บท
ตั้งค่า

บทที่5 กลับบ้านกับข้าไหม

"ท่านจงสัญญากับข้าว่า ท่านจะไม่มีวันคิดทำร้ายหรือสังหารข้า นี่คือเรื่องเดียวที่ข้าอยากขอร้องท่าน"

นางพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงสั่นเครือและแววตาแฝงไปด้วยความสั่นไหว บอกตามตรงว่านางหวาดกลัวโลกใบใหม่แห่งนี้เหลือเกิน เพราะมันเป็นสถานที่ ที่ชะตาชีวิตของนางถูกกำหนดไว้แล้ว ด้วยปลายปากกาของคนเพียงหนึ่ง

มันเป็นโลกของนิยายที่นักเขียนได้สร้างขึ้นมาให้ จ้าวเยี่ยนฟาง ถูกสามีที่นางรักยิ่งกว่าสิ่งใด ลงมือสังหารนางได้อย่างเลือดเย็น..

หวงตงหยางมองหน้าภรรยาที่เขานั้นแสนจะเกลียดชังด้วยความรู้สึกบางอย่าง ภายในใจของเขารู้สึกสับสนอย่างที่มิเคยเป็นมาก่อน การที่ภรรยามาขอร้องเขาว่าอย่าสังหารนาง สำหรับสามีแล้ว เขาควรรู้สึกอย่างไรดี

นี่เขาชั่วช้าในสายตานางถึงเพียงนั้นเชียวหรือ..

"ได้สิข้าสัญญา"หวงตงหยางตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบ แววตาของเขาวูบไหวเพียงครู่หนึ่งก่อนจะกลับมานิ่งเฉยดังเดิม

หรือว่าเป็นเพราะเหตุการณ์ในวันนั้น.. นางถึงได้แปลกไปจากเดิม

หลังจากวันนั้น แม่ทัพหวงตงหยางก็สั่งยกเลิกการกักบริเวณฮูหยิน เขาแทบไม่อยากเชื่อเลยว่าจ้าวเยี่ยนฟางจะรักษาสัญญาที่เคยพูดไว้เป็นอย่างดี นอกจากการมาขอให้เขาช่วยตรวจสอบบัญชีการใช้จ่ายภายในจวน เขาก็ไม่เคยเห็นหน้านางในเวลาอื่นอีกเลย

แม้แต่ตอนที่เขากลับมาจากงานหลังออกจากจวนไปเกือบอาทิตย์ นางก็ไม่โผล่หน้ามาต้อนรับหรือทักทาย เรียกได้ว่า จ้าวเยี่ยนฟางและหวงตงหยาง กลายเป็นเพียงคนที่อาศัยร่วมชายคาเดียวกันเท่านั้น มิได้มีความสัมพันธ์ใด ต่อกันเลยแม้แต่น้อย

หนึ่งเดือนก่อน

หวงตวงหยางเดินกระฟัดกระเฟียดกลับไปยังที่พำนักของตน ก่อนจะนั่งลงบนตั่งไม้สักอย่างไม่สบอารมณ์ เขานั้นรู้ดีว่าฮูหยินมิใช่คนที่นิสัยดีอะไรนัก แต่เขาก็คิดไม่ถึงว่านางจะโหดร้ายถึงเพียงนี้

หลังจากที่สั่งโบยฮูหยินไปด้วยอารมณ์ของคนที่ขาดสติ เขาก็ได้แต่นั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่ที่เรือนของตน โดยที่สั่งให้เจียวมิ่งองครักษ์คนสนิท เป็นคนไปส่งเหรินหลานเฟิงที่จวนสกุลเหริน

ร่างกายสูงใหญ่กำยำดูองอาจลุกขึ้นและเดินไปมาอยู่ภายในห้อง ด้วยความคิดที่สับสนวุ่นวาย

ป่านนี้นางจะโดนเฆี่ยนไปแล้วหรือยัง คงไม่หรอกกระมัง.. ใครจะไปกล้าเฆี่ยนตีหลานรักขององค์ฮองเฮากันเล่า เดี๋ยวนางก็คงใช้อำนาจของครอบครัวนาง มาขู่เข็ญคนของข้าเป็นแน่ คนเช่นนางใครจะกล้าลงโทษ

ในขณะที่หวงตงหยางกำลังจมอยู่ในห้วงความคิดของตน เจียวมิ่งก็เดินเข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้าของผู้เป็นนาย หวงตงหยางที่เห็นเช่นนั้นจึงได้หยุดนิ่งอยู่กลางห้อง ก่อนจะยกแขนทั้งสองข้างขึ้นมากอดอก และกระแอมขึ้นมาเบา ๆ

"แม้แต่เจ้าก็ไม่เคาะห้องข้าก่อนเข้ามาแล้วรึ" เสียงทรงอำนาจพูดขึ้นด้วยท่าทีเรียบเฉยดั่งที่เคยเป็น

"ท่านแม่ทัพ ข้าน้อยยืนเคาะประตูอยู่นานแล้วขอรับ พอเห็นว่าท่านมิได้ตอบ จึงถือวิสาสะเข้ามาเพราะคิดว่าท่านอาจมีปัญหาอันใดอยู่ ข้าน้อยไร้มารยาท ท่านแม่ทัพโปรดลงโทษด้วย" เจียวมิ่งค้อมศีรษะลงอย่างนอบน้อม มือทั้งสองข้างประสานกันด้วยความเคารพ

หวงตงหยางที่เห็นเช่นนั้นก็มิได้ต่อว่าอันใดต่อ เพราะเมื่อครู่เขากำลังใช้ความคิดอย่างหนัก จึงไม่ทันได้สังเกตว่าเจียวมิ่งมายืนอยู่หน้าประตูตั้งนานแล้ว

"เจ้าไปส่งแม่นางเหรินแล้วใช่หรือไม่" เสียงทุ้มต่ำเอ่ยถามขึ้นอีกครั้ง

"เรียนนายท่าน ข้าน้อยไปส่งแม่นางเหรินถึงที่เรือนอย่าปลอดภัยแล้วขอรับ"

"แล้ว..ฮูหยินล่ะ นางเป็นอย่างไรบ้าง ข้าเดาว่านางมิได้ถูกเฆี่ยนหรอกใช่หรือไม่ ปกติเวลาข้าจะสั่งลงโทษอะไรนาง นางก็มักจะเอาตำแหน่งหลานของฮองเฮามาขู่ตลอด จนมิมีผู้ใดกล้าลงโทษนาง ครั้งนี้ก็คงเหมือนเดิมอีกแล้วใช่หรือไม่" หวงตงหยางถามขึ้นด้วยน้ำเสียงสบายใจ แต่ทว่าสีหน้ากลับแฝงไปด้วยความกังวล หากนางถูกโบยห้าสิบไม้จริง ๆ มีหวังนางคงได้ตายแน่ ๆ ตัวนางเล็กและบอบบางเช่นนั้น ทนได้อย่างมากก็สองไม้นั่นแหละ

เมื่อเจียวมิ่งได้ยินเช่นนั้นก็ได้แต่อึกอักทำตัวไม่ถูก เขาไม่คิดว่าท่านแม่ทัพจะถามถึงฮูหยินหลังสั่งลงโทษไปเมื่อหนึ่งชั่วยามก่อน อีกอย่างตอนนี้ฮูหยินก็ถูกลงโทษเสร็จไปแล้ว แต่นายท่านกลับคิดว่าฮูหยินมิได้ถูกผู้ใดลงโทษ

นายท่านข้าน้อยไม่เข้าใจความคิดของท่านจริง ๆ เลยขอรับ สรุปแล้วท่านอยากลงโทษฮูหยินจริง ๆ หรือไม่..

"ว่าอย่างไรล่ะเจียวมิ่ง สรุปนางเป็นอย่างไรบ้างตอนนี้ ถ้าให้ข้าเดาตอนนี้นางคงกำลังนอนกินขนมกุ้ยฮวาอย่างสบายใจอยู่บนเตียงใช่หรือไม่" หวงตงหยางถามขึ้นอีกครั้ง ทว่าคราวนี้สีหน้าและน้ำเสียงมีความกังวลแปดถึงเก้าส่วน

"เรียนนายท่าน ฮูหยิน..ถูกโบยครบทั้งห้าสิบไม้ขอรับ ตอนนี้ฮูหยินท่านสลบไปแล้ว ดูเหมือนว่าท่านจะมีไข้ขึ้นสูงด้วย ตอนนี้สาวใช้ของนางกำลังดูแลอยู่ขอรับ"

หวงตงหยางนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง เขาแทบไม่เชื่อในสิ่งที่ตนนั้นได้ยิน จ้าวเยี่ยนฟางนางยอมให้ลงโทษจริง ๆ หรือ ขนาดเมื่อก่อนเขาสั่งกักบริเวณนางสองสามวันนางยังไม่สนใจคำพูดของเขาเลยแม้แต่น้อย เขารู้เช่นนั้นแต่ก็ยอมปล่อยผ่านไปทุกรอบ แต่ไม่คิดว่าคราวนี้นางจะยอมถูกโบยจริง ๆ ..

"ไปตามหมอมา เดี๋ยวนี้เลย!!" 

ปัจจุบัน

"เจียวมิ่ง เจ้าไปที่เรือนจงหยุน ไปดูซิว่าฮูหยินเตรียมตัวเสร็จหรือยัง หากนางพร้อมแล้วให้พาไปที่รถม้าได้เลย ข้าจะรออยู่ที่นั่น"เสียงทุ้มต่ำพูดขึ้นด้วยสีหน้าราบเรียบ ตัวเขาเองก็นึกสงสัยไม่น้อยเกี่ยวกับการเปลี่ยนไปของฮูหยิน

ช่วงนี้บ่าวไพร่ในเรือนก็อยู่กันอย่างสงบ เพราะมีนายหญิงคอยดูแลความเรียบร้อยเป็นอย่างดี แม้ตอนแรกพวกเขาจะสงสัยในการกระทำของฮูหยิน แต่พอเห็นถึงความตั้งใจจริงว่าท่านจะเปลี่ยนแปลงตนเอง เหล่าสาวใช้จึงพากันหันกลับมาเป็นกำลังใจให้กับจ้าวเยี่ยนฟาง

"ขอรับ"

องครักษ์หนุ่มมุ่งหน้าไปยังเรือนจงหยุนตามคำสั่งของแม่ทัพหวง และเมื่อเดินไปถึงบริเวณเรือนของฮูหยิน ก็เห็นว่าฮูหยินกำลังเดินออกมาพอดี

"ฮูหยิน ท่านแม่ทัพรอท่านอยู่ที่รถม้าขอรับ"

ดวงหน้างามพยักหน้าเล็กน้อย ก่อนจะเดินตามองครักษ์ไปยังรถม้า วันนี้เป็นวันที่นางต้องเข้าวัง เพื่อไปงานเลี้ยงวันพระราชสมภพของฮองเฮา และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่นางจะได้เข้าวัง

อาภรณ์สีฟ้าอ่อนปลิวไสวไปตามแรงลม เครื่องประดับเงินและไข่มุกห้อยระย้าพากันสั่นไหวในทุกย่างก้าวที่นางเดิน

จ้าวเยี่ยนฟางมุ่งหน้าตรงเข้าไปยังรถม้า ก่อนจะเห็นว่า หวงตงหยางกำลังนั่งรอนางอยู่ภายในรถม้า นางจำต้องนั่งกับเขาโดยที่รู้ว่า หวงตงหยางเองก็มิได้เต็มใจจะนั่งกับนางเช่นกัน

รถม้าค่อย ๆ เคลื่อนที่ออกจากจวนแม่ทัพ ไปยังพระราชวังอย่างช้า ๆ โดยระหว่างทาง คู่สามีภรรยาก็มิได้เอ่ยปากพูดคุยอะไรกัน จนกระทั่งใกล้ถึงพระราชวัง หวงตงหยางจึงเป็นฝ่ายเอ่ยปากพูดขึ้นก่อน

"วันนี้เราก็ต้องเล่นละครให้ทุกคนเห็นว่าพวกเรารักใคร่กลมเกลียวกันดีใช่หรือไม่"

"มันจำเป็นด้วยหรือเจ้าคะ" จ้าวเยี่ยนฟางถามกลับอย่างไม่เข้าใจ เหตุใดนางต้องแสดงละครเช่นนั้นด้วย

"เจ้าลืมแล้วหรือ ก็เจ้าเคยเป็นคนขอร้องข้าเองนี่" ดวงตาดำขลับจ้องมองสตรีตรงหน้าด้วยความประหลาดใจ ตลอดเวลาสามปีที่แต่งงานกันมา จ้าวเยี่ยนฟางก็จะคอยขอร้องเขาในเรื่องนี้อยู่เสมอ เหตุใดจู่ ๆ นางทำเหมือนกับว่าลืมไปแล้วเสียอย่างนั้น

จ้าวเยี่ยนฟางกะพริบตาปริบ ๆ เมื่อได้ยินเขาตอบกลับเช่นนั้น นางก็จำได้ทันที ในความทรงจำที่นางรู้สึกได้ในจิตใต้สำนึกนั้น จ้าวเยี่ยนฟางมักจะขอร้องให้หวงตงหยางช่วยแสดงละครจริง ๆ

ตงหยางถือว่าข้าขอร้อง ไม่ว่าเจ้าจะโกรธเกลียดข้าอย่างไร ได้โปรดอย่าให้ข้าต้องอับอายต่อหน้าผู้คนเลย ช่วยแกล้งรักข้าหน่อยได้หรือไม่ แค่ตอนอยู่ต่อหน้าคนอื่นก็ยังดี..

"อ่อ.. ข้าเคยพูดไว้จริงด้วย แต่ไม่เป็นไร จากนี้ไป ข้าจะไม่บังคับท่าน หากท่านไม่อยากทำ ก็ไม่ต้องทำ ใครจะคิดเช่นไรก็ปล่อยให้เขาคิดไป ข้ามิใส่ใจหรอก"

หวงตงหยางได้แต่ขมวดคิ้วมุ่นด้วยความประหลาดใจ เขารู้ดีว่าตอนนี้นางเปลี่ยนไปแล้ว เพียงแต่ว่าเขาไม่คิดว่านางจะเปลี่ยนไปได้ถึงเพียงนี้ นางเหมือนไม่ใช่ฮูหยินคนเดิมที่เขารู้จักเลยสักนิด

"เจ้าน่ะหรือมิใส่ใจ" สายตาคมยังคงจับจ้องมาที่นางอย่างไม่ลดละ เขาแทบไม่อยากเชื่อในสิ่งที่หูของตนได้ยิน จ้าวเยี่ยนฟางผู้นั้นนะหรือ จะพูดกับเขาว่า หากไม่อยากทำก็ไม่ต้องทำ

"ใช่ ข้ามิใส่ใจ"

"เช่นนั้นก็ตามใจเจ้า"

ผ่านไปราวหนึ่งเค่อ รถม้าก็เคลื่อนตัวมาจอดภายในพระราชวัง หวงตงหยางก้าวเท้าลงมาก่อน ก่อนที่จะยื่นมือไปให้จ้าวเยี่ยนฟางที่กำลังจะลงจากรถม้าจับ ตอนนี้มีสายตาหลายคู่จับจ้องมาที่นางและหวงตงหยางอย่างใคร่รู้ ไม่ว่านางจะชอบหรือไม่ชอบ นางก็มิควรปฏิเสธน้ำใจของเขาที่นี่

ดวงตาคู่งามช้อนมองหน้าใบหน้าคมเข้มหวงตงหยางอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะจับมือเขาไว้ และก้าวลงจากรถม้าอย่างสง่างาม

"ขอบใจนะ" เสียงหวานเอื้อนเอ่ย พร้อมกับรอยยิ้มน้อย ๆ ของนาง หวงตงหยางแทบไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ตนได้เห็น เมื่อยามที่ได้ยลดวงหน้านวลในระยะประชิดเช่นนี้ ลมหายใจพลันสะดุดเต้นตุบไม่เป็นจังหวะ ดวงตาเขาเบิกกว้างเล็กน้อยกับความรู้สึกแปลกประหลาดที่เกิดขึ้นกับใจของตน

ปกติแล้ว นางงดงามเช่นนี้หรือ..

เขาสะบัดหัวเบา ๆ เพื่อไล่ความคิดเช่นนั้นออกไป อย่าได้ไปหลงเปลือกนอกของสตรีที่ชื่อว่าจ้าวเยี่ยนฟางเชียว นางเป็นสตรีร้ายกาจเพียงใดเขาย่อมรู้ดีแก่ใจ

"รีบเข้าไปข้างในกันได้แล้ว ฮองเฮาคงจะรอเจ้าอยู่" หวงตงหยางแสร้งเอ่ยขึ้นเสียงเรียบ เพื่อกลบเกลื่อนบางสิ่งที่เริ่มก่อตัวขึ้นในจิตใจตนแม้เพียงเสี้ยววิก็ตาม ก่อนจะเดินนำหน้าไปโดยที่ไม่หันกลับมามองสตรีข้างหลังอีก ในเมื่อวันนี้นางบอกว่าหากไม่อยากแสดงละครก็ไม่ต้องทำ เช่นนั้นเขาก็จะไม่ฝืนใจตนเองแสดงละครอย่างเช่นทุกครั้ง

จ้าวเยี่ยนฟางมิได้ตอบสิ่งใดกลับไป นางทำเพียงเดินตามหลังเขาไปอย่างเงียบ ๆ

ด้านในโถงจัดงานนั้นเต็มไปด้วยเหล่าขุนนางมากมายที่มาร่วมฉลองในวันคล้ายวันพระราชสมภพขององค์ฮองเฮา ภายในงานมีอาหารมากมายหลากหลายอย่างรวมถึงสุราชั้นดีจัดไว้สำหรับต้อนรับแขกเหรื่อที่มาร่วมงาน

เหนือพระที่นั่งมีองค์ฮ่องเต้และฮองเฮาประทับอยู่ พระพักตร์ของทั้งสองพระองค์รื่นเริงผ่องใส พระโอษฐ์แย้มสรวลมากขึ้นเล็กน้อย เมื่อเห็นว่า แม่ทัพหวงตงหยางพร้อมด้วยฮูหยิน เดินเข้ามาถวายบังคมพร้อมกล่าวถวายพระพรให้พระองค์ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นๆ ปี

"ไม่ต้องมากพิธี เงยหน้าขึ้นมาเถิด"

"ขอบพระทัยฝ่าบาท" หวงตงหยางและจ้าวเยี่ยนฟางกล่าวพร้อมกัน

"ฟางเอ๋อร์..เจ้ามานี่สิ" ฮองเฮาเอ่ยเรียกหลานสาวผู้น่ารักของตน เพราะนาน ๆ ทีจะได้เจอหน้าหลานสาวอันเป็นที่รัก จ้าวเยี่ยนฟางจึงเดินเข้าไปนั่งด้านข้างผู้เป็นป้าอย่างนอบน้อม

หวงตงหยางเห็นเช่นนั้น จึงขอตัวออกมาก่อน เพราะไม่อยากโดนฮองเฮาถามว่า เมื่อไหร่เขาและจ้าวเยี่ยนฟางจะมีลูกด้วยกัน หวงตงหยางรู้สึกกระอักกระอ่วนใจทุกครั้งในยามที่องค์ฮองเฮาเอ่ยถามเช่นนี้

แค่จะมองหน้านางเขายังไม่อยากทำ จะให้มีลูกด้วยกันได้อย่างไร เขาทำไม่ได้หรอก

จ้าวเยี่ยนฟางอยู่คุยกับองค์ฮองเฮาพักใหญ่ ก่อนท่านจะยอมปล่อยตัวนางออกมาร่วมงานเลี้ยงต่อ นางเดินไปนั่งข้าง ๆ หวงตงหยางด้วยท่าทีเรียบร้อย จากนั้นทั้งคู่ก็มิได้พูดคุยอะไรกันอีก

ภายในโถงงานเลี้ยงนั้น มีทั้งการแสดงโชว์ศิลปะต่าง ๆ รวมถึงสิ่งที่ขาดมิได้ อย่างการแสดงดนตรีและการร่ายรำ

จ้าวเยี่ยนฟางนั่งชมการแสดงเหล่านั้นด้วยสีหน้าเรียบเฉยแม้นจะตื่นตาตื่นใจกับสิ่งที่เห็นนั้นอยู่ไม่น้อยก็ตาม อันที่จริงแล้วนางอยากอยู่ที่เรือนจงหยุนของตนเองเสียมากกว่า เพียงแต่ว่านางถูกสามีใจดำผู้นี้ลากตัวมาร่วมงานด้วย แม้ว่านางจะบอกเขาว่ารู้สึกไม่ค่อยสบายอยู่ก็ตาม

ดวงตาคู่งามหันกลับไปมองค้อนใส่คนที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นสามีนางด้วยความขุ่นเคือง แต่ทว่าเขากลับกำลังอมยิ้มอย่างมีความสุขอย่างมิรู้ร้อนรู้หนาว นางขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะหันตามไปยังที่ที่สายตาของหวงตงหยางจับจ้องอยู่

ซึ่งนั่นก็คือภาพของสตรีที่สวมอาภรณ์สีชมพูผู้หนึ่ง ที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับเขา และหากสังเกตดูดี ๆ จึงเห็นว่า สตรีผู้นั้นก็คือ เหรินหลานเฟิง นางหันกลับมามองหน้าหวงตงหยาง สลับกับเหรินหลานเฟิง ทั้งคู่ยิ้มให้กันอย่างอ่อนโยน

มิน่าล่ะ เขาถึงได้ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เสียจนแก้มแทบปริ ทีกับข้าล่ะทำอย่างจะกินเลือดกินเนื้อกัน สองมาตรฐาน!

เมื่อจ้าวเยี่ยนฟางหันกลับไปมองหาสตรีที่ชื่อว่าเหรินหลานเฟิงอีกครั้ง ก็เห็นเพียงแค่ชายวัยกลางคนคนหนึ่งนั่งอยู่เพียงคนเดียว ซึ่งนางคาดว่าเขาน่าจะเป็นพ่อของเหรินหลานเฟิง

นางหายไปไหนแล้วนะ เมื่อครู่ข้ายังเห็นนั่งส่งสายตาหวานให้หวงตงหยางอยู่เลย..

"ฮูหยิน เจ้ารออยู่ที่นี่ก่อนนะ ข้าขอออกไปสูดอากาศข้างนอกสักหน่อย เดี๋ยวจะรีบกลับมา" หวงตงหยางพูดขึ้น ก่อนจะลุกออกไปในทันที เหลือเพียงจ้าวเยี่ยนฟางที่นั่งอยู่เพียงลำพัง ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเขากำลังจะไปไหน

เขาทำเหมือนกับข้าเป็นคนโง่ และทั้ง ๆ ที่มันไม่ใช่เรื่องที่ข้าต้องสนใจอยู่แล้ว

แต่เพราะเหตุใด ข้าถึงได้รู้สึกอยากร้องไห้กันนะ..

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel