บทที่ 16 สมัครเป็นหางเครื่อง
“อีกสองวันค่ะ ขวัญจะให้พี่วิไลพาไปสมัครเป็นหางเครื่องค่ะ” พาขวัญวางแผนที่จะทำงานนี้
“ยังไงก็ระวังตัวนะลูก ป้าเป็นห่วง แม่หนูไม่อยากให้ไปอยู่ด้วย ถ้ามีปัญหาอะไรแม่หนูเรียกตัวกลับทันทีงานที่หนูตั้งใจไปทำไม่เสร็จแน่” พรพรรณยังคงเป็นห่วงหลานสาว
“ค่ะคุณป้า คุณป้าไม่ต้องห่วงนะคะมีพี่วิไลไปด้วยไม่มีปัญหาแน่ค่ะ”
หญิงสาวยิ้มรื่น พรพรรณยิ้มตามหลานสาว แต่ลึกๆ ในใจอดเป็นห่วงไม่ได้ พาขวัญไม่เคยลำบากไม่เคยเข้าไปอยู่กับกลุ่มคนแปลกหน้า หล่อนจะอดทนได้มากน้อยแค่ไหนหากเจอเรื่องร้ายๆ วิไลจะช่วยได้หรือสาวใหญ่คิดจะขัดขวางการทำงานของหลานสาวแต่เมื่อเห็นความตั้งใจของพาขวัญแล้วก็ต้องทำใจยอมรับในสิ่งที่หลานสาวตัดสินใจ
วิไลหลบมานั่งซึมในห้องนอนของหล่อนยิ่งใกล้เวลาที่จะต้องพานายสาวไปสมัครเป็นหางเครื่องยิ่งทำให้หล่อนคิดหนัก หล่อนไม่อยากกลับไปเจอสภาพเดิมๆ ชีวิตเดิมๆ ที่ครั้งหนึ่งมันปวดร้าวอย่างแสนสาหัสแต่ถ้าหล่อนไม่ไป พาขวัญจะต้องเสียใจและคงเลิกนับถือ เลิกไว้วางใจในตัวหล่อนนับจากวันนี้เป็นต้นไป
“พี่วิไล อยู่ในห้องรึเปล่า ไปซ้อมต่อได้แล้ว” เสียงพาขวัญดังมาจากประตู
“ค่ะๆ คุณหนูไปรอพี่แป๊บเดียวนะคะ” หญิงสาวป้ายน้ำตาที่ไหลอาบแก้มทิ้งแล้วออกจากห้อง หล่อนต้องทำเพื่อนายสาวของหล่อนและต้องช่วยให้พาขวัญหาข้อมูลมาเขียนหนังสือให้สำเร็จจงได้
วิไลสอนพาขวัญและฝึกท่าเต้นตามที่เคยเต้นตอนเป็นหางเครื่อง พาขวัญตั้งใจเรียนและทำได้ดีจนวิไลเอ่ยปากชม
“คุณหนูเก่งมากค่ะเต้นสวยด้วย”
“ถ้างั้นเราออกปฏิบัติงานกันได้แล้วสิพี่”
หญิงสาวยิ้มรื่นรมย์ ความหวังของหล่อนกำลังเป็นความจริงในวันพรุ่งนี้แล้ว หล่อนกำลังจะกลายเป็นหางเครื่องในวงดนตรีลูกทุ่ง ชีวิตอีกแบบหนึ่งที่หล่อนไม่เคยคิดฝันว่าจะได้สัมผัสกับมันกำลังรอหล่อนอยู่แล้ว
นัชชา วรรณพรและธีรวิช อาสามาส่งพาขวัญกับวิไลถึงสำนักงานวงดนตรีแต่พาขวัญไม่ยอมให้เป็นเช่นนั้น หล่อนไม่ต้องการให้ใครเห็นหล่อนก้าวลงจากรถเก๋งราคาเหยียบล้านแล้วเดินไปสมัครงาน
คงไม่ใช่เรื่องที่ดีเท่าไรนักและอาจมีบางคนเป็นนักดนตรีในวงเห็นเข้าเก็บเอาไปบอกเล่าให้คนในวงฟังแล้วใครจะเชื่อว่าหล่อนเป็นเด็กบ้านนอกคอกนาที่ใฝ่ฝันอยากมาเป็นหางเครื่อง แผนการที่วางไว้ทั้งหมดเป็นอันพังครืนลงอย่างแน่นอน
“วิช แกส่งฉันกับพี่วิไลข้างหน้านี่แหละ เดี๋ยวฉันนั่งมอเตอร์ไซค์ไปเอง”
“ฉันไปส่งถึงที่เลยดีกว่าแกจะได้ไม่ต้องหอบกระเป๋ารุงรัง” ธีรวิชไม่ยอมฟัง
“ไม่ได้ ถ้าใครเห็นฉันนั่งรถเก๋งราคาเป็นล้านมาสมัครเป็นหางเครื่องคงหัวเราะเยาะฉันกันน่าดูเผลอๆ พาลคิดไปว่าฉันถูกเสี่ยเขี่ยทิ้งถึงต้องบากหน้ามาเป็นหางเครื่อง ฉันไม่อยากให้ใครเข้าใจฉันแบบนั้น จอดรถเดี๋ยวนี้เลย ไม่ต้องไปถึงปากซอยหรอก จอดตรงนี้แหละ” พาขวัญเสียงแข็ง ธีรวิชจึงต้องยอมทำตามคำสั่งของเพื่อนรัก เขาจอดรถห่างจากปากซอยที่วิไลจะพาพาขวัญไปสมัครงานประมาณ 500 เมตร นับจากนาทีนี้ทุกอย่างจะต้องเป็นความลับแม้แต่วินมอเตอร์ไซค์หน้าปากซอยก็ให้เห็นพาขวัญก้าวลงจากรถเก๋งไม่ได้
“จริงอย่างที่ยัยขวัญพูด ถ้าฉันเห็นก็คงคิดแบบนั้น หน้าตาหล่อนบ้องแบ๊วออกยังงี้ หุ่นก็สู้นางแบบได้สบายๆ เสี่ยกระเป๋าหนักชอบนักแหละแก” วรรณพรเอ่ยขึ้นขณะที่ธีรวิชเลี้ยวรถจอดแอบข้างทาง นัชชาหัวเราะแล้วจ้องหน้าพาขวัญ
“นั่นสิ ระวังนะแกเต้นๆ ไปเจ้าของวงเรียกไปเสนอบ้าน รถ เงินเดือนพิเศษแกอย่ารับเชียวนะ ตั้งใจเขียนชีวิตหางเครื่องนะไม่ใช่เขียนชีวิตเด็กเสี่ย อย่าลืมเสียล่ะขวัญ”
“บ้า พวกแกนี่คิดบ้าๆ แทนที่จะให้กำลังใจฉัน กลับมาคิดอะไรแผลงๆ ฉันไม่เลิกล้มความตั้งใจหรอกน่ะ ขอบใจที่มาส่ง เอาไว้จะรายงานความคืบหน้าเป็นระยะๆ อ้อ.ฉันฝากโทรศัพท์มือถือไว้กับแกนะยัยนัช ปิดไปเลยเอาไว้เปิดเช็ควันละครั้งว่ามีใครโทร.มาบ้างแค่นั้นพอ” พาขวัญส่งโทรศัพท์มือถือของหล่อนให้นัชชา
“ย่ะ แล้วถ้าคุณศรุตโทร.มาหาแกล่ะจะให้ฉันบอกยังไง”
“ไม่ต้องรับ”
“พูดง่ายๆ นะแก เขาเป็นแฟนแกนะ ถ้าแกไม่รับสายเขาต้องคิดหนักแน่”
“ถ้างั้นแกก็รับสายแทนฉันสิ ฉันฝากด้วยละกัน ขอบใจอีกครั้งที่มาส่งฉัน พี่วิไลไปกันได้แล้วจ้ะ”
