บทที่ 11 หางเครื่องเก่า
เมื่อเพทายใช้อารมณ์มากกว่าเหตุผลสุดท้ายความรักที่เขามีต่อวิไลก็เป็นอันขาดสะบั้นลงโดยมีมือที่สามอย่างมณีรัตน์อยู่เบื้องหลัง วิไลลาออกจากวงทั้งที่ไม่อยากลา ชีวิตหางเครื่องของหล่อนจบลงเพียงเท่านั้น ความรักที่หล่อนบูชาก็พลันต้องมลายลงไปด้วย
หญิงสาวถอนหายใจเฮือกสลัดภาพความหลังออกไปจากสมอง หล่อนเดินออกจากห้องพักเกือบลืมหน้าที่ของตัวเองที่ต้องเตรียมนมอุ่นให้คุณหนูพาขวัญก่อนนอน หล่อนเดินเข้าห้องครัวคิดว่าไม่มีใครอยู่ที่นั่นพอก้าวเข้าไปสำเนียงก็หันมามอง
“ป้ายังไม่เข้านอนเหรอ อ้าว.พี่ทศก็อยู่ด้วย ปรึกษาอะไรกันเหรอป้า” วิไลถามขณะเดินไปที่ตู้เย็น
“จะปรึกษาอะไรล่ะก็ปรึกษาเรื่องคุณหนูนั่นแหละน่าสงสารคุณหนู คุณผู้หญิงยื่นคำขาดยังงั้นแสดงว่าไม่ยอมให้คุณหนูไป”
“ใครจะไปเป็นเพื่อนคุณหนูได้คุณผู้หญิงไม่ไว้ใจใครหรอก” ทศส่ายหน้าแล้วถอนหายใจ
“คุณหนูต้องหาวิธีของเธอแหละพี่ไม่ต้องห่วงหรอก” วิไลพูดเรื่อยๆ สำเนียงกับทศหันมามองวิไลเกือบพร้อมกัน แม่บ้านนิ่งคิดครู่หนึ่งจึงพยักหน้าช้าๆ
“นังวิไล แกเคยเป็นหางเครื่องมาไม่ใช่เหรอ แกไปเป็นเพื่อนคุณหนูหน่อยสิ” คำพูดของสำเนียงเกือบทำให้แก้วในมือของอดีตหางเครื่องสาวหล่นลงพื้น หล่อนยืนนิ่งไปชั่วขณะ
“เออใช่ แกเป็นหางเครื่องมานี่นา ช่วยคุณหนูหน่อยวิไล” ทศย้ำอีกคน
“ป้า พี่ทศ อย่าพูดเรื่องนี้อีก ฉันออกมาแล้วจะไม่กลับเข้าไปที่นั่นอีกเด็ดขาด” หญิงสาวรินนมที่เพิ่งอุ่นใส่แก้วแล้วเดินออกจากครัว
“คุณหนูไม่ได้อยู่ที่ห้องนอน คุณหนูอยู่หน้าบ้าน” สำเนียงส่งเสียงตามหลังวิไลออกมา หญิงสาวชะงักเท้าแล้วเปลี่ยนเส้นทางเดินตรงไปยังหน้าบ้าน
พาขวัญนั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้สีขาวริมสนามราวกับประติมากรรมชิ้นเอกของศิลปินชื่อดังของประเทศ ดวงตาที่เคยสุกใสเปล่งประกายรื่นเริงนั้นหม่นเศร้า ใบหน้าที่เคยแย้มยิ้มกลับเรียบเฉย ดวงตาคู่สวยทอดมองไปยังรูปปั้นกลางน้ำพุหน้าตัวตึกอย่างใช้ความคิด เสียงถอนหายใจดังเป็นระยะๆ วิไลประคองแก้วนมเดินเข้ามาแต่เมื่อเห็นกิริยาเศร้าซึมของหญิงสาว หล่อนก็พลอยไม่สบายใจไปด้วย
“คุณหนูคะ” เสียงเรียกของวิไลทำให้พาขวัญสะดุ้ง หล่อนเหลียวมามองคนเรียกแล้วยิ้มบาง
“พี่วิไล”
“คุณหนูเป็นอะไรรึเปล่าคะ” วิไลถามห่วงใยขณะวางแก้วนมลงบนโต๊ะไม้สีขาว
“ไม่เป็นไรหรอก ขอบใจที่เป็นห่วงนะ” พาขวัญตอบสั้นๆ
“พี่ว่าคุณหนูดื่มนมแล้วเข้านอนดีกว่านะคะ”
“พี่วิไลจะเป็นป้าพรรณสองรึไง จะให้ฉันพักผ่อนอยู่เรื่อย” พาขวัญคว้าแก้วนมขึ้นมาดื่มแล้ววางลงที่เดิม
“คุณหนูขึ้นนอนเถอะค่ะดึกมากแล้วนะคะ”
“ฉันยังไม่อยากนอน พี่วิไลช่วยฉันคิดทีสิว่าฉันจะทำยังไงดี คุณแม่ถึงจะยอมให้ฉันไปเป็นหางเครื่อง”
คำปรึกษากึ่งคำถามของพาขวัญหยุดรอยยิ้มของวิไลลงกะทันหัน หล่อนไม่มีความคิดเห็นเรื่องนี้และจะไม่ยอมออกความคิดเห็นใดๆ ทั้งสิ้น
“พี่ไม่มีความคิดเห็นหรอกค่ะ”
“มีหน่อยไม่ได้เหรอ อะไรก็ได้พูดมาเถอะ เดี๋ยวฉันเก็บเอามารวมๆ กันเผื่อคิดออก” หญิงสาวหันมาเร่งรัดกับวิไล สาวใช้สั่นศีรษะแล้วถอยห่าง
“คุณหนู พี่คิดไม่ออกจริงๆ อย่าบังคับพี่เลยนะคะพี่ขอตัวค่ะ” สาวใช้เดินกลับเข้าด้านในบ้าน พาขวัญมองตามแล้วถอนหายใจ
“ไม่มีใครช่วยฉันได้จริงๆ เหรอเนี่ย” หล่อนลุกขึ้นยืนอย่างหงุดหงิดแล้วเดินตามวิไลเข้าในบ้าน
พาขวัญกลับเข้าห้องนอนเมื่อคิดไม่ออกว่าจะหาใครไปเป็นเพื่อนกับการทำงานครั้งนี้
“คุณหนูขึ้นนอนแล้วเหรอวิไล” สำเนียงเอ่ยถามเมื่อเห็นวิไลเดินกลับเข้ามาในห้องครัว
“จ้ะป้า”
“ท่าทางคุณหนูคิดมากนะป้า” ทศเอ่ยขึ้น
“นั่นสิ คุณหญิงไม่ยอมให้ออกไปตามลำพังก็ไม่รู้จะทำยังไงกันล่ะนะ”
“มันต้องมีทางออกสิป้า ระดับคุณหนูฉลาดคิดออกยังงั้นรับรองว่าต้องทำได้” ทศเชื่อว่าพาขวัญต้องมีทางออกที่ดี
“ป้ายังไม่นอนเหรอ ฉันไปนอนก่อนนะ” วิไลล้างแก้วคว่ำเรียบร้อยแล้วจึงหันมาที่สำเนียง
“เออ ข้าก็จะนอนเหมือนกันแหละ ไอ้ทศไปดูปิดบ้านให้ดีล่ะ”
“จ้ะป้า”
ทุกคนแยกย้ายกันกลับห้องพักของตัวเองซึ่งอยู่ด้านหลังตึก สำเนียงปิดไฟในห้องครัวแล้วเดินตามวิไลออกไป ทศปิดประตูสำรวจหน้าต่างทุกบานก่อนจะเข้านอน
สำเนียงเปิดประตูห้องเข้าไปเห็นวิไลนั่งอยู่บนเตียง ท่าทางของหญิงสาวครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
“คิดอะไรวะ” แม่บ้านมองหน้าวิไล
“เปล่าจ้ะป้า นอนกันเถอะ” หญิงสาวขยับตัว หล่อนนั่งเหม่อจนสำเนียงสงสัย
