บทที่6 ว้าวุ่นใจ
จ้าวเยี่ยนฟางนั่งอยู่เพียงลำพังเช่นนั้นราวสองเค่อ แต่ก็ยังไม่เห็นวี่แววของหวงตงหยางว่าจะกลับมา ถึงเขาจะเกลียดชังนางอย่างไร แต่เขาคงไม่ได้จะทิ้งนางไว้ที่นี่หรอกใช่หรือไม่..
บัดนี้นางรู้สึกเวียนหัวมากขึ้นกว่าตอนแรก สงสัยว่านางคงไข้ขึ้นเสียแล้ว หวงตงหยางจะว่าอย่างไรก็ช่าง แต่ตอนนี้นางอยากกลับจวนเต็มทน แต่ก่อนจะกลับ อย่างไรก็ต้องไปตามหาหวงตงหยางเสียก่อน หากเขายังอยากใช้เวลาอยู่กับแม่นางเหริน นางก็จะปล่อยเขาไว้ที่นี่ แล้วกลับจวนสกุลหวงไปคนเดียว
จ้าวเยี่ยนฟางตัดสินใจเดินออกมาข้างนอกเพื่อตามหาหวงตงหยาง ดวงจันทร์ลอยเด่นอยู่บนท้องนภา สายลมเย็นยามค่ำคืนพัดเอื่อย ๆ พัดพากลิ่นหอมของมวลดอกไม้ลอยล่องมาตามสายลม พระตำหนักแห่งนี้ประดับประดาไปด้วยดอกไม้นานาพันธุ์ที่หายลได้ยากยิ่ง สมกับเป็นพระที่นั่งขององค์ฮองเฮา
"ข้าก็คิดอยู่ว่า ผู้ใดออกมายืนอยู่คนเดียวเช่นนี้ ที่แท้..ก็หวงฮูหยินนี่เอง" น้ำเสียงเย้ยหยันดังขึ้นจากทางด้านหลัง จ้าวเยี่ยนฟางหันกลับไปยังทางต้นเสียงก็พบกับคุณหนูจากตระกูลขุนนางสามคน
ในความทรงจำที่ปรากฎ หนึ่งในคุณหนูเหล่านี้มีสตรีคนหนึ่งเคยตามเกี้ยวหวงตงหยาง ตั้งแต่ตอนที่นางและเขายังไม่ได้แต่งงานกัน พอมาเห็นเช่นนี้แล้วต่อให้ไม่มีความทรงจำเก่าของจ้าวเยี่ยนฟาง นางก็สามารถดูออกได้ในปราดเดียวเลยว่า คนไหนคือสตรีที่คอยตามยั่วยวนหวงตงหยาง
จ้าวเยี่ยนฟางยิ้มให้พวกนางเล็กน้อยโดยที่มิได้ตอบอะไรกลับไป ดูก็รู้ว่าคนพวกนั้นตั้งใจเข้ามาหาเรื่อง นางจึงไม่อยากเสวนาให้เสียเวลา
"น่าแปลกนะเจ้าคะ เหตุใดวันนี้ท่านถึงมายืนอยู่เพียงลำพัง" คุณหนูสกุลหลิวเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราวกับห่วงใย ทว่าความห่วงใยนั้นไปไม่ถึงดวงตา นางเป็นคนที่หลงรักหวงตงหยางข้างเดียวเช่นเดียวกันกับจ้าวเยี่ยนฟาง
"นั่นสิเจ้าคะ ท่านแม่ทัพไม่เห็นอยู่กับท่านเหมือนเช่นทุกปี มิใช่ว่าความรักจืดจางแล้วหรือเจ้าคะ" คุณหนูอีกคนหนึ่งพูดขึ้นด้วยสีหน้าท่าทางเย้ยหยัน สตรีคนนี้เป็นหนึ่งในตัวประกอบของนิยาย กระทั่งความทรงจำของจ้าวเยี่ยนฟาง ยังจำไม่ได้เลยด้วยซ้ำว่านางคือใคร
"คุณหนูฟ่านนี่ล่ะก็ ไปพูดอะไรอย่างนั้นต่อหน้าฮูหยินล่ะ เดี๋ยวฮูหยินท่านจะเสียใจเอานะ" หลิวซูเซียวแสร้งห้ามปรามสหายของตน ทั้งที่จริงแล้ว ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยรอยยิ้มพึงพอใจ
"ความรักจืดจางอะไรกัน พวกเจ้ามิเคยสังเกตสีหน้าของท่านแม่ทัพตอนอยู่กับฮูหยินหรือ เหมือนคนจะอาเจียนอยู่ตลอดเวลาแน่ะ คิกๆๆๆ" สตรีตัวประกอบอีกคนหนึ่งพูดขึ้น จากนั้นทั้งสามคนก็พยายามกลั้นเสียงหัวเราะอย่างน่าหมั่นไส้
ถ้าหากว่านางเป็นจ้าวเยี่ยนฟางคนเก่า เกรงว่าคุณหนูพวกนี้คงจะโดนตบเลือดกบปากเป็นแน่ แต่ช่างเถิด เพราะนางมิใช่จ้าวเยี่ยนฟางคนเก่าอีกแล้ว ไม่มีทางที่นางจะไปลงมือตบตีกับใคร เพียงเพราะคำพูดแค่ไม่กี่คำ
อีกอย่างตอนนี้นางก็ไม่ได้มีอารมณ์จะไปทะเลาะกับใครด้วย ตอนนี้นางเพียงแค่อยากตามหาหวงตงหยางให้เจอ แล้วกลับจวนเท่านั้น ส่วนอย่างอื่น นางมิได้สนใจ
"พวกเจ้ามีเรื่องจะพูดแค่นี้ใช่หรือไม่" เมื่อพูดจบนางก็หันหลังเดินออกมาจากตรงนั้น เพื่อที่จะตามหาหวงตงหยางต่อไป ใจจริงของนางก็อยากจะอยู่ต่อปากต่อคำกับตัวประกอบพวกนี้อยู่เหมือนกัน แต่ทว่าร่างกายของนางตอนนี้เริ่มไม่ไหวแล้ว นางจึงไม่อยากอยู่ต่อความยาวสาวความยืดกับคนพวกนี้ให้เสียเวลา
เมื่อหันหลังเดินออกมาได้ไม่กี่ก้าว เท้าทั้งสองข้างของนางก็ชะงักอยู่กับที่ ภาพที่เห็นคือหวงตงหยางกำลังยืนมองมาที่นาง โดยที่ข้างกายเขาก็มีเหรินหลานเฟิงยืนอยู่ข้าง ๆ สายตาคมของเขาจับจ้องมาทางนางอย่างมิบ่งบอกถึงอารมณ์ เขาต้องคิดว่านางก่อเรื่องอีกแล้วเป็นแน่
ช่างเป็นเรื่องที่แปลกประหลาด เพราะน้ำตาของนางนั้นไหลออกมาโดยที่ตัวนางเองก็ไม่ทันรู้ตัว
"ท่านจะกลับจวนพร้อมข้าเลยไหม.."จ้าวเยี่ยนฟางพยายามทำเสียงให้ปกติที่สุด บัดนี้ร่างกายของนางเริ่มหายใจหอบถี่ ภาพที่เห็นก็ค่อย ๆ เลือนรางลงอย่างช้า ๆ แต่เขาก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับมา ร่างกายบอบบางโซเซอย่างไร้เรี่ยวแรง ภาพสุดท้ายที่นางเห็นก็คือหวงตงหยางรีบวิ่งมารับนางไว้ได้อย่างทันท่วงที จากนั้นทุกอย่างก็มืดดับลง
ไม่นะ..เขาต้องคิดว่าข้าแกล้งป่วยเพื่อเรียกร้องความสนใจเขาแน่ ๆ
หวงตงหยางช้อนร่างบาง เข้ามาไว้ในอ้อมแขน เขาอุ้มฮูหยินเพียงในนามของเขากลับไปยังรถม้า ตลอดระยะทางที่เดินกลับหวงตงหยางเองมิได้แสดงสีหน้าใด ๆ ออกมา เขาทำเพียงแค่มุ่งหน้าไปยังรถม้าอย่างเงียบ ๆ
เมื่อเดินมาถึงรถม้าหวงตงหยางก็ก้มลงมามองสตรีในอ้อมแขนก่อนจะส่งสัญญาณให้ถิงถิงช่วยจัดแจงที่นั่งด้านในให้เรียบร้อย จากนั้นก็ค่อย ๆ วางร่างของจ้าวเยี่ยนฟางลงบนเบาะนั่งอย่างเบามือ ด้วยพื้นที่ในรถม้าไม่เพียงพอสำหรับการนอนหลับ เขาจึงจำยอมนั่งลงข้าง ๆ สตรีที่กำลังหลับใหล ก่อนจะประคองศีรษะนางมาพิงที่ไหล่ของตน
ไอร้อนจากร่างกายบอบบางของนางส่งผ่านมาถึงเขา ทั่วกรอบหน้างามมีเม็ดเหงื่อเล็ก ๆ ผุดพรายตามกรอบหน้า จังหวะการหายใจของนางนั้นหอบถี่ คราวนี้เขาไม่ได้รู้สึกว่านางกำลังแสดงละครต่อหน้าเขา แต่นางกำลังป่วยอยู่จริง ๆ
ระหว่างทางกลับจวน หวงตงหยางได้แต่ครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้ มันช่างเป็นเรื่องที่แปลกจริง ๆ ที่ฮูหยินของเขายืนฟังสตรีอื่นพูดจาดูถูกและเย้ยหยันเช่นนั้น หากเป็นยามปกติ มีหรือที่คนอย่างจ้าวเยี่ยนฟางจะยืนฟังอยู่เฉย ๆ
ตอนนั้นเขาตั้งใจว่าจะเดินกลับเข้าไปในงาน แต่ดันได้ยินเสียงสตรีสามคนนั้นเสียก่อน ในตอนแรกเขาคิดว่า คงเป็นคุณหนูสกุลอื่นถูกรังแก แต่พอลองตั้งใจฟังดูดี ๆ แล้วก็พบว่านั่นเป็นคำพูดที่พูดกับฮูหยินของเขา
ด้วยเพราะความสงสัย ว่าจ้าวเยี่ยนฟางเปลี่ยนไปแล้วจริงหรือไม่ เขาจึงแอบดูเหตุการณ์อยู่ห่าง ๆ แต่น่าแปลกที่จ้าวเยี่ยนฟางมิได้ตอบโต้อะไรกลับไปเลยสักคำ พอเห็นว่านางนิ่งเงียบไปเช่นนี้ เขาก็รู้สึกใจอ่อนยวบอย่างบอกไม่ถูก
เขาอยากเห็นสีหน้าของนางตอนนั้นเหลือเกิน ว่านางทำหน้าอย่างไร..
รถม้าเคลื่อนตัวมาหยุดที่จวนแม่ทัพหวง จ้าวเยี่ยนฟางจึงถูกปลุกให้ตื่นจากนิทรา ดวงตาคู่งามลืมตาขึ้นมาอย่างช้า ๆ ก่อนจะรู้ตัวว่า ตนนั้นนั่งซบไหล่หวงตงหยางมาตลอดทาง ร่างบางสะดุ้งโหยงลุกพรวดพราดออกมาจากรถม้าในทันที
หวงตงหยางเห็นเช่นนั้นก็ส่ายหัวเบา ๆ ให้กับการกระทำของฮูหยิน นับวันนางยิ่งทำตัวประหลาด เมื่อร่างสูงก้าวลงมาจากรถม้าก็พบว่า จ้าวเยี่ยนฟางนั้นเดินห่างออกไปแล้ว เขาจึงสาวเท้าเดินตามนางไปอย่างไม่รู้ตัว
"ฮูหยิน ข้าขอคุยด้วยหน่อย" เสียงทุ้มต่ำดูทรงอำนาจเอ่ยขึ้นจากทางด้านหลัง จ้าวเยี่ยนฟางจึงชะงักฝีเท้า ก่อนจะหันกลับไปหาบุรุษร่างสูงที่ยืนอยู่ข้างหลัง หวงตงหยางเหลือบสายตาไปมองสาวใช้ของฮูหยิน ถิงถิงที่เห็นเช่นนั้นจึงค้อมศีรษะอย่างนอบน้อม ก่อนจะขอตัวเดินออกมาก่อน เพื่อให้ท่านแม่ทัพและฮูหยินได้อยู่กันตามลำพัง
"มีอะไรหรือเจ้าคะ" จ้าวเยี่ยนฟางเอ่ยถามกลับ เขามีเรื่องจะคุยกับนางอย่างนั้นหรือ เรื่องอะไรกัน หรือเขาจะมาต่อว่านางเรื่องอะไรอีก..
"เรื่องที่งานเลี้ยง มันเกิดอะไรขึ้น" เขาเอ่ยถามขึ้น ในขณะที่สายตาคมเพ่งมองนางอย่างคาดคั้น
"ไม่มีอะไรหรอกเจ้าค่ะ พวกนางเพียงแค่เข้ามาทักทายข้าเฉย ๆ" จ้าวเยี่ยนฟางตอบกลับอย่างไม่ใส่ใจ มันคงเป็นการทักทายกันอย่างปกติของสตรีที่นี่นั่นแหละ
"คำพูดเช่นนั้นเจ้าเรียกมันว่าคำทักทายอย่างนั้นหรือ ไม่สมกับเป็นเจ้าเลยนะฮูหยิน" น้ำเสียงของเขาแฝงความจริงจังและหมายหมั่นอย่างที่ไม่ยอมให้นางทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้
จ้าวเยี่ยนฟางมองลึกเข้าไปในดวงตาเย็นชาคู่นั้น ในแววตาของหวงตงหยาง มิได้มีความห่วงใยอยู่เลยสักนิดเดียว
"ท่านแม่ทัพ ท่านพูดราวกับว่า ข้าต้องเข้าไปตบตีพวกนาง ถึงจะสมกับเป็นข้าอย่างนั้นแหละ" จ้าวเยี่ยนฟางตอบกลับด้วยสีหน้าเยือกเย็นไม่สะทกสะท้าน ไม่สมกับเป็นนางอย่างนั้นหรือ อย่ามาพูดให้ขำหน่อยเลย
ข้ามิได้รักใคร่เจ้าเหมือนจ้าวเยี่ยนฟางคนเก่า ไยข้าจะต้องไปตบตีกับผู้อื่นให้เสียมือข้าด้วย
"เปล่า..ข้ามิได้หมายความเช่นนั้น ข้าเพียงแค่แปลกใจ ที่เจ้ามิยอมตอบโต้อะไรกลับไปเลย" บอกตามตรงว่าเขาไม่ชินที่จ้าวเยี่ยนฟางเป็นเช่นนี้ หากเป็นเมื่อก่อนเขาคงไม่สนใจและไม่รู้สึกอะไร คนอย่างนางจะไปโดนใครรังแกได้ มีแต่นางนั่นแหละที่จะรังแกผู้อื่น
เมื่อก่อนนางทั้งปากร้ายและเย่อหยิ่ง เป็นสตรีจองหองที่เขามิเคยเหลียวแล เพราะเหตุใดจู่ ๆ นางก็เปลี่ยนไปเช่นนี้ คนที่เคยร้ายกาจมาโดยตลอด บัดนี้มายืนฟังผู้อื่นพูดจาเย้ยหยันใส่ โดยที่ไม่แสดงอาการโกรธเคือง มันเป็นไปได้จริง ๆ หรือ..
ริมฝีปากบางกระตุกยิ้มเล็กน้อยเมื่อได้ยินเขาพูดเช่นนั้น หวงตงหยางจะอยากรู้ในสิ่งที่เขารู้ดีที่สุดไปทำไมกัน
"สิ่งที่สตรีพวกนั้นพูด ล้วนเป็นความจริง ท่านจะให้ข้าเอาอะไรไปตอบโต้พวกนางล่ะเจ้าคะ" จ้าวเยี่ยนฟางตอบกลับด้วยสีหน้าเรียบเฉย หวงตงหยางที่ได้ยินเช่นนั้นก็ถึงกับพูดอะไรไม่ออก
ความรักจืดจางอะไรกัน พวกเจ้ามิเคยสังเกตสีหน้าของท่านแม่ทัพตอนอยู่กับฮูหยินหรือ เหมือนคนจะอาเจียนอยู่ตลอดเวลาแน่ะ
นั่นเป็นคำพูดที่เขาไม่สามารถโต้แย้งอะไรได้เลย เพราะทั้งหมดมันเป็นเรื่องจริงอย่างที่นางว่า ตลอดเวลาที่ผ่านมาหวงตงหยางเองก็มิเคยทำหน้าที่สามีที่ดีให้กับนาง กระทั่งการแสดงละครของเขา ยังเต็มไปด้วยความฝืนทน จนใครต่อใครต่างก็ดูออก
"หากท่านหมดธุระแล้ว ข้าขอตัวก่อน" นางมิอยากอยู่ต่อความยาวสาวความยืดกับเขาอีก สู้เอาเวลาไปนอนยังจะดีเสียกว่า เพราะวันนี้นางเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว และก็ไม่มีแรงหลงเหลือไว้คุยเรื่องไร้สาระอีก
"อะ..อืม เจ้าไปพักเถิด"
เมื่อหวงตงหยางพูดจบ จ้าวเยี่ยนฟางก็เดินออกไปทันที โดยที่ทิ้งให้เขายืนแน่นิ่งอยู่เช่นนั้น เขาทำตัวไม่ถูกจริง ๆ เมื่อก่อนฮูหยินนั้นร้ายกาจ เขาจึงมิได้สนใจว่าสิ่งที่เขาทำมันจะทำให้นางรู้สึกอย่างไร แต่ตอนนี้ เขาควรทำตัวอย่างไรกับฮูหยินที่เป็นเช่นนี้..
หลายวันต่อมา
"เจียวมิ่ง" มือหนาวางพู่กันลงด้วยสีหน้าที่ไม่แสดงถึงอารมณ์ ก่อนจะหันไปหาองครักษ์คนสนิท ที่กำลังยืนเงียบ ๆ อยู่มุมห้อง
"ขอรับนายท่าน" เจียวมิ่งยกสองมือขึ้นมาประสานกันแล้วโค้งคำนับ รอฟังคำสั่งของผู้เป็นนาย เขาสังเกตเห็นมาสักพักแล้วว่าช่วงนี้ท่านแม่ทัพดูเหมือนมีเรื่องกังวลใจ เพราะท่านมักถอนหายใจพลางส่ายหน้าอยู่บ่อย ๆ
"ช่วงนี้.. ที่เรือนจงหยุน เป็นอย่างไรบ้าง" หวงตงหยางเอ่ยขึ้น ด้วยท่าทีราวกับว่าไม่ใส่ใจ องครักษ์หนุ่มได้ยินเช่นนั้นก็ถึงกับขมวดคิ้วด้วยความประหลาดใจ ท่านแม่ทัพสนใจเรื่องที่เรือนจงหยุนตั้งแต่เมื่อไหร่กัน..
"เรือนจงหยุนเรียบร้อยและสงบดี ไม่มีบ่าวไพร่คนไหนถูกทำร้ายร่างกายหรือถูกขายออกจากจวนขอรับ" เจียวมิ่งตอบกลับผู้เป็นนายไปตามตรง ทว่าท่านแม่ทัพกลับมีสีหน้าราวกับไม่พอใจในคำตอบของเขา แท้จริงแล้วท่านแม่ทัพต้องการจะถามเรื่องอะไรกันแน่..
"เจ้าออกไปได้แล้ว"เสียงทุ้มต่ำที่เต็มไปด้วยอำนาจพูดขึ้น
"ขอรับ" เจียวมิ่งโค้งคำนับผู้เป็นนาย ก่อนจะเดินออกมาด้วยสีหน้างุนงง
เรือนจงหยุนเป็นที่พำนักของฮูหยินนี่นา หรือว่าท่านแม่ทัพ..กำลังถามถึงฮูหยินอย่างนั้นหรือ..
เมื่อองครักษ์เดินออกไปแล้ว บุรุษที่นั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดก็ลุกขึ้นหยิบเสื้อคลุมมาสวม ก่อนจะเดินตามออกไปเช่นกัน อยู่แต่จวนเช่นนี้มีแต่จะทำให้เขาเบื่อหน่าย สู้ออกไปเดินเล่นข้างนอกคงจะดีเสียกว่า
ร่างกำยำควบอาชาสีนิลมุ่งหน้าไปทางตลาดเทียนหนิง ช่วงนี้เขามักจะคิดแต่เรื่องไร้สาระ อย่างเรื่องของจ้าวเยี่ยนฟางที่ทำตัวแปลกไปเสียจนเขาคิดว่านางเป็นคนอื่น แต่มันจะเป็นอย่างนั้นไปได้อย่างไร
จากที่เคยมารอต้อนรับเขาตอนกลับจวนทุกวันก็ไม่โผล่มาให้เห็นหน้า ทั้งที่เคยยกน้ำชาและขนมมาให้ในตอนบ่ายนางก็ไม่ทำ ทั้งที่เมื่อก่อนมักจะโผล่หน้ามาให้เห็นเสียจนรู้สึกรำคาญ คอยตามหึงหวงเขากับสตรีทุกคน นางกลับพูดให้เขารับอนุเข้าจวนอย่างง่ายดาย
ถึงจะเป็นฮูหยินเพียงในนามก็เถอะ แต่อย่างไรเขาก็ยังมีศักดิ์เป็นสามีของนาง
ใจคอนางคิดจะอยู่ใช้เงินข้าไปวัน ๆ โดยไม่มีน้ำใจทำอะไรเพื่อข้าเลยหรือ
เรือนจงหยุน
วันนี้จ้าวเยี่ยนฟางตั้งใจว่าจะออกไปเที่ยวเล่นข้างนอก เพราะตอนนี้นางไม่ถูกกักบริเวณอีกแล้ว ดวงหน้างามหันซ้ายหันขวาอยู่หน้าคันฉ่องทองเหลืองอย่างอารมณ์ดี ใบหน้านี้ไม่ว่าจะมองอีกสักกี่ครั้งก็งดงามเช่นเคย
"ถิงถิง วันนี้ข้าเป็นอย่างไรบ้าง" ร่างบางลุกขึ้นยืนพร้อมหมุนตัวให้สาวใช้คนสนิทช่วยติชม หมู่นี้รอยยิ้มอ่อนโยนปรากฏบนใบหน้างดงามนั้นอยู่บ่อยครั้ง ทั้งที่เมื่อก่อนหากมิใช่เรื่องที่เกี่ยวกับแม่ทัพหวงตงหยาง มีหรือที่คนทั่วไปจะได้ยลรอยยิ้มเช่นนั้นของจ้าวเยี่ยนฟาง
"คุณหนูของบ่าว งดงามที่สุดแล้วเจ้าค่ะ" ถิงถิงกล่าวชื่นชมจากใจจริง มิได้มีการประจบสอพลอเลยแม้แต่น้อย อย่างที่คนทั่วไปเขาร่ำลือกัน หากตัดนิสัยใจคอของคุณหนูจ้าวออกไปแล้ว นางนั้นนับว่าเป็นสตรีที่งดงามและเพียบพร้อมไม่น้อยหน้าใครในใต้หล้า
"คุณหนู ช่วงนี้บ่าวสังเกตเห็น ท่านมิชอบรวบผมอย่างสตรีที่ออกเรือนแล้ว..คุณหนูโกรธท่านแม่ทัพหรือเจ้าคะ" ถิงถิงสังเกตมาสักพักแล้วว่า คุณหนูของนางนั้นเปลี่ยนไปตั้งแต่เหตุการณ์จมน้ำครั้งนั้น.. การที่คุณหนูมิยอมเกล้าผมขึ้นเช่นนี้ ก็เหมือนกับการทำตัวเหมือนตอนที่ยังไม่ออกเรือน
หรือคุณหนูจะโกรธท่านแม่ทัพเข้าแล้วจริง ๆ ..
"ข้ารู้สึกชอบตอนปล่อยผมมากกว่า อีกอย่างข้าก็เป็นเพียงแค่ฮูหยินในนามของเขา ไม่ว่าข้าจะทำทรงผมเช่นไร ล้วนไม่เกี่ยวอะไรกับเขา" นางตอบกลับอย่างชัดถ้อยชัดคำ แต่หากถามว่าโกรธหวงตงหยางหรือไม่นั้น นางก็ต้องยอมรับเลยว่าโกรธ
แต่โกรธไปแล้วจะทำอย่างไรได้ สุดท้ายนางก็ต้องอยู่ที่จวนแห่งนี้อยู่ดี ถึงจะโกรธอย่างไร นางก็ไม่ได้เกลียดชังหวงตงหยางถึงขนาดที่ว่าอยู่ร่วมชายคาเดียวกันไม่ได้
หากหย่าร้าง ก็ขัดต่อพระราชโองการ มีโทษถึงประหารชีวิต หากรั้นอยู่ต่อที่นี่นางก็อาจจะตายด้วยน้ำมือของหวงตงหยาง
การหนีไปจากที่นี่เป็นตัวเลือกที่ดี แต่จะให้นางหนีไปไหนล่ะ ใต้หล้านี้มีแต่ที่ที่นางไม่คุ้นชิน ลำพังแค่ความทรงจำของจ้าวเยี่ยนฟางคนเก่าจะไปช่วยอะไรได้ เพราะเท่าที่จำได้นางก็มีศัตรูมากกว่ามิตร
นางไม่อยากหาเหาใส่หัว สู้อยู่ที่นี่อย่างเจียมตัวและใช้เงินทองของเขาอยู่เงียบ ๆ หวงตงหยางอาจจะไม่ฆ่านางเหมือนต้นฉบับก็ได้
"ไปกันเถอะถิงถิง ไปถนนเทียนหนิงกัน!" จ้าวเยี่ยนฟางกลับมายิ้มอย่างร่าเริง เพียงได้รู้ว่าจะได้ออกไปเที่ยวข้างนอกนางก็ดีใจเสียจนเนื้อเต้น หากเป็นไปได้ นางก็อยากไปเช่าโรงเตี๊ยมอยู่เสียให้รู้แล้วรู้รอด แต่มีหวังหากหวงตงหยางรู้เข้า นางคงถูกกักบริเวณอีกเป็นแน่
