บทที่ 13 พี่วิไล
“ไม่ต้องพูดแล้ว แม่ไม่อนุญาตก็คือไม่อนุญาต” คุณหญิงลงมือทานอาหารเช้าไม่สนใจกับสีหน้าผิดหวังของลูกสาว
“คุณป้าคะ คุณพ่อ ช่วยขวัญคิดทีสิคะ” หญิงสาวหันมาอ้อนบิดาและป้า พรพรรณถอนหายใจแล้วเอ่ยขึ้น
“ทานก่อนลูก แล้วเดี๋ยวค่อยคิดกัน”
“พี่พรรณ น้องขอแหละค่ะ งานนี้ให้ยัยขวัญคิดเอง ในเมื่อห้ามไม่ฟังก็ต้องจัดการด้วยตัวเองค่ะ”
ดวงกมลขอร้องแกมห้ามพี่สามีตรงๆ พรพรรณจึงต้องพยักหน้ารับทั้งที่อยากช่วยหลานสาวเต็มกำลัง อรรถพลได้แต่มองหน้าพี่สาวและลูกสลับกันเท่านั้น
อาหารเช้าผ่านไปอย่างไม่ราบรื่นนักเพราะพาขวัญทานอาหารได้นิดเดียวก็อิ่ม หล่อนน้อยใจมารดาไม่พูดจากับใครเดินออกจากโต๊ะอาหารไปที่ห้องนั่งเล่น อรรถพลมองตามร่างบางของลูกสาวแล้วหันมาที่ภรรยา
“คุณหญิง ยังไงก็อย่าใจแข็งนักนะลูกตั้งใจทำในสิ่งที่ดีก็ควรผ่อนปรนกันบ้าง”
“คุณไม่ต้องพูดหรอกค่ะไปทำงานได้แล้วค่ะสายแล้ว” คุณหญิงไม่ฟังคำของสามี อรรถพลจึงได้แต่ถอนหายใจ เขาช่วยลูกไม่ได้เลยความหวังของเขาอยู่ที่พี่สาวเพียงคนเดียวเท่านั้น
“พี่พรรณ ดูๆ ยัยขวัญหน่อยนะพี่ ร้องไห้ขี้มูกโป่งแล้วมั้ง”
“ไม่ต้องห่วงหรอกเดี๋ยวพี่จัดการให้ ไปทำงานเถอะ”
“เอาใจกันจริงๆ นะคะ หลานสาวสุดโปรดเนี่ย” คุณหญิงเหน็บแนมพร้อมรอยยิ้มของผู้ชนะ หล่อนเชื่อว่าพาขวัญไม่สามารถหาคนออกไปเป็นเพื่อนได้ หล่อนทำเช่นนี้เพราะเป็นห่วงลูกไม่อยากให้ลูกออกไปใช้ชีวิตในวงดนตรีลูกทุ่งที่น่ารังเกียจสำหรับหล่อนแม้เพียงชั่วระยะเวลาหนึ่งก็ตาม
พาขวัญนั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้ตัวยาวในห้องนั่งเล่น หล่อนไม่เข้าใจมารดา ทำไมจึงต้องห้ามหล่อนทั้งที่หล่อนไม่ได้ออกไปทำในสิ่งไม่ดี หล่อนจนด้วยหนทางจึงคิดจะให้ป้าออกไปเป็นเพื่อนแต่มารดาก็ไม่อนุญาตแล้วหล่อนจะหาใคร เพื่อนสนิทของหล่อนไม่ผ่านความไว้วางใจของมารดาแน่นอน หล่อนจะทำอย่างไรดี เวลาที่อาจารย์สรยุทธกำหนดไว้ก็หมดลงไปทุกวัน
“โอ๊ย จะทำยังไงเนี่ย” พาขวัญร้องด้วยความหงุดหงิด
“ไม่ต้องทำอะไรสิลูก นั่งเฉยๆ นี่แหละ” พรพรรณเดินยิ้มเข้ามา
“คุณป้าคะ ขวัญไม่มีเวลาพูดเล่นนะคะ”
“ป้าก็ไม่ได้พูดเล่นจ้ะ ป้าจะมาช่วยคิดนี่ไง” พรพรรณนั่งลงข้างหลานสาว ลูบศีรษะของหลาน รอยยิ้มอบอุ่นที่พาขวัญเคยเห็นมาตลอดปรากฏบนใบหน้าของสาวใหญ่
“คุณป้าจะช่วยขวัญจริงๆ เหรอคะ แต่คุณแม่..”
“แม่หนูก็พูดไปยังงั้นแหละ ถ้าหนูมีเพื่อนไปทำงานแม่หนูก็ไม่ห้าม”
“แล้วคุณป้าคิดว่าจะให้ใครไปกับขวัญล่ะคะ” รอยยิ้มสดใสกลับมาอีกครั้ง
“เมื่อคืนป้าคิดทบทวนอยู่นานว่าจะให้ใครไปเป็นเพื่อนหนูสุดท้ายป้าคิดถึงวิไล” พรพรรณเอ่ยถึงสาวใช้
“พี่วิไล ทำไมคะคุณป้า จะให้พี่วิไลไปกับขวัญเหรอคะ คุณแม่จะยอมเหรอ” หญิงสาวยิ้มไม่ออกอีกครั้ง หล่อนมองไม่เห็นทางเป็นไปได้
“เราก็ต้องหาเหตุผลให้ยอมสิ” พรพรรณยิ้มมากขึ้นขณะพูดกับหลานสาว หล่อนมั่นใจว่าดวงกมลต้องยอมรับเหตุผลนี้
“เหตุผลยังไงล่ะคะคุณป้า”
“ขวัญอย่าลืมสิลูกว่าวิไลเคยอยู่วงดนตรีมาก่อน วิไลรู้ว่าชีวิตในนั้นเป็นยังไง ป้าเชื่อนะว่าวิไลดูแลหนูได้ ป้าไว้ใจวิไลจ้ะ”
คำตอบของพรพรรณเหมือนกับลำแสงจากภายนอกพุ่งวาบเข้ามาในถ้ำอันมืดมิดให้สว่างขึ้นสามารถมองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างได้ชัดเจนและลำแสงนั้นช่วยให้พาขวัญมองเห็นทางออกจากถ้ำนั้นได้ด้วย หล่อนมีทางออกแล้ว
“ขอบคุณค่ะคุณป้า ที่ช่วยขวัญ ขวัญจะไปบอกคุณแม่เดี๋ยวนี้ค่ะว่าขวัญได้คนไปเป็นเพื่อนแล้ว คุณแม่ต้องไว้ใจพี่วิไลเหมือนที่คุณป้าไว้ใจ”
พาขวัญยิ้มกับทางออกที่ป้าเป็นผู้เปิดทางให้แต่ในขณะที่หล่อนยินดีกับทางออกซึ่งพรพรรณเป็นผู้คิดให้ วิไลซึ่งเป็นตัวช่วยของหล่อนนั้นกลับซึมเศร้า สาวใช้ได้ยินการสนทนาระหว่างป้ากับหลานทั้งหมด หล่อนไม่ได้ตั้งใจจะแอบฟังแต่หล่อนกำลังจะนำผลไม้มาให้นายสาวยังไม่ทันก้าวเข้าไปในห้องหล่อนก็ต้องชะงักเท้าแค่หน้าประตูเมื่อพรพรรณเอ่ยถึงหล่อนและพาขวัญตัดสินใจเลือกหล่อนไปเป็นเพื่อน หล่อนหมุนตัวเดินกลับในทันที หล่อนช่วยพาขวัญไม่ได้ ช่วยนายสาวไม่ได้จริงๆ
พาขวัญเดินยิ้มระรื่นเข้ามาหามารดา หล่อนเรียกมารดาตั้งแต่ยังไม่ถึงตัว
“คุณแม่ คุณแม่ขา ขวัญหาคนไปเป็นเพื่อนขวัญได้แล้วค่ะ”
“อะไรกันยัยขวัญ เสียงดังไปได้นี่นา” คุณหญิงดุลูกสาว
“ก็ขวัญดีใจนี่คะ” หญิงสาววิ่งเข้ามาหามารดา
“ดีใจอะไร”
“ก็ขวัญหาคนไปเป็นเพื่อนได้แล้วน่ะสิคะ” หล่อนกอดมารดาอย่างประจบ คุณหญิงก้มลงมองใบหน้าเกลี้ยงเกลาที่ซบอยู่กับไหล่อย่างไม่เข้าใจ
“ใครเหรอ” ฝืนใจถาม
“พี่วิไลไงคะ” พาขวัญยืดตัวตรงพร้อมคำตอบชัดเจน
