บทที่ 3 หัวใจปริร้าว
บทที่ 3
หัวใจปริร้าว
เจ็บจนแทบทนไม่ไหว
“ชะ...เช่นนั้นก็ไปเถอะ”
ว่านข่าลี่ไม่แน่ใจว่าเมื่อครู่ตนเองตาฝาดไปหรือเปล่า เพราะชั่วพริบตาเดียวอีกฝ่ายก็มีดวงตาว่างเปล่าไร้แววดังเดิม
เมื่ออีกฝ่ายไม่มีปฏิกิริยาโต้ตอบใดๆ ท้ายที่สุดว่านข่าลี่ก็จำต้องโบกมือไล่อีกฝ่ายให้ออกไปราวกับรำคาญ
‘เหมือนพูดคุยกับตุ๊กตาไม่มีหัวใจ ผู้หญิงอะไรสวยแต่เย็นชา ท่านแม่ทัพกอดสตรีเช่นนี้ลงได้อย่างไรกันนะ!’
“ข้าขอตัวเจ้าค่ะคุณหนูว่าน”
หวังอ้ายซินโค้งศีรษะทำความเคารพว่าที่นายหญิงแห่งจวนแม่ทัพหยาง ก่อนจะเดินกลับออกไป ทว่าทันทีที่ประตูเรือนปิดลง หยาดน้ำใสๆ กลับไหลออกมาจากดวงตาไร้แสงเป็นสาย
“ฮึก...”
หวังอ้ายซินยกมือปิดปากกลั้นสะอื้นเอาไว้ ก่อนจะใช้วิชาตัวเบากระโดดขึ้นไปบนหลังคาจวน ไต่สูงขึ้น สูงขึ้น ไปยังหลังคาหอสมุดที่มีความสูงถึงห้าชั้น
ทรุดกายลงนั่งยังจุดที่สูงที่สุด ห่างไกลผู้คนมากที่สุด ก่อนจะปล่อยโฮออกมาราวกับทำนบกั้นน้ำที่พังทลาย
“ฮือ...”
ใครๆ ต่างก็บอกว่าหวังอ้ายซินเป็นสตรีไร้ความรู้สึก
ใครๆ ต่างก็บอกว่านางเป็นสตรีที่ไร้หัวใจ
ไม่จริง... ไม่จริงเลยแม้แต่นิดเดียว
หญิงสาวแค่เลือกที่จะไม่แสดงความอ่อนแอออกมาเท่านั้นเอง นางเลือกที่จะร้องไห้เงียบๆ คนเดียว เลือกที่จะเก็บความทุกข์ระทมเอาไว้คนเดียว
ในยามที่ทุกข์ใจที่สุด ความเหงาความว้าเหว่กลับยิ่งซ้ำเติมดั่งกำลังบีบรัดลำคอนางให้ขาดอากาศหายใจ
ทรมาน!
เจ็บ!
มือเล็กข้างหนึ่งยกขึ้นกุมก้อนเนื้อที่อกข้างซ้าย มืออีกข้างกุมหน้าท้องที่แบนราบ ก่อนจะทอดสายตามองลงไปยังเบื้องล่าง บ่าวไพร่กำลังวุ่นวายแขวนโคมแดงมงคล ประดับตกแต่งผ้าแพรสีแดงจนถ้วนทั่ว ดอกไม้หลากสีสันมากมายถูกลำเลียงเข้ามาประดับตกแต่ง
“ลูกแม่...เราไปจากที่นี่กันเถอะนะ ไปในที่ที่ไม่มีใครพบเห็น ไปในที่ที่ไม่มีใครตามหาพวกเราเจอ”
หญิงสาวเหม่อมองออกไปนอกกำแพงจวน บ้านเรือนมากมายภายนอกเรียงรายลดหลั่นกันไปมา ไกลออกไปมีป่าเขาลำธารเป็นสาย
หวังอ้ายซินหาใช่สตรีอ่อนต่อโลก นางเชี่ยวชาญวรยุทธ์ ชำนาญการปลอมแปลงตัวซ่อนเร้นกำบังกาย หากนางตั้งใจจะหลบหนีต่อให้พลิกแผ่นดินและผืนฟ้าก็ไม่อาจหานางพบ!
ดวงตาคู่สวยบวมช้ำจากรอยน้ำตา
นางถอนหายใจอีกคราก่อนจะยิ้มเย้ยให้กับชะตาชีวิตของตนเอง
“ข้ามาได้ไกลแค่นี้สินะ...”
เรียวปากอวบอิ่มรำพันแผ่วเบา นางกระโดดลงจากหลังคาหอสมุดพุ่งตรงไปยังเรือนพยัคฆ์อันเป็นเรือนหลักของแม่ทัพหยาง
ปลายเท้าแผ่วเบาสัมผัสลงบนพื้นไม้ หยุดมองชุดเจ้าบ่าวสีแดงมงคลที่แขวนไว้กลางห้องโดดเด่น มือเล็กทว่าหยาบกระด้างเพราะกรำดาบฝึกวิชามาตั้งแต่ยังเยาว์วัย ค่อยๆ ลูบไล้ไปตามชุดสีแดงมงคลช้าๆ
“ข้ารักท่านเจ้าค่ะ”
ไม่กล้าบอกรักต่อหน้าแม่ทัพหยางซีถิง ทำได้เพียงบอกรักต่อหน้าชุดเจ้าบ่าว แม่ทัพผู้เกรียงไกรแห่งแดนใต้ย่อมเหมาะสมกับบุตรสาวคนเล็กของเสนาบดีกรมคลัง
สตรีไร้หัวนอนปลายเท้าเช่นนางไม่อาจเอื้อมมือไปฉุดรั้งเพียงเพราะคำว่ารักที่ดูโง่เขลา
นี่จะเป็นการร่ำลาครั้งสุดท้าย หวังอ้ายซินยอมรับว่านางขลาดเขลาเกินกว่าจะพบหน้าบุรุษผู้เป็นบิดาของบุตรในครรภ์
ทว่า...
จู่ๆ คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันนางยกหลังมือขึ้นเช็ดหยาดน้ำตา ก่อนจะชักกริชออกมาแล้วหมุนตัวหันไปทางด้านหลังอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่ผู้มาทีหลังยกมือขึ้นปัดป้องคมกริชเอาไว้ได้
“ทะ...ท่านแม่ทัพ”
หวังอ้ายซินรีบเก็บกริชสั้นอย่างรวดเร็ว ก่อนจะถอยหลังแล้วโค้งศีรษะทำความเคารพผู้เป็นนาย
แม่ทัพหยางซีถิงเป็นผู้เดียวที่มีวรยุทธ์เทียบเท่าหรืออาจเหนือกว่านางซึ่งมิอาจหาข้อสรุป เพราะทุกครั้งที่ประลองก็มักจะผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะมาโดยตลอด ดังนั้นการมาของเขาจึงทำให้นางมิอาจรับรู้ล่วงหน้า แต่จะสามารถรู้ได้เมื่อเขาเข้ามาใกล้เกือบประชิดตัว
ตึก! ตึก! ตึก!
นักฆ่าสาวได้แต่หวังว่าเขาจะไม่ได้ยินคำบอกรักที่แสนโง่งมของนางเมื่อครู่ ไม่หรอก...เขาน่าจะไม่ได้ยิน เพราะท่าทางของเขาในเวลานี้นั้นเรียบเฉยไม่แสดงอาการใดๆ เลย
“อาซินเงยหน้าขึ้น”
หวังอ้ายซินอึกอักแต่จำต้องยอมเงยหน้าตามคำสั่งของผู้เป็นนาย
“ใครทำร้ายเจ้า!”
น้ำเสียงห้วนตะคอกถาม ฝ่ามือใหญ่ประคองใบหน้านวลแผ่วเบา
“ข้าแค่หกล้มเจ้าค่ะ”
หญิงสาวไม่คิดตอบ เพราะถึงอย่างไรคุณหนูว่านก็กำลังจะกลายเป็นฮูหยินของท่านแม่ทัพ สุนัขรับใช้อย่างนางมิได้สลักสำคัญใดๆ
หยางซีถิงขมวดคิ้วมุ่น รู้ดีว่าคนตัวเล็กเบื้องหน้าดื้อดึงเพียงใด หากนางไม่ตอบต่อให้เอามีดมาง้างปากนางก็ไม่มีวันตอบ แต่แม่ทัพหนุ่มก็เดาได้ไม่ยากว่ารอยฝ่ามือบนแก้มทั้งสองข้างเป็นฝีมือของใคร
‘ข้าให้เกียรติเพราะนางเป็นบุตรสาวของเสนาว่าน การแต่งงานนี้ก็เพื่อความมั่งคั่งของทั้งสองตระกูล ต่างฝ่ายต่างได้ประโยชน์ แต่ว่านข่าลี่กลับกล้าวางอำนาจทำร้ายคนของข้าถึงเพียงนี้เชียวหรือ... นางช่างไม่รู้จักเจียมตนเสียเลย!’
เขาขบสันกรามเอาไว้แน่นก่อนจะหมุนกายเดินไปหยิบตลับยาที่ตู้ข้างเตียงนอนออกมา
“อยู่นิ่งๆ”
เขาดุเมื่อเห็นว่านางกำลังขยับถอยหนี จากนั้นจึงค่อยๆ แต้มยาลงบนแก้มนวลแผ่วเบา ทว่าทันทีที่ปลายนิ้วแตะแก้มหยาดน้ำตาจากดวงตาคู่สวยก็ร่วงเผาะอย่างไม่อาจควบคุม
“เจ็บมากหรือ”
เขาใช้ปลายนิ้วอีกข้างค่อยๆ เกลี่ยน้ำตาออกจากนวลแก้มแผ่วเบา
“เจ้าค่ะ...เจ็บมาก”
