บทที่ 10 ไม่อนุญาต
“แต่คุณแม่คะ ขวัญอยากไปหาข้อมูลด้วยตัวของขวัญเอง” หญิงสาวไม่ยอมฟังคำชี้แนะของมารดา
“แต่แม่ไม่ให้แกไป แม่ไม่ยอมให้ลูกสาวคนเดียวของแม่ต้องออกไปคลุกคลีกับคนพวกนั้นหรอกนะ แกเลิกคิดได้เลย” คุณหญิงเน้นคำท้ายแล้วหันไปดูละครซึ่งตัวละครในทีวีไม่ช่วยให้อารมณ์ของหล่อนดีขึ้นแม้แต่น้อย
“คุณแม่คะ” พาขวัญเริ่มเสียงเครือ พรพรรณจึงต้องช่วยหลานสาว
“น้องดวง ถ้าเป็นห่วงยัยขวัญก็..”
“คุณพี่ไม่ต้องพูดหรอกค่ะ ยังไงน้องก็ไม่ยอมให้ลูกไป” ดวงกมลขัดขึ้นก่อนที่พรพรรณจะทันพูดจบ
“แต่คุณแม่คะ ถ้าขวัญไปหาข้อมูลจริงๆ มาเขียนหนังสือส่งอาจารย์ไม่ได้ ขวัญก็ไม่ผ่านวิชานี้นะคะ ที่สำคัญอาจารย์บอกว่าถ้าหนังสือของใครสามารถตีพิมพ์ออกจำหน่ายได้ อาจารย์จะให้รางวัลเป็นทุนไปเรียนต่อต่างประเทศค่ะ” พาขวัญไม่ยอมให้มารดายื่นคำขาดกับหล่อน
“แกจะไปเรียนต่อกี่ประเทศก็ไปได้โดยไม่ต้องขอทุนจากอาจารย์ด้วย”
“แต่มันหมายถึงเกียรตินิยมอันดับหนึ่งด้วยนะคะคุณแม่” หญิงสาวจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เข้ามาช่วย หล่อนรู้ว่ามารดารักในเกียรติและศักดิ์ศรีมาก สิ่งใดก็ตามที่จะทำให้ครอบครัวมีหน้าตาในสังคมได้ คุณหญิงยิ้มรับทั้งนั้น พาขวัญรู้จุดอ่อนของมารดาจึงอ้างเกียรตินิยมอันดับ 1 เข้ามาเป็นตัวช่วย
คุณหญิงดวงกมลหันมาจ้องหน้าลูกสาวอีกครั้งและดวงตาที่มองมานั้นอ่อนโยนลง อรรถพลชำเลืองมองพรพรรณแล้วผ่อนลมหายใจโล่งอก พรพรรณยิ้มบางๆ นึกชื่นชมหลานสาวอยู่ในใจ
“เกียรตินิยมอันดับหนึ่งด้วยเหรอ”
“ค่ะคุณแม่ ถ้าขวัญพลาดวิชานี้ก็หมดสิทธิ์ค่ะ” หญิงสาวหลุบเปลือกตาลงมองมือตัวเองบีบเสียงให้น่าสงสาร คุณหญิงนิ่งไปครู่หนึ่งจึงเอ่ยออกมา
“ก็ได้ ฉันยอมแกก็ได้แต่มีข้อแม้ว่า แกต้องพาคนไปเป็นเพื่อน คนที่สนิทและไว้ใจได้ และต้องผ่านความเห็นชอบจากฉันด้วย ถ้าแกหาคนไปเป็นเพื่อนไม่ได้ทุกอย่างเป็นอันจบ” คุณหญิงลุกขึ้นยืนตวัดหางตาไปที่สามีและพี่สาวสามี
“หวังว่าคงไม่มีใครออกความคิดเห็นช่วยยัยขวัญนะคะ” หล่อนเดินออกจากห้องไปทันที พาขวัญมองตามมารดาแล้วหันมาที่บิดากับป้า
“คุณพ่อคะ คุณป้า ทำไงดีล่ะคะ”
“ค่อยๆ คิด มันต้องมีทางออกสิน่า แต่ตอนนี้พ่อขอไปพักผ่อนก่อนนะให้ป้าช่วยคิดต่อ”
อรรถพลเดินออกไปอีกคน พรพรรณมองตามน้องชายแล้วหันกลับมาที่หลานสาว หล่อนอยากช่วยแต่ให้คิดตอนนี้คิดไม่ออกแน่
“ป้าว่าไปพักผ่อนก่อนเอาไว้ให้แม่เขาใจเย็นกว่านี้ค่อยพูดอีกที”
“แต่คุณแม่ไม่เหมือนคนอื่นนะคะคุณป้า คุณแม่พูดจริงทำจริงนะคะ” หญิงสาวสีหน้าเจื่อนลง
“ป้ารู้และป้าก็เข้าใจหนูด้วย วันนี้ไปพักผ่อนก่อนพรุ่งนี้เราค่อยมาคิดหาทางออกกัน”
พรพรรณยิ้มกับหลานสาวแล้วจูงมือหลานมาส่งถึงห้องนอน พาขวัญยิ้มได้ถึงอย่างไรบิดากับป้าก็เข้าใจหล่อนและพร้อมจะช่วยหล่อน
ที่ห้องนั่งเล่น วิไลเก็บแก้วนมและถ้วยกาแฟด้วยกิริยาเซื่องซึม คำพูดของเจ้านายทั้งสี่ หล่อนได้ยินทั้งหมดซึ่งหล่อนไม่ตั้งใจจะแอบฟังเรื่องของเจ้านาย แต่เผอิญสิ่งที่พาขวัญพูดถึงคือวงดนตรีที่หล่อนเคยใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นมานานเกือบ 10 ปี
วิไลนั่งซึมอยู่บนเตียงนอนในห้องพักของหล่อน คำพูดของพาขวัญยังคงวนเวียนอยู่ในสมองของหล่อน วงดนตรีชาญชลธี คุณหนูขวัญของหล่อนจะเข้าไปเป็นหางเครื่องที่นั่นจริงๆ หรือ
ภาพความหลังที่เจ็บปวดไหลกลับเข้ามาในความทรงจำที่หล่อนพยายามลบมันออกไป แต่หล่อนก็ลบมันทิ้งไม่ได้ง่ายๆ
วิไลก้าวเข้ามาเป็นสมาชิกในวงดนตรีลูกทุ่งชาญชลธีจากการเดินเข้าไปสมัครตามคำแนะนำของป้าผู้เป็นเจ้าของร้านอาหารที่วิไลมาเป็นเด็กเสิร์ฟและล้างจาน ความฝันของสาวบ้านนอกคนหนึ่งเป็นความจริงขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ
วิไลกลายเป็นหางเครื่องที่มีลีลาการเต้นโดดเด่นและเพราะความรักในการเต้นของหล่อนทำให้หล่อนคิดพลิกแพลงท่าเต้นใหม่ๆ ซึ่งเป็นที่พอใจของ ชาญชัย เจ้าของวงและเป็นที่สะดุดตาของเพทายผู้ช่วยคนสนิทของชาญชัยและเป็นผู้จัดการวงเป็นอย่างมากและเพราะความมีน้ำใจของหญิงสาวทำให้คนในวงรักหล่อนรวมทั้งเพทายที่หลงรักมากถึงกับเอ่ยปากขอแต่งงาน
ความรักหวานชื่นของเพทายกับวิไลราบรื่นได้เพียงไม่นานก็ต้องมีอันระหองระแหงเพราะคำยั่วยุของมณีรัตน์ เพื่อนรักของวิไล มณีรัตน์แอบรักเพทายและแอบอิจฉาวิไลมานานแล้ว หล่อนใช้ความหึงหวงของเพทายเป็นจุดแตกหักในความรักของคนทั้งสอง
