะเอาภาพของกัญญาวีร์ไปเปรียบเทียบกับภาพวาดที่อยู่ในมือถือ ซึ่งคาดว่าคืนนี้เขาอาจจะต้องนอนดูภาพของกัญญาวีร์ ทั้งคืนก็ได้
“ไม่เห็นไกด์อธิบายให้ลูกทัวร์อย่างผมฟังเลยนะครับ”
เดวิด เริ่มกระตุ้นไกด์สาวมือสมัครเล่น เมื่อเธอมัวแต่ปล่อยให้เขาถ่ายรูปตามสบาย กัญญาวีร์ ยิ้มขวยเขินก่อนจะคิดเรียบเรียงคำพูดออกมาอธิบาย
“สะพานแห่งนี้ได้ชื่อว่าเป็นสะพานวิปโยคและทางรถไฟสายมรณะมาก่อนค่ะ” กัญญาวีร์พูดขึ้นสั้น ๆ
“เป็นยังไงครับ”
เดวิด ถามด้วยสายตาอ่อนโยน เขาคลายความตื่นเต้นลงได้มากแล้วหลังจากได้นั่งรถ พูดคุยกันมาตลอดทาง และเวลานี้เขาอยากได้ยินเสียงหวานใสของเธอตลอดเวลาด้วย ถึงแม้เดวิด จะได้อ่านประวัติศาสตร์ความเป็นมาของสถานที่แห่งนี้มาบ้างแล้วทางอินเตอร์เน็ต แต่ก็ไม่เหมือนกับได้ยินเสียงของหญิงสาวที่ทำให้หัวใจของเขาหวั่นไหวนี้ เล่าให้ฟัง
“สะพานแห่งนี้เป็นอนุสรณ์สถานเพื่อเตือนใจคนรุ่นหลังให้ทราบถึงความโหดร้ายของสงคราม สะพานนี้จึงถือเป็นประวัติศาสตร์สำคัญของโลกก็ว่าได้ เพราะเคยมีทหารเชลยศึกฝ่ายสัมพันธมิตรหลายหมื่นคนต้องมาจบชีวิตลงที่นี่ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2”
เธออธิบายยาวขึ้นกว่าเดิม
“คุณรับรู้เรื่องพวกนี้จากที่ไหนครับ”
“ฉันก็อ่านจากอินเตอร์เน็ต แล้วก็จากหลักฐานที่เขามีเขียนไว้ให้อ่านสิคะ ของการท่องเที่ยวก็มีค่ะ”
“คุณเกรซ รับรู้จากการอ่าน แต่เชื่อไหมครับว่าผม...รับรู้ด้วยการสัมผัสของจริง” เดวิดมองหน้ากัญญาวีร์ยิ้ม ๆ
“ยังไงคะ”
กัญญาวีร์ เห็นสีหน้าของเดวิดเปลี่ยนเป็นเศร้าสร้อย
“ผมเคยใช้ชีวิตที่แสนทรมานที่ค่ายเชลยแห่งนี้ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2”
เดวิด ไม่รู้ว่าทำไมเขาจึงอยากจะเล่าให้เธอรับรู้ด้วย
“แล้วยังไงต่อคะ...”
เธอแกล้งเออออห่อหมกไปกับเขา เพราะคิดว่าเขาน่าจะกำลังพูดล้อเล่นอยู่ เธอจึงเริ่มที่จะกล้าสบตาเขามากขึ้น
“ตอนนั้นกองทัพญี่ปุ่นได้เกณฑ์เชลยศึกสัมพันธมิตร มีทั้งทหารอังกฤษ อเมริกัน ออสเตรเลีย จำนวนมาก เพื่อมาสร้างทางรถไฟในการใช้ผ่านไปยังประเทศพม่า ผมเองเป็นทหารจากอังกฤษที่ถูกใช้แรงงานเยี่ยงทาสอย่างทุกข์ทรมานแสนสาหัส ต้องเผชิญกับโรคอหิวาห์ โรคขาดสารอาหาร”
เดวิด บอกด้วยน้ำเสียงหดหู่ราวกับว่าเรื่องราวนั้นเพิ่งจะผ่านพ้นไปเมื่อไม่นานนี้เอง
“ถ้าคนอื่นได้ยินก็คงจะไม่เชื่อที่คนหนุ่มรุ่นคุณจะบอกว่าเคยเป็นเชลยในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 อยู่ที่นี่ เพราะคนที่จะผ่านช่วงนั้นมาได้จนถึงขณะนี้ ต้องชราภาพมากแล้ว แต่ส่วนใหญ่ก็เสียชีวิตกันไปหมดแล้ว”
“คุณเลยคิดว่าผมพูดอำคุณเล่นใช่ไหมครับ..”
เดวิดย้อนถามสีหน้าอมยิ้ม
“แต่ฉันก็เกือบเชื่อคุณนะเนี่ย..ฉันว่าคุณน่าจะอ่านมามากกว่าฉันนะคะ คุณพูดได้ละเอียดกว่าฉันเสียอีก ฉันอ่านแล้วก็ยังจำได้ไม่เท่าคุณเลยค่ะ”
กัญญาวีร์ กล่าวชมเสียงกลั้วหัวเราะ
“ถ้าผมบอกว่า....ผมเคยเป็นทหารเชลยที่ถูกใช้แรงงานในช่วงสงครามโลกจริง ๆ คุณจะเชื่อผมไหม”
เดวิด มองเข้าไปในดวงตาของเธอ เขาอยากจะให้เธอเชื่อในสิ่งที่เขาพูด
“ทำไมคุณถึงคิดว่าคุณเคยเป็นทหารเชลยในช่วงสงครามโลกนั่นล่ะคะ”
กัญญาวีร์ย้อนถามด้วยความไม่เข้าใจ
“คุณเคยได้ยินเรื่องการสะกดจิตระลึกชาติหรือเปล่า”
เดวิด ลองถามออกไป กัญญาวีร์เบิกตาโตด้วยความรู้สึกตื่นเต้น เพราะเธอเพิ่งอ่านเกี่ยวกับเรื่องที่เขาพูดถึงจบไปก่อนที่เขาจะเดินทางมาเมืองไทย ช่างบังเอิญอะไรเช่นนี้
“ฉันเคยอ่านหนังสือที่เขียนโดยจิตแพทย์ที่ชื่อดร.ไบรอัน แอล.ไวส์ ค่ะ เขาเขียนเล่าถึงการบำบัดจิตคนไข้ด้วยวิธีสะกดจิตแบบระลึกชาติ”
“โอ!..จริงหรือเกรซ แล้ว..คุณคิดยังไง”
เดวิด ตื่นเต้นมาก ที่กัญญาวีร์ เคยรับรู้เรื่องนี้ เพราะอย่างน้อยเธอก็คงจะมีพื้นฐานความเข้าใจพอที่จะไม่คิดว่าเขาเพ้อเจ้องมงาย เหมือนกับที่อิซเบลล่า เคยรู้สึกเช่นนั้น
“ก็แปลกดีค่ะ แล้วก็รู้สึกทึ่งกับเรื่องราวที่ได้อ่าน ฉันว่ามันมหัศจรรย์มากทีเดียว” กัญญาวีร์ตอบตามความรู้สึก
“คุณไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องเพ้อเจ้องมงายใช่ไหมครับ”
เดวิด อยากรู้ความคิดของเธอในเรื่องนี้ เขาภาวนาขออย่าให้กัญญาวีร์ คิดเหมือนกับอิซเบลล่าเลย
