ตอนที่ 5 วิธีสร้างรายได้
ส่วนทางด้านเถียนเว่ยก็กลับบ้านมาอย่างอับอาย บังเอิญเจอจ้าวมี่มี่ที่เพิ่งกลับมาจากข้างนอกด้วยสีหน้า บึ้งตึง ก็ยิ่งโกรธจัด ตะโกนเสียงดัง “แกยังกล้ารู้จักกลับมาอีก! เป็นเพราะแกคนเดียว ทำให้ฉันเสียหน้าหมด! ทำไมแกถึงหลอกฉันว่าหลินหลินเป็นคนพาแกออกไปริมแม่น้ำ”
“ใครหลอกแม่กัน” จ้าวมี่มี่ยังไม่รู้ว่าคำพูดของตัวเองได้ถูกเปิดโปงไปแล้ว เธอเพิ่งไปหาโจวเหวินจวิ้นมา แต่เขากลับไม่สนใจ อ้างว่าต้องอ่านหนังสือแล้วไล่เธอออกมา อารมณ์ตอนนี้กำลังหงุดหงิด เมื่อได้ยินคำพูดของผู้เป็นแม่ก็ตะคอกกลับไปอย่างไม่พอใจ
เถียนเว่ยไม่ใช่คนที่จะตามใจลูกสาว จึงด่าอีกฝ่ายด้วยความโมโห “ฉันเสียหน้าต่อหน้าชาวบ้านหมดแล้ว พวกเขาบอกว่าเห็นกับตาว่าแกเป็นคนดึงหลี่ม่านหลินไปริมน้ำ ทำไมแกถึงหลอกฉันว่าเธอเป็นคนดึงแกไป ฮะ! รู้ไหมว่าวันนี้ฉันอับอายแค่ไหน วันนี้ฉันจะต้องสั่งสอนแกให้เข็ดหลาบ หนังเด็กสารเลว กล้าหลอกแม้กระทั่งแม่ตัวเอง!”
เธอคว้าไม้กวาดที่วางอยู่ข้างประตู ฟาดใส่จ้าวมี่มี่อย่างไม่ยั้ง
“แม่ อย่าตีหนูเลย หนูผิดไปแล้ว! หนูผิดไปแล้ว!” จ้าวมี่มี่ถูกตีจนวิ่งพล่านไปทั่วบ้าน เจ็บจนน้ำตาไหลพราก “อย่าตีเลย! หนูรู้แล้วว่าผิด อย่าตีเลย!”
เถียนเว่ยสูดลมหายใจวางไม้กวาดในมือลง จ้องจ้าวมี่มี่เขม็ง
จ้าวมี่มี่ร้องไห้พลางลูบรอยที่ถูกตีตามตัว ในใจเต็มไปด้วยความแค้น เธอเอื้อมมือปาดน้ำตา มองผู้เป็นแม่ “ถ้าแม่โกรธมาก ก็ให้บ้านโจวรีบไปถอนหมั้นแล้วมาหมั้นกับหนูสิคะ บ้านหลี่เสียลูกเขยดีๆ อย่างโจวเหวินจวิ้นไปแล้วคงแค้นใจจนแทบกระอักเลือด แม่จะได้กู้หน้าคืนมาได้ไงคะ”
เถียนเว่ยฟังแล้วก็รู้สึกว่าเป็นความคิดที่ดี นึกถึงท่าทางดุดันของรั่วหลานจึงกัดฟันพูดว่า “นางบ้ารั่วหลาน จับลูกเขยไว้ไม่อยู่แล้วมาลงที่ฉัน! แกกับฉันไป บ้านโจวตอนนี้เลย ต้องบังคับให้กุ้ยหลันพาโจวเหวินจวิ้นไปถอนหมั้นกับลูกสาวบ้านนั้นให้ได้!”
จ้าวมี่มี่ดีใจแต่เมื่อเห็นร่องรอยบาดแผลบนตัวของเธอและแม่ก็พูดว่า “แม่คะ พวกเราค่อยไปพรุ่งนี้เถอะค่ะ ไปทั้งๆ ที่มีแผลเต็มตัวแบบนี้มันไม่เหมาะมั้งคะ”
เถียนเว่ยเอื้อมมือไปลูบคลำใบหน้า ก็เจ็บจนต้องเบ้ปาก สุดท้ายก็ทำตามที่ลูกสาวบอกรอให้แผลดีขึ้นก่อนค่อยไป!
…..
อีกด้านหนึ่งรั่วหลานก็บอกให้ลูกสาวตัวเองกลับไปนอนพักที่บ้าน “หลินหลิน ที่นี่ไม่มีเรื่องอะไรแล้ว รีบกลับไปพักผ่อนเถอะ”
หลี่ม่านหลินถูกแดดส่องจนใบหน้าเล็กๆ ซีดลงเล็กน้อย รั่วหลานเห็นแล้วก็สงสารจับใจ “ดูสิหน้าซีดไปหมดเลย รีบกลับไปพักผ่อนเถอะ ไม่ต้องห่วงแม่ แม่ไม่เป็นอะไรหรอก! อย่างน้อยก็ยังมีพ่อกับพี่ชายสามคนอยู่ที่นี่ พวกเขาตัวใหญ่โตน่ากลัว ไม่มีเรื่องอะไรหรอก!”
หลี่ม่านหลินพยักหน้าและเห็นว่าตอนนี้ใกล้เที่ยงแล้ว จึงกลับไปทำอาหารรอพวกเขา เมื่อถึงเวลาพักเที่ยงจะได้กินทันพอดี คิดได้ดังนั้นหลี่ม่านหลินจึงไม่รอช้า กล่าวคำลาแล้วเดินกลับบ้าน
เมื่อผ่านทางแยกที่มุ่งหน้าไปยังปากหมู่บ้าน เธอเห็นรถสองแถวจอดอยู่ไกลๆ ที่ปากทางเข้าหมู่บ้าน หญิงสาวเห็นว่ามีผู้ชายคนหนึ่งสะพายกระเป๋าลงมาจากรถ
เพราะอยู่ไกลจึงมองไม่เห็นหน้าตาชัดเจน เพียงแต่รู้สึกคุ้นๆ อย่างบอกไม่ถูก
แต่ถ้าอีกฝ่ายลงรถที่ปากทางเข้าหมู่บ้านต้าฮวา ก็คงเป็นชาวบ้านในหมู่บ้าน จะคุ้นหน้าก็เป็นเรื่องปกติ
หลี่ม่านหลินไม่ได้คิดอะไรมาก เพียงมองแล้วก็ละสายตา จากนั้นก็กลับบ้านไปเตรียมอาหารกลางวัน
ของกินในบ้านอยู่ในมือของรั่วหลาน แม้แต่ถังข้าวยังอยู่ในห้องของเธอ ปกติจะไม่ให้ใครเข้าไปในห้องเลย
โดยปกติตอนที่พวกพี่สะใภ้ทำอาหาร แม่ของเธอก็จะตวงข้าวใส่หม้อไว้ในครัวล่วงหน้าหนึ่งวัน เพราะความเป็นอยู่ที่ยากลำบากในช่วงที่ผ่านมาทำให้แม่ของเธอมีนิสัยเช่นนี้
หลี่ม่านหลินมีสิทธิ์เข้าไปเอาของในห้อง เธอมีกุญแจจึงเดินไปเปิดตู้เก็บอาหาร และพบว่าข้างในมีของเยอะแยะปะปนกัน มีน้ำมันหมูที่เจียวไว้กระป๋องเล็กๆ น้ำตาลทรายแดง แป้งข้าวโพดที่บดเองถุงหนึ่ง และหมูเค็มตากแห้งชิ้นไม่ใหญ่มาก
ในถังไม้มีข้าวสารเก่าไม่น้อย พอให้พวกเขากินได้อีกพักใหญ่ ข้าวสารใหม่ๆ ที่ได้มาทุกปี รั่วหลานจะเอาไปแลกเป็นข้าวสารเก่าที่ตลาดในเมือง เพราะข้าวสารดีๆ มีน้อยเกินไป แลกเป็นข้าวสารเก่าถึงจะพอให้คนทั้งบ้านกิน
คนบ้านหลี่ถือว่ายังดี อย่างน้อยทุกคนก็ได้กินอิ่มครึ่งท้อง หลายคนในหมู่บ้านกินไม่อิ่มด้วยซ้ำ แค่ไม่อดตายก็ดีถมไปแล้ว ตอนนี้พึ่งจะเปิดประเทศ ดังนั้นผู้คนจึงไม่ได้มีชีวิตที่ดีขึ้นกันในทันที
หลี่ม่านหลินปิดตู้แล้วเดินไปที่ครัว ตักข้าวสารเก่ามาซาว แล้วไปเอามันเทศสามหัวมาต้มผสมรวมกัน ส่วนกับข้าว หญิงสาวตักผักกาดดองในไหออกมา แล้วไปเก็บพริกแดงเม็ดเล็กๆ สามเม็ดจากแปลงผักหลังบ้านมาหั่นละเอียด ใส่น้ำมันพืชเล็กน้อย เอาพริกที่หั่นไว้กับผักกาดดองลงไปผัดด้วยกัน ทำให้กลิ่นหอมมากขึ้น
ตอนนี้การควบคุมไม่เข้มงวดเหมือนเมื่อก่อน ดังนั้นทุกบ้านจึงมักจะไถที่ดินเล็กๆ ในบริเวณบ้าน ปลูกพริก แตงกวา และฟักทองไว้กินกันเองในครอบครัว
หลังจากผัดผักกาดดอง หลี่ม่านหลินก็ปอกมันฝรั่งหัวหนึ่ง หั่นเป็นเส้นแล้วผัดกับน้ำมัน
รั่วหลานเพิ่งก้าวเข้ามาในบ้านก็ได้กลิ่นหอมจากในครัว จึงรีบวางจอบแล้วเดินเข้าไป “แม่บอกว่าให้พักผ่อนไม่ใช่เหรอ ทำไมถึงทำอาหารแล้วล่ะ”
“หนูนอนมากเกินไปแล้วค่ะ อยากขยับเขยื้อนร่างกายบ้าง” หลี่ม่านหลินตอบด้วยรอยยิ้ม “แค่ทำอาหาร ไม่เหนื่อยหรอกค่ะ”
“ลูกคนนี้นี่” รั่วหลานจนใจ เอื้อมมือแตะหน้าผากเธอเบาๆ แล้วยกจานกับข้าวเดินออกไป พลางตะโกนเรียกบรรดาลูกสะใภ้ “รีบเข้ามาตักข้าวออกไปเร็ว”
พี่สะใภ้ทั้งหลายที่เพิ่งล้างมือเสร็จรีบเข้ามาช่วยทันที
เมื่อก่อนเจ้าของร่างเดิมก็มักจะทำอาหารที่บ้านอยู่บ่อยๆ แต่คงรู้ว่าฐานะทางบ้านไม่ได้ดีมากนัก เวลาทำอาหารจึงประหยัดน้ำมันเหมือนกับแม่และพี่สะใภ้ทั้งหลาย
หลี่ม่านหลินมาจากยุคปัจจุบัน ยังปรับตัวไม่ได้ทันที จึงใส่น้ำมันค่อนข้างเยอะ ทำให้คนในบ้านหลี่ทุกคนก้มหน้าก้มตากินข้าว เพราะรู้สึกว่าอาหารเที่ยงวันนี้อร่อยเป็นพิเศษ
รั่วหลานออกจะเสียดายน้ำมันอยู่บ้าง แต่คิดว่าลูกสาวเพิ่งหายป่วย กินน้ำมันเยอะหน่อยก็คงไม่เป็นไร จึงไม่ได้หวงมากนัก
หลังกินอาหารมื้อกลางวัน หลี่ม่านหลินกลับเข้าไปในห้อง หยิบสมุดและปากกาลูกลื่นที่เจ้าของร่างเดิมเก็บไว้อย่างทะนุถนอมออกมาวางบนโต๊ะเขียนหนังสือ
ในยุคนี้การสร้างรายได้มีหลายแบบ เธอไม่สามารถขึ้นเขาไปหาสัตว์ป่าหรือสมุนไพรได้ แต่การเขียนนิยายก็ถือว่าสร้างเงินให้ตัวเองได้เช่นกัน
เพราะค่าต้นฉบับในยุคนี้ถือว่าสูงมาก
ชาติที่แล้วหญิงสาวก็เคยเป็นนักเขียน หญิงสาวจึงคิดที่จะเขียนเรื่องสั้นส่งไปให้หนังสือพิมพ์พิจารณา
คิดได้ดังนั้นหญิงสาวก็เริ่มจรดปากกาเขียนในทันที