บทที่ 12 เลือก
“เอ็งไม่คิดจะช่วยคุณหนูบ้างเหรอวะ ข้าว่าเอ็งออกไปเป็นหางเครื่องกับคุณหนูเหมาะที่สุด”
“ไม่เอาหรอกป้า ฉันไม่ไป” วิไลปฏิเสธเกือบทันที หล่อนล้มตัวลงนอนดึงผ้าห่มคลุมถึงศีรษะ
“เอ็งกลัวอะไร ไหนๆ เมื่อก่อนก็เคยเป็นหางเครื่องมาแล้ว ช่วยสอนคุณหนูเต้น ช่วยดูแลคุณหนูแค่นี้ไม่เห็นยากนี่หว่า”
ไม่มีเสียงตอบจากวิไล สำเนียงจึงปิดไฟเข้านอน เสียงสำเนียงเงียบไปวิไลจึงดึงผ้าห่มลงมาคลุมแค่อก หล่อนลืมตาโพลงในความมืดสลัว ทำไมหล่อนจะสอนพาขวัญไม่ได้ในเมื่อตอนที่อยู่วงดนตรีหล่อนคิดท่าเต้นและสอนหางเครื่องในวงทุกคนแต่หล่อนจะไม่ย้อนกลับไปเจอกับคนใจร้ายพวกนั้นอีก หล่อนจำวันที่ถูกเพทายด่าทอได้แม่นยำ
“อีแพศยาออกไปจากชีวิตกู ในเมื่อมึงไม่ซื่อสัตย์คิดคบชู้มึงก็ไม่ต้องมาเสนอหน้าอยู่ที่นี่ ไปให้พ้นหน้ากูไสหัวไป”
“เขาไล่แล้วก็ไปสิยะ มาหน้าด้านอยู่ทำไมล่ะ ไปอยู่กับชู้ของแกโน่นไป”
มณีรัตน์เยาะเย้ยถากถางเหมือนกับว่าไม่ใช่เพื่อนรัก ไม่ใช่คนที่เคยทุกข์ยากลำบากมาด้วยกัน
“สมน้ำหน้า อยากไม่รักดี” มณีรัตน์ไม่ไยดีกับความเสียใจของเพื่อนสักนิด
“ทำไมแกพูดแบบนี้รัตน์ ฉันไม่ได้นอกใจพี่เพทาย แกต่างหากที่กรุเรื่องขึ้นมาทั้งหมด แกทำเพื่ออะไร”
“อ๊ะ จะเพื่ออะไรก็เพื่อพี่เพทายที่ฉันรักน่ะสิ ไสหัวไปได้แล้วหรือว่าแกอยากถูกตบอีก คราวนี้ฉันไม่ช่วยห้ามพี่เพทายแล้วนะยะ” มณีรัตน์แสดงสีหน้านางร้ายกับเพื่อนรัก หล่อนยอมรับตามตรงว่าทั้งหมดเป็นฝีมือของหล่อน เพราะหล่อนรักเพทาย
วิไลพูดไม่ออกไม่คิดว่าเพื่อนรักจะทำกับหล่อนได้ถึงเพียงนี้ หล่อนเพิ่งรู้ซึ้งถึงน้ำใจของเพื่อนก็วันนั้น หล่อนหิ้วกระเป๋าเพียงใบเดียวก้าวออกมาจากบ้านหลังนั้น บ้านที่เป็นทั้งชีวิตและความรัก หล่อนทุ่มเททั้งแรงกายและใจเพราะงานที่หล่อนรัก สุดท้ายหล่อนก็ต้องเดินจากมาด้วยความเจ็บปวดแสนสาหัส
“คุณหนูขา พี่ช่วยคุณหนูไม่ได้จริงๆ ค่ะ” วิไลพึมพำออกมาแล้วหลับตาลง เสียงถอนหายใจดังขึ้นเบาๆ ก่อนจะเงียบไป
พาขวัญกลับขึ้นห้องนอนด้วยความรู้สึกหนักอึ้งในสมองเช่นเดิม หล่อนทรุดกายลงบนเตียงนุ่ม ผ้าปูเตียงแม้เนื้อจะละเอียดนุ่มละมุนเพียงใด ไอเย็นฉ่ำของแอร์จะเย็นแค่ไหนก็ไม่ได้ช่วยให้พาขวัญอยากเอนกายลงนอนเหมือนทุกวัน หล่อนคิดถึงคำพูดของมารดา ท่านให้หล่อนออกไปใช้ชีวิตในวงดนตรีลูกทุ่งได้ก็ต่อเมื่อหล่อนมีเพื่อนไปด้วย 1 คนและคนๆ นั้นต้องผ่านการเห็นชอบจากมารดาเสียก่อน ใครล่ะที่มารดาไว้ใจจนยอมให้ไปเป็นเพื่อนลูกสาวคนเดียวของท่านได้
“โอชิ แกช่วยฉันคิดทีสิว่าฉันควรจะพาใครไปเป็นเพื่อนดี แกไปกับฉันมั้ยโอชิ” หญิงสาวดึงตุ๊กตาหมีสุดรักเข้ามากอดและพูดกับมันราวกับมันมีชีวิต หล่อนนอนกอดโอชิจนกระทั่งหลับไป
อาหารเช้ามื้อนี้พรพรรณทำเป็นพิเศษเพื่อหลานสาว เพราะหล่อนมั่นใจว่าเมื่อคืนพาขวัญแทบไม่ได้นอนเพราะคิดเรื่องที่คุยกับมารดาไว้ ตัวหล่อนเองก็ไม่รู้จะช่วยหลานอย่างไร อรรถพลนั้นอ้าปากไม่ได้เอาเลยคุณหญิงไม่ยอมให้ออกความคิดเห็นใดๆ เช้านี้พรพรรณจึงต้องทำให้บรรยากาศบนโต๊ะอาหารสดชื่นและให้พาขวัญทานอาหารได้มากที่สุด
“วิไล คุณหนูไปไหนทำไมยังไม่ลงมา” คุณหญิงดวงกมลเดินมานั่งเก้าอี้ตัวประจำของหล่อน
“มาแล้วค่ะคุณแม่ ขวัญตื่นสายไปนิดค่ะ” พาขวัญส่งเสียงสดใสมาก่อนตัว รอยยิ้มที่ยิ้มกับมารดาสดใสไปด้วย อรรถพลมองหน้าลูกสาวแล้วหันไปมองพี่สาว พรพรรณสบตากับเขา ทั้งสองรู้ว่าพาขวัญพยายามทำตัวร่าเริงทั้งที่สมองกำลังคิดหนัก
“เมื่อคืนนอนไม่หลับรึไง” มารดาเอ่ยเรียบๆ
“ทำไมคุณแม่รู้ล่ะคะ เมื่อคืนนี้ขวัญคิดหาคนไปเป็นเพื่อนจนหลับไปเลยค่ะ”
“แล้วคิดออกมั้ยล่ะ” คุณหญิงถามน้ำเสียงเรียบเช่นเดิมแต่ใบหน้านั้นยิ้มบางอย่างผู้ชนะ
“คิดออกสิคะ ขวัญได้คนไปเป็นเพื่อนแล้วค่ะคุณแม่” หล่อนยิ้มร่าเริงทุกคนหันมามองหล่อนเป็นจุดเดียวโดยเฉพาะคุณผู้หญิงของบ้าน
“ใครเหรอ แกจะเอาใครไปด้วย”
“คุณป้าไงคะ รับรองว่าคุณแม่ต้องไว้ใจแน่นอนค่ะ” หญิงสาวยิ้มน่ารักขณะตอบคำถามของมารดา
“ไม่ได้” คุณหญิงค้านเสียงเฉียบขาด
“ทำไมล่ะคะ ก็คุณแม่อนุญาตให้ขวัญเลือกคนได้นี่คะ” หล่อนแย้งคำปฏิเสธของมารดา
“ใช่ แม่อนุญาตให้แกเลือกคนไปแต่ยกเว้นคุณป้าของแก”
“คุณแม่คะ..”
