ตอนที่ 2 อย่าปั้นหน้าเศร้า
วันต่อมาเมื่อเห็นว่าหลี่ม่านหลินสีหน้าและร่างกายดีขึ้น ผู้เป็นแม่จึงอนุญาตให้ลงจากเตียงเดินไปเดินมาได้ หญิงสาวจึงเดินออกไปตากแดดที่ลานบ้าน
แต่เพิ่งจะก้าวเท้าออกจากประตู เธอก็เห็นร่างคุ้นเคยกำลังเดินตรงมาทางนี้ เมื่อหรี่ตาเพ่งมองอย่างละเอียด คนที่มาก็คือจ้าวมี่มี่ตัวประกอบที่กลับชาติมาเกิดนั่นเอง!
วันนี้หลังจากออกไปทำงาน รั่วหลานได้บอกกับทุกคนเรื่องที่ลูกสาวของตัวเองฟื้นขึ้นมาแล้ว เมื่อจ้าวมี่มี่รู้เข้าก็นั่งไม่ติด กังวลว่าความผิดที่ตัวเองก่อจะถูกเปิดโปง จึงรีบมาดูสถานการณ์
ตอนที่เดินใกล้จะถึงบ้านหลี่แล้ว เธอก็เห็นหลี่ม่านหลินยืนอยู่ในลานบ้านแต่ไกล อีกฝ่ายดูสดชื่นร่างกายไม่ได้อ่อนแอ ผิวพรรณก็ดูขาวผ่องขึ้นกว่าเดิมเสียอีก
ในดวงตาของจ้าวมี่มี่ฉายแววอิจฉาริษยาและมีความสะใจอยู่ลึก ๆ
ต่อให้อีกฝ่ายหน้าตาดี เรียนเก่งแล้วยังไง คู่หมั้นของเธอก็ยังถูกแย่งมาได้ไม่ใช่รึไง!
คิดได้ดังนั้น จ้าวมี่มี่ก็รู้สึกสะใจอย่างถึงที่สุด
ในชาติก่อน หลังจากสอบเข้ามหาวิทยาลัย หลี่ม่านหลินและโจวเหวินจวิ้นก็แต่งงานกัน ทั้งสองได้รับจดหมายตอบรับจากมหาวิทยาลัยในเมืองปักกิ่ง กลายเป็นนักศึกษาเพียงสองคนในหมู่บ้าน
ส่วนเธอเพราะไม่สนใจการเรียนจึงสอบไม่ติดมหาวิทยาลัย ต้องหางานทำในโรงงาน
ต่อมาเธอแต่งงานกับชายหนุ่มจากหมู่บ้านข้าง ๆ ที่ครอบครัวแนะนำให้ ใช้ชีวิตคู่อย่างธรรมดาและตีกันเรื่องเงินเกือบทุกวัน
ในขณะที่หลี่ม่านหลินและสามีประสบความสำเร็จในธุรกิจ ขับรถหรูกลับมาบ้านเกิด เรียกสายตาชื่นชมอิจฉาจากคนทั่วทั้งหมู่บ้าน
โจวเหวินจวิ้นกลายเป็นมหาเศรษฐี หลี่ม่านหลินเป็นภรรยาคนสวยสวมเสื้อผ้าทันสมัยและเครื่องประดับราคาแพง เวลาผ่านไปหลายปี เธอไม่ได้แก่ลงแต่กลับสวยขึ้นยิ่งกว่าเดิม
ในขณะที่จ้าวมี่มี่ ซึ่งอายุเพียงสามสิบกว่า ๆ แต่กลับถูกกาลเวลากัดกร่อนจนดูเหมือนคนอายุห้าสิบปี
จ้าวมี่มี่คิดว่าหลี่ม่านหลินโชคดีแค่ได้เกาะ โจวเหวินจวิ้นที่เป็นกลายเป็นเศรษฐี เธอเคยจินตนาการบ่อย ๆ ว่า ถ้าในวันนั้นคนที่ได้แต่งงานกับโจวเหวินจวิ้นเป็นเธอล่ะก็ ชีวิตที่ร่ำรวยในวันนี้ก็คงเป็นของเธอแล้ว!
โชคดีที่ในวันหนึ่ง จ้าวมี่มี่ได้ตื่นขึ้นมาพบว่าตัวเองย้อนกลับมายังช่วงวัยสาว และเป็นตอนที่หลี่ม่านหลินและโจวเหวินจวิ้นเพิ่งหมั้นกันได้ไม่นาน เธอดีใจเหลือเกิน คิดว่านี่คือโอกาสที่สวรรค์ประทานมาให้ รีบวางแผนทำลายความสัมพันธ์ของทั้งสองทันที!
“หลินหลิน ฉันได้ยินจากป้ารั่วหลานว่าเธอฟื้นแล้ว ฉันเลยมาเยี่ยม” จ้าวมี่มี่เดินมาถึงหน้าลานบ้าน ก็พูดจาไพเราะ ปั้นหน้าเป็นห่วง “ร่างกายของเธอดีขึ้นแล้วหรือยัง”
หลี่ม่านหลินมองอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้ม “เรื่องทุกอย่างต้องขอบคุณเธอนะ ตอนนี้ฉันสบายดีเชียวล่ะ”
“ทำไมเธอพูดแบบนี้” จ้าวมี่มี่ได้ยินก็ใจหายวาบ พูดเสียงแข็ง
หลี่ม่านหลินยิ้มกว้างขึ้น “ฉันก็ไม่ได้ว่าอะไรเธอซะหน่อย”
“ฉันอุตส่าห์มีน้ำใจมาเยี่ยม ทำไมถึงพูดจากวนประสาทฉันแบบนี้!” จ้าวมี่มี่เริ่มโมโห
“เหรอ” หลี่ม่านหลินยิ้มเย็น ก้าวเข้ามาใกล้จนเผชิญหน้า เธอสูงกว่าอีกฝ่ายครึ่งศีรษะ มองต่ำลงมาด้วยท่าทางกดดัน “ไหน ๆ เธอก็บอกว่ามีน้ำใจ ถ้าอย่างนั้นก็ช่วยไปบอกโจวเหวินจวิ้นทีว่าไม่ต้องยกเลิกการหมั้นหมายกับฉัน เพราะว่าเธอไม่อยากทำลายความสัมพันธ์ของพวกเรา”
จ้าวมี่มี่เบิกตากว้าง อุตส่าห์วางแผนเสี่ยงชีวิตเพื่อทำลายการหมั้นหมาย จะยอมถอยง่าย ๆ ได้ยังไง เธอไม่โง่นะ!
“หลินหลิน ไม่ใช่ว่าฉันไม่อยากพูดนะ แต่ โจวเหวินจวิ้นเขากอดฉันแล้ว เธอก็รู้ว่าแม่ฉันเป็นคนยังไง ถ้าเขาไม่รับผิดชอบล่ะก็ แม่ฉันต้องไปแจ้งความจับเขาในข้อหาลวนลามแน่นอน อาจจะถึงขั้นติดคุกเลยนะ! เธอคงไม่อยากให้โจวเหวินจวิ้นต้องติดคุกหรอกใช่ไหม” จ้าวมี่มี่พูดพลางทำหน้าเศร้า
หลี่ม่านหลินยิ้มแต่ไม่พูดอะไร เธอไม่อยากเสียเวลาพูดกับอีกฝ่าย “ช่างเถอะ…ฉันเหนื่อยแล้ว เธอกลับไปซะ!”
น้ำเสียงที่พูดเหมือนไล่สุนัข ทำให้หน้าของจ้าวมี่มี่เขียวคล้ำไปชั่วขณะ แต่พอคิดได้ว่าหลี่ม่านหลินคงกำลังโกรธที่ถูกแย่งคู่หมั้น ก็รู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมาทันที
“ถ้าอย่างนั้นฉันกลับก่อนนะ ดูแลตัวเองดี ๆ ล่ะ รอฉันแต่งงานกับโจวเหวินจวิ้นเมื่อไหร่ จะเอาขนมแต่งงานมาให้เธอด้วย!”
หลี่ม่านหลินยิ้มมุมปาก มองตามแผ่นหลังที่เดินจากไปของจ้าวมี่มี่ ก่อนจะขยับริมฝีปากเอ่ยถ้อยคำเบา ๆ โดยไร้เสียง “โง่เง่า”
คิดว่าความสำเร็จของโจวเหวินจวิ้นในอนาคตเกิดขึ้นเพราะตัวเขาอย่างนั้นเหรอ! ช่างไม่รู้อะไรเลยจริงๆ คนที่ช่วยให้เขาร่ำรวยก็คือนางเอกของเรื่องต่างหาก!
ได้โอกาสเกิดใหม่ทั้งที แทนที่จะมุ่งมั่นทำธุรกิจพึ่งพาตนเอง กลับเอาแต่หมกมุ่นจ้องจะแย่งสามีคนอื่น สายตาตื้นเขินแบบนี้ สมแล้วที่เป็นได้แค่ตัวประกอบ!