ตอนที่ 2 จางเวยลี่
ฟ้าใสค่อยๆลืมตาตื่นขึ้น กลิ่นยาสมุนไพรลอยคละคลุ้งอยู่ในอากาศแต่เธอค่อนข้างชอบ เพราะรู้สึกเหมือนเมื่อตอนที่เธอยังเด็กๆ คุณแม่ก็ชอบซื้อยาสมุนไพรจีนมาต้มให้เธอดื่มเช่นกัน
เธอเสียคุณพ่อไปตั้งแต่ยังจำความไม่ได้ คุณแม่เป็นคนเลี้ยงเธอมาเพียงลำพังจนเธออายุได้ 18 ปี โรคร้ายก็มาพรากท่านให้จากไปอย่างไม่มีวันหวนคืน
“เวยลี่ เจ้าเป็นกระไรบ้างตอบตาสักหน่อยเถิด” เสียงของผู้สูงวัยดังอยู่ข้างๆเตียงที่เธอนอน
ในห้องนี้มืดมากเธอมองเห็นหน้าเขาไม่ชัดจึงได้แต่มองตามเสียงไป คุณตาเหรอ? เธอไม่เคยเห็นคุณตาด้วยซ้ำนอกจากในรูปถ่ายของคุณแม่
พอนอนคิดทบทวนไปพักหนึ่งนี่อย่าบอกนะว่าเธอหลุดเข้ามาในนิยายจริงๆ แถมยังเป็นนางร้ายตัวเอ้ในนิยายอีกต่างหาก
“ปวดหัวจัง” ฟ้าใสพยายามลุกขึ้นแต่ความรู้สึกปวดร้าวแล่นปราบเข้ามายังแผลที่ศีรษะ
“เจ้าฟื้นขึ้นมาก็ดีแล้ว ตาจะไปต้มยามาให้ เจ้ารออึดใจเดียว” ชายสูงวัยผู้นั้นพูดด้วยความยินดีแล้วรีบลุกขึ้นไปต้มยาให้ฟ้าใส
เธอมองตามไปเขาดูเหมือนอายุแค่ 50 กว่าปีเท่านั้น ลักษณะท่าทางปราดเปรียวและแข็งแรงมาก
โชคดีที่เธอรอบคอบเอาหนังสือนิยายเล่มนั้นติดเข้ามาด้วย ไม่รู้ว่าในหนังสือนิยายจะมีวิธีกลับออกไปยังโลกที่จากมาหรือเปล่า แล้วนี่วิญญาณของจางเวยลี่ตัวจริงไปไหน?
สรุปว่ามี 2 ทฤษฎีที่เธอสงสัยคือเธออาจจะสลับวิญญาณกับจางเวยลี่ ตอนนี้จางเวยลี่อาจจะฟื้นขึ้นมาอยู่ในร่างกายเธอแทน หรือไม่จางเวยลี่ก็ตายไปแล้วจริงๆส่วนเธอก็…อาจจะตายเหมือนกันหรือไม่ก็บาดเจ็บสาหัสแล้ววิญญาณก็มาเข้าร่างจางเวยลี่แทน
ไม่ว่าจะเป็นทฤษฎีไหนก็ปวดหัวไม่แพ้กัน เพราะมาเข้าร่างใครไม่เข้า ดันมาเข้าร่างนางร้ายในนิยายที่มีตอนจบแสนอนาจอีกต่างหาก ตอนนี้เธอต้องรักษาตัวเองให้หายดีก่อนแล้วค่อยเตรียมรับมือกับเรื่องต่างๆที่จะเกิดขึ้น
แต่ยังไม่ทันที่เธอจะล้มตัวลงนอนก็ได้ยินเสียงเอะอะมาจากด้านนอก
“ข้าต้องการหย่ากับสตรีร้ายกาจเช่นนาง ได้โปรดเถิดท่านผู้เฒ่า” เสียงชายหนุ่มอ้อนวอน
“เจ้าอย่ามาขวางทางข้า เวยลี่ของข้าเพิ่งฟื้นขึ้นมาเจ้าไม่ดูแลนางให้ดี หนำซ้ำยังปล่อยให้นางนอนจมกองเลือดอีก ถ้าหากข้ามาเห็นไม่ทันจะเกิดอะไรขึ้น” ชายชราแผดเสียงขึ้นด้วยโทสะ
หากหลานสาวคนเดียวของเขาต้องมาจบชีวิตลงแบบนี้ เขาจะไม่ปล่อยให้คนในตระกูลหลี่มีชีวิตรอดไปแม้แต่คนเดียว จางหลีไห่ขอให้สัตย์สาบานต่อบรรพชนตระกูลจางทุกคน
“ใจเย็นๆค่อยพูดค่อยจากันเถิด อี้หานเรื่องหย่าเจ้าต้องพูดกับเวยลี่เอง อีกอย่างหนึ่งเป็นช่วงเวลาแห่งความเป็นความตายของนางเจ้าอย่าทำตัวเป็นเด็กไม่รู้ความเลย” ซูฮวาเอ่ยเพื่อเตือนสติของบุตรชายคนโต
ใบหน้าขาวของนางเคยเป็นหญิงงามอันดับต้นๆของเมืองหลวงแต่ตอนนี้ซูบผอมเหลือแต่กระดูก
สามีของซูฮวาเองตั้งแต่ย้ายออกมาตั้งรกรากที่เมืองโย่งอันแห่งนี้ เขาก็กลายเป็นคนติดเหล้าไม่เอาการเอางาน ไม่แบ่งเบาภาระทางบ้าน ปล่อยให้ซูฮวาและหลี่อี้หานสองคนแม่ลูกเป็นคนทำหน้าที่หาเงินเพียงลำพัง
ที่นี่เราเป็นจางเวยลี่ แผลที่ศีรษะนี่เกิดจากการที่นางถูกพวกโจรฟาดเข้าที่ศีรษะอย่างจัง คงเป็นช่วงจังหวะเวลา
เดียวกับที่เธอลื่นล้มในห้องน้ำ
บ้านที่ยากจนข้นแค้นขนาดนี้มีอะไรให้น่าขโมยกัน เรื่องนี้อาจจะมีเงื่อนงำบางอย่างเอาไว้ให้หายดีก่อนค่อยตามสืบความจริงดูก็แล้วกัน
ถ้าหากบอกออกไปว่าถูกโจรทำร้ายจะทำให้พวกมันไหวตัวทันหรือเปล่า หรือว่าเธอต้องเก็บเรื่องนี้ไว้กับตัวเองก่อน จางเวยลี่ค่อยๆยันกายขึ้นมา แอบเปิดมิติที่ฝ่ามือเช็คดูว่าของต่างๆที่เตรียมมายังอยู่ดีไหม
“ฟู่” ถือว่าโชคยังดีที่เธอเก็บของทุกอย่างกลับเข้ามาในมิติได้ครบ อย่างน้อยก็ไม่อดตายแล้ว
ในระหว่างที่รอจางหลีไห่ไปต้มยาเธอก็เดินไปเปิดหน้าต่างเพื่อรับแสงสว่าง แล้วนั่งอยู่หน้ากระจกเพื่อสำรวจสภาพแผล ถือว่ายังไม่ลึกเท่าไรไม่จำเป็นต้องเย็บ
จากนั้นก็นำชุดปฐมพยาบาลออกมาทำการล้างแผล ใส่ยาแล้วปิดแผลป้องกันการติดเชื้อ สมัยโบราณไม่ได้มีการรักษาที่มีประสิทธิภาพ คงจะไม่ใช่เรื่องสนุกเท่าไรถ้าหากต้องมาติดเชื้อในโลกแห่งนี้
ทำแผลเสร็จแล้วก็นั่งทำใจยอมรับเรื่องราวที่เกิดขึ้นเบื้องหน้านี้ เธอไม่สามารถทำอะไรได้ไม่รู้ว่าตัวเธอนั้นยังมีชีวิตอยู่หรือเปล่า
ในเมื่อหลีกหนีชีวิตจริงที่อยู่ตรงหน้าไม่ได้แต่เธอก็มีความรู้สึกหิว มีความเจ็บปวดและหนาวเหมือนคนปกติทั่วไป
ต่อให้เป็นนิยายแต่ถ้าเสียเลือดจนหมดตัว หรืออดอาหารเป็นเวลาหลายวันเธอก็สามารถตายได้ สู้อยู่แล้วใช้ชีวิตให้ดีและมีชีวิตรอดไปจากที่นี่จะดีกว่า
ถ้าเป็นที่โลกเดิมหากมีผู้ชายที่ไหนมาประกาศขอหย่ากับเธอแบบนี้เธอคงยอมหย่าให้เขาไปแล้ว
แต่ว่าในโลกแห่งนี้ไม่เหมือนกันชื่อเสียงนั้นสำคัญมากสำหรับสตรี หากว่าเธอยอมหย่าให้กับหลี่อี้หานก็เท่ากับเธอคิดสั้นฆ่าตัวตายชัดๆ
ความทรงจำต่างๆที่มีค่อยๆเริ่มกลับคืนมาเป็นบางส่วน ฟ้าใสจึงค่อยๆนั่งเรียนรู้วิธีการพูดจาและการแสดงท่าทางของจางเวยลี่ทุกอย่างก็เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปจนเหมือนคนคนเดียวกันอย่างเร็ว
ร่างนี้ ชื่อ จางเวยลี่ มีหน้าสวยสดงดงามราวกับนางจิ้งจอกแปลงกายมา ไม่แปลกใจเลยที่นางจะดูถูกทุกคนเพราะรูปโฉมอย่างนางแค่กระดิกนิ้วใครๆก็พร้อมยอมโอนอ่อนตาม
แต่น่าเสียดายที่ในหมู่บ้านที่แร้นแค้นนี้ ความสวยงามกินไม่ได้ ทุกคนต้องการอาหารที่จับต้องได้เพื่อประทังชีวิตไปวันๆ ฟ้าใสเมื่อทำใจยอมรับชะตากรรมของตัวเองได้แล้วก็ลุกขึ้นยืนเดินสำรวจห้องนี้
“ ต่อไปนี้ฉันก็คือจางเวยลี่สินะ”
ดูจากสภาพความเป็นอยู่ที่บ้านนี้แล้วเธอจะมามัวขี้เกียจไม่ได้ หากไม่ทำอะไรสักอย่างอาจจะได้อดตายไม่ก็หนาวตายไปจริงๆ เพราะอีก 3 เดือนก็ใกล้เข้าฤดูหนาวแล้ว
ในห้องนี้มีตู้ใส่เสื้อผ้าที่มีสภาพดี เตียงนอนที่ยังดูดีแม้ไม่แข็งแรงนักแต่ก็น่าจะเป็นเตียงที่ดีที่สุดในบ้านแล้ว
จางเวยลี่เดินเข้าไปค้นถุงไหมเงินที่เก็บไว้อย่างมิดชิดในกล่องขนาดเล็ก ในนั้นมีเงินอยู่ 5 ตำลึง ข้างในตู้เสื้อผ้ามีกล่องขนมที่เจ้าของร่างเดิมซ่อนเอาไว้อยู่ 2 กล่อง
“เวยลี่เจ้ายังไม่หายดีลุกขึ้นมาทำไม”
นาทีนี้จางเวยลี่ได้มองเห็นท่านตาของนางแบบใกล้ๆ เขาเป็นคนผิวขาวที่มีจมูกโด่ง มีดวงตาที่ฉายแววโอบอ้อมอารี แต่ใบหน้านี้ก็ดูซูบผอมเกินไปอยู่ดี
เวยลี่เดาว่าเขาคงอดเพื่อเก็บเงินให้หลานรักอย่างเธอเอามาใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่ายซื้อเสื้อผ้าสวยๆมาใส่
“อ้อ ถุงเงินนั่นเป็นเงินที่อี้หานไปสร้างกำแพงเมืองแล้วได้มานะ เขาเอามาใส่ให้หลานเมื่อเช้านี้ตอนที่หลานออกไปเดินเล่นข้างนอก” จางหลีไห่อธิบายเมื่อเห็นสิ่งของที่นางถืออยู่ในมือ
“เขาอยากหย่ากับข้ารึท่านตา”
“หึ ก็คงเป็นแค่อารมณ์ชั่ววูบที่เฉินเป่าหลิงเข้ามายั่วยวนนะสิไม่ว่า” จางหลีไห่ยักไหล่ขึ้นแล้วเบะปากอย่างไม่ชอบใจ
“ท่านผู้เฒ่าโปรดอย่าเอาน้องเป่าหลิงเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย ข้าก็แค่ทนความใจร้ายของนางไม่ไหว เวลาที่ข้าไม่อยู่บ้านนางพยายามจะฆ่าเจ้าเจียกับอ้ายหนี่น้องชายและน้องสาวของข้า” เสียงของหลี่อี้หานดังอยู่เบื้องหลังของนาง
ตอนนี้เวยลี่ยืนหันหลังให้สามีที่แต่งงานกันมาได้ 3 เดือนแล้ว เขาไม่เคยแตะต้องนาง แม้กระทั่งสายตาเขาก็ไม่อยากจะแลดูนางด้วยซ้ำ เอาเถอะอยากหย่าก็หย่าสิข้าต้องง้อเจ้าเสียที่ไหนกัน?
“เจ้าอยากหย่าเมื่อไรล่ะ ข้าจะได้ลงชื่อให้” เวยลี่หันไปตอบบุรุษที่เพิ่งเข้ามาใหม่
ไม่รู้ว่าเขาเข้ามาอยู่ในห้องของนางแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไร นางจึงตกใจจะถอยหลังแต่กลับเสียหลักล้มลง โชคยังดีที่เขาคว้าเอวของนางเอาไว้ได้ทันไม่อย่างนั้นนางคงได้มีแผลอีกแผลหนึ่งแน่นอน
จางหลีไห่เห็นสามีภรรยาอยู่ด้วยกันก็ย่องออกมาจากห้องเงียบๆ ในใจได้แต่หวังว่าเวยลี่จะไม่ทำอะไรโง่ๆอย่างเช่นการยอมหย่า
กว่าที่เขาจะทำให้นางได้สมหวังในความรักครั้งนี้ได้เลือดตาแทบกระเด็น หลี่อี้หานเป็นชายหนุ่มที่เพียบพร้อมไปทุกอย่างเสียอย่างเดียวที่มีฐานะยากจน
หาไม่เช่นนั้นแล้วเขาจะต้องได้มียศถาบรรดาศักดิ์อย่างแน่นอน แต่มันก็ยังไม่สายเกินไปที่เขาจะเตรียมอ่านหนังสือเพื่อเข้าสอบเป็นซิ่วไฉแต่โชคชะตากลับเล่นตลก
หลี่อี้หานจะเอาเวลาที่ไหนไปอ่านหนังสือ ลำพังแค่ข้าวแต่ละมื้อก็แทบไม่มีจะกิน ต้องต้มผักที่เก็บจากนาหรือ
พวกผักป่ากินเปล่าๆกัน
จางหลีไห่ส่ายหน้าอย่างสงสารแล้วเดินจากไป ในฐานะตาเขาก็เตือนหลานสาวแล้วว่า ให้เลือกคนอื่นที่มีฐานะดีและมีอนาคตมากกว่านี้ แต่ว่านางไม่ยอมพร้อมกับยืนยันอยู่อย่างเดียวว่าชั่วชีวิตนี้จะแต่งงานกับหลี่อี้หานคนเดียวเท่านั้น