บทที่ 17 นังขวัญ
พาขวัญก้าวลงจากรถ หล่อนห้ามเพื่อนๆ ลงมาส่ง วิไลก้าวตามลงมาแล้วรถเก๋งสีบรอนทองก็แล่นห่างออกไป พาขวัญสะพายกระเป๋าแล้วออกเดิน วิไลมองนายสาวอดหัวเราะไม่ได้
พาขวัญจริงจังกับงานนี้มากไม่ห่วงว่าสภาพตัวเองเป็นเช่นไร กางเกงยีนตัวเก่าเสื้อยืดราคาไม่ถึง 50 บาทเปลี่ยนคุณหนูผู้เลอโฉมของวิไลเป็นหญิงสาวปอนๆ มาจากบ้านนอกสมดังที่คิดไว้ ใบหน้าไร้เครื่องสำอางแตะแต้ม ผมยาวสลวยถูกรวบไว้อย่างลวกๆ ปอยผมหลุดลุ่ยปกหน้าให้ดูกระเซอะกระเซิงมากขึ้น พาขวัญเดินไปได้ครู่หนึ่งจึงหันกลับมามองวิไลเห็นพี่เลี้ยงสาวยิ้มขำๆ จึงก้มลงมองตัวเองตามสายตาของวิไล
“พี่วิไลขำอะไรเหรอ”
“ขำคุณหนูนั่นแหละค่ะ เหมือนสาวบ้านนอกจริงๆ เลยนะคะ”
“ก็ฉันต้องการให้เป็นอย่างนั้นจะได้สมบทบาทหน่อย แล้วก็ต่อไปนี้ห้ามเรียกฉันว่าคุณหนูอีกเด็ดขาด พี่ต้องเรียกฉันว่า อีขวัญ ดีมั้ย”
“โอ๊ย.ไม่ได้ค่ะมันแรงไป เอาแค่นังขวัญก็พอ” วิไลค้านเสียงหลง พาขวัญหัวเราะอย่างเห็นเป็นเรื่องตลก
“นังขวัญก็ได้ ห้ามลืมนะพี่ หัดไว้ตั้งแต่ตอนนี้เลย ไหนเรียกซิ”
“พี่ต้องขอโทษคุณหนูก่อนนะคะ” วิไลยกมือไหว้พาขวัญ
“เห็นมั้ย พูดอยู่หยกๆ เรียกอีกแล้วยังงี้ต้องหักเงินเดือน”
“ไม่ใช่ค่ะ ก็ต้องขอโทษไว้ก่อนเพราะต่อไปคุณหนูจะต้องเป็นน้องสาวพี่ นังขวัญเป็นลูกสาวของน้าสาวพี่เป็นลูกพี่ลูกน้องกับพี่ไม่ใช่คุณพาขวัญอีกแล้วนะคะต้องขอโทษไว้ก่อน” วิไลแก้ตัวแล้วยิ้ม
“ไม่เป็นไรฉันไม่ถือโทษไม่โกรธไม่ว่าอะไรทั้งนั้น พี่จะเรียกฉันยังไงก็ตามสบายเลย ต่อไปนี้จะไม่มีพาขวัญ เสฏฐพงศ์ ลูกสาวรัฐมนตรีอรรถพลกับคุณหญิงดวงกมลแล้วล่ะ จะมีแต่ นางสาวขวัญใจ ไพเราะ เด็กบ้านนอกความรู้แค่ ม. 3 จากบ้านมาเพื่อหางานทำแล้วก็ใฝ่ฝันอยากเป็นหางเครื่องใจจะขาดจนต้องให้พี่วิไลพามาสมัครวันนี้ เข้าใจมั้ยคะ” พาขวัญเอียงคอพูดกับสาวใช้แล้วยิ้มทะเล้น
“เข้าใจค่ะ เอาล่ะใกล้ถึงวินมอเตอร์ไซค์แล้ว พี่จะเล่นละครแล้วนะ คุณหนู เอ๊ย แกเตรียมตัวรับนะนังขวัญ” วิไลเท้าเอวแล้วชี้หน้าพาขวัญ
“ได้จ้ะพี่วิไล ฉันพร้อมแล้วจ้ะ” พาขวัญยกมือขึ้นเป็นสัญญาณว่าพร้อมที่จะแสดงละครแล้ว วิไลเดินเร็วๆ แซงขึ้นหน้าพาขวัญไปที่วินรถมอเตอร์ไซค์หน้าปากซอย
“ไปสำนักงานวงดนตรีชาญชลธีจ้ะ” วิไลบอกจุดหมายปลายทางกับหนุ่มมอเตอร์ไซค์รับจ้างแล้วขึ้นนั่งซ้อนท้ายรถ อีกคันเคลื่อนออกมารอพาขวัญ หญิงสาวก้าวขึ้นนั่ง ความรู้สึกในขณะนี้ตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก เพียงแค่เริ่มเล่นละครในชีวิตจริง หล่อนก็สนุกเสียแล้วต่อไปต้องมีเรื่องตื่นเต้นมากกว่านี้หลายร้อยเท่า หล่อนพร้อมรับมือกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในนาทีนี้แล้ว
รถมอเตอร์ไซค์แล่นมาจอดหน้าบ้านชาญชัย เจ้าของวงดนตรีชาญชลธี วงดนตรีลูกทุ่งที่ไม่มีชื่อเสียงโด่งดังและเคยเป็นอู่ข้าวอู่น้ำของวิไลมานานหลายปีหล่อนตั้งใจฝากพาขวัญเข้าเป็นหางเครื่องแต่เผอิญเห็นป้ายติดอยู่ที่รั้วบ้านว่า รับสมัครหางเครื่องความคิดจะฝากพาขวัญเปลี่ยนไป พาขวัญเองก็ยินดีที่จะเดินเข้าแถวต่อคิวสมัครกับคนอื่นๆ มากกว่าเป็นเด็กมีเส้นเข้าไปเป็นหางเครื่องในวงดนตรีวงนี้
“นังขวัญ เดินเร็วๆ สิ ชักช้าอยู่นั่นแหละคนมาสมัครกันเต็มแล้วเห็นมั้ย”
วิไลเสียงเข้มใบหน้าบึ้งใส่น้องสาว หล่อนเดินตามหญิงสาวที่มาสมัครหางเครื่องเข้าไปในรั้วบ้าน พาขวัญเดินกึ่งวิ่งตามเข้าไป วิไลคุ้นเคยกับบ้านหลังนี้ดี หล่อนจากไปเพียงไม่กี่ปีสภาพตัวบ้านยังอยู่เช่นเดิมมีเพียงต้นไม้ที่เติบโตขึ้นจนผิดตา ความร่มรื่นของต้นไม้ทำให้บ้านหลังใหญ่น่าอยู่ หญิงสาวเดินไปที่โต๊ะใต้ต้นไม้ข้างรั้วบ้าน
“พี่วิไล คนมาสมัครตั้งหลายคน ฉันพอมีสิทธิ์มั้ยพี่” พาขวัญกระซิบขณะวางกระเป๋า
“ก็ต้องลองดู เขาคัดจากการเต้นด้วย เอ็งทำให้เต็มที่ก็แล้วกัน”
“จ้ะพี่”
“นี่เธอ เขียนใบสมัครรึยัง รีบๆ เขียน เดี๋ยวเราจะปิดรับสมัครแล้ว” เสียงเรียกดังมา
“ไปเอาใบสมัครมาเขียนก่อนไป พี่จะนั่งรอตรงนี้” วิไลดึงกระเป๋าของพาขวัญมาวางบนโต๊ะ
“ต้องเขียนใบสมัครด้วยเหรอพี่”
“เขียนสิ รีบตามพวกนั้นไป” วิไลเร่งหญิงสาว
“นี่เธอ เร็วๆ นะยะ เดี๋ยวฉันไม่ให้สมัครซะเลยนี่” เสียงเรียกดังมาจากโต๊ะรับสมัครหางเครื่องที่ลานหน้าบ้าน พาขวัญจึงวิ่งเข้าไปรับใบสมัครจากหญิงสาวท่าทางเป็นคนสำคัญในการรับสมัครครั้งนี้ วิไลเหลือบมองไปยังหญิงสาวที่กำลังแจกใบสมัครให้กับผู้ที่เข้ามาสมัครเป็นหางเครื่องและหล่อนก็ต้องจ้องมองตาค้าง
