12 - ไม่อยากให้ไป
“อยากเจ็บตัวว่างั้น”รอยยิ้มละมุนละไมของสาวน้อยบนตักของตนก็ยิ่งทำให้เขาอยากจะกระทำชำเราร่างกายเธอเสียให้ยับดั่งใจนึกนัก แต่ทว่ากลัวเหลือเกินว่าร่างบอบบางจะทนรับความเจ็บปวดเหมือนคราวก่อนไม่ไหว
“ไม่ค่ะ! แต่ถ้าคุณทำไม่แรงหนูจะยอมดีๆ”น่ารักเกินไปแล้วเด็กคนนี้~ ดูถ้อยคำและน้ำเสียงอันแสนใสซื่อไร้เดียงสานั่นสิมันทำให้ลุ่มหลงเธออีกเท่าตัว ทว่าจอมเย็นชายังคงตีหน้านิ่งมองดวงหน้าหวานกับลักยิ้มบุ๋มของแก้มทั้งสองข้าง
“อย่าทำแบบนี้แม่นางบำเรอน้อยของฉัน!!”
“หนูหิวแล้วไปกันเถอะค่ะ”ทำไมตำแหน่งที่เขายัดเหยียดมาให้มันทำให้เธอเจ็บจี๊ดที่กล่องดวงใจ ทว่าสิทธิ์ในตอนนี้ใช่ว่าจะงอแงหรือต่อรองได้
กลัวเหลือเกินว่าผู้เป็นพ่อจะรับรู้เรื่องวันนั้นที่เกิดขึ้น ท่านคงจะผิดหวังเสียใจ ที่ลูกสาวเพียงคนเดียวทำตัวแหลกเหลว เฮ้อ~ เธอเองก็ไม่เข้าใจความรู้สึกตัวเองเหมือนกันว่าทำไมต้องเข้ามาอิทธิพลต่อชีวิตเขาเช่นนี้
คริสโตเฟอร์ยกร่างบางลงจากตัวเพื่อให้เจ้าหล่อนทรงตัวยืนบนพื้น ก่อนที่ร่างสูงโปร่งจะลุกขึ้นตวัดขาเดินนำเธอออกจากทำงานห้องทำงานใหญ่
“อ้าวคุณคริสขา~ รอหนูด้วยสิ”
ROMANTIC RESTAURANT
“มานี่มา!”เมื่อเดินเข้ามาในร้านอาหารที่เขาคิดว่าบรรยากาศดีไม่น้อยก็ต้องหงุดหงิดขึ้นมาทันควัน สายตาหลายคู่ของผู้ชายทั้งหลายจ้องมายังเด็กน้อยของเขาจนอยากจะเข้าไปควักลูกตาพวกมันออกมาเสีย
“อะ...โอ๊ย”
“เดินช้าชะมัด”ชายหนุ่มกระชากข้อมือเล็กเพื่อให้เธอเดินมาเขามาติดๆ ทว่าไม่นานคริสโตเฟอร์ก็เลื่อนมือโอบไหล่บอบบางเอาไว้แสดงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ
“คุณหึงเหรอคะ”เนตรอักษรถามพลางหัวเราะคิกคักอย่างชอบใจอาการที่ชายหนุ่มแสดงออกมา หากจะให้คิดเข้าข้างตัวเองเธออยากให้เขาหึงหวงมากกว่า
“ใครหึงเธออย่าเข้าข้างตัวเอง”
“...”
“แล้วกระโปรงน่ะไม่มียาวๆ เหรอ เป็นนักเรียนแต่งตัวให้มันเรียบร้อยด้วย!”ไม่ได้หึงหรือหวงจริง! แค่ไม่ชอบสายตาชายอื่นที่มองมายังต้นขาขาวๆ สวยๆ ของเธอก็เท่านั้น
“ขาหนูสวยนิค่ะก็อยากโชว์บ้าง.....”
“อยากโชว์ค่อยถอดโชว์ฉันคนเดียวพอ”ถ้อยคำของเธอแทบทำให้สติของเขาแทบแตก อยากจะบีบคอสวยๆ นั้นให้ขาดอากาศหายใจนัก พูดมาได้ไม่อายปากความเป็นกุลสตรีที่คนไทยชอบพร่ำลูกหลานในตัวเธอไม่มีบ้างเหรอ
“...”เนตรอักษรได้แต่เม้มปากเป็นเส้นตรงเมื่อได้ยินคำที่ชายหนุ่มเปล่งออกมา
“เธอนั่งตรงนั้นแล้วกัน”คริสโตเฟอร์เลือกให้หญิงสาวหันหลังให้ทุกคน เนื่องจากว่าเขาไม่ชอบให้ใครจ้องมองสาวน้อยคนนี้ไม่ว่าจะเป็นแผ่นหลังหรืออะไรก็ตาม
ความรู้สึกหวงแหนเกิดขึ้นหลังจากที่ได้ครอบครองเรือนร่างอันแสนเย้ายวนซ่อนรูปของเธอ กลัวเหลือเกินว่าหัวใจของเขากำลังถูกแม่นางบำเรอตัวน้อยที่เขายัดเหยียดสถานะอย่างกล้ำกลืนร่ายมนต์ให้ลุ่มหลงจนยากเกินจะถอนตัวถอนใจ
“คุณคริสขา~ นับจากพรุ่งนี้ไปหนูคงมาหาคุณน้อยลงนะคะ”อะไรกันหลังจากวันนั้นเขาก็ได้พบเธอแค่ครั้งเดียว ยังมีหน้ามาบอกอีกว่าอาจจะมาหาน้อยลง เธอจะสื่อถึงอะไรให้เขาไปหางั้นหรือ
“นางบำเรอมีสิทธิ์ต่อรองด้วยเหรอ!”
“หนูไม่อยากเป็นนางบำเรอนิคะ”หญิงสาวก้มหน้างุดพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ทำไมเขาต้องบอกว่าเธอคือนางบำเรอด้วย ทั้งที่สถานะนี้มันไม่ต่างจากผู้หญิงที่ใช้ร่างกายหากิน หากเปรียบเป็นเช่นนี้เธอคงยิ่งกว่าโสเภณีที่เขาไม่มีอะไรจะมอบให้เลย
“แล้วอยากเป็นอะไร?”
“ไม่อยากเป็นอะไรเลยค่ะ อยากเป็นแอร์โฮสเตสอย่างเดียว”คริสโตเฟอร์ถอนหายใจอย่างไม่ได้ดั่งใจ เมื่อคำตอบของเธอไม่เป็นที่น่าพอใจสำหรับเขาเลยสักนิด ความฝันของเธอมันยิ่งใหญ่คับอกหรือไงกันก็คงงั้นเพราะสองมือเขากุมยังล้นขนาดนั้น
“...”
“หนูจะต้องเรียนภาษาเพิ่มเติมน่ะค่ะ ไม่แน่หนูอาจจะขอพ่อกลับไปเรียนที่เมืองไทย”เรียนภาษาเพิ่มเติมงั้นหรือ! คำตอบแรกมันไม่ทำให้เขาตกใจเท่ากับประโยคต่อมาว่าเจ้าหล่อนจะกลับไปเรียนที่ประเทศไทย
“อืม!! นั่นมันเรื่องของเธอ”จอมเย็นชาตอกกลับอย่างคนไร้ความสึกใดๆ ทั้งที่หัวใจดวงแกร่งไหวยวบไปกองที่ตาตุ่ม อีกไม่นานไม่ใช่หรือเธอก็จะจบไฮสคูล แต่มันไม่เกี่ยวอะไรกับเขาเลยนิจะไปคิดทำไมเธอจะไปไหนมันเรื่องเธอนิ
“ขออนุญาตรับเมนูอาหารครับ”เสียงของพนักงานชายดังขึ้นราวกับเป็นระฆังแห่งความอัดอั้นการสนทนาของทั้งคู่จบลงในทันที ก่อนที่ต่างฝ่ายจะเปิดเมนูอาหารและสั่งตามที่ตนชอบ
รอไม่นานอาหารน่าตารับประทานก็ถูกจัดเสิร์ฟโดยใช้เวลาไม่ถึงสิบนาทีในการจัดแจง คริสโตเฟอร์ดื่มไวน์ยี่ห้อดีที่แพงที่สุดในร้าน เพื่อลืมถ้อยคำที่หญิงสาวบอกกล่าวเขาเมื่อครู่
หรือเขาจะกลับไปบริหารสายการบินที่เมืองไทยดีนะ แล้วมีเหตุผลอะไรล่ะที่เขาจะต้องไป ทั้งที่เขาเป็นคนบอกบิดามารดาและพี่ชายทั้งสองคนว่าตนอยากจะใช้ชีวิตในอิตาลีมากกว่า
เนื่องจากถูกส่งมาอยู่ที่นี่นานหลายปีจวบจนเรียนจบการท่องเที่ยวจึงบริหารสายการบินที่อิตาลีแทน ส่วนธุรกิจต่างๆ ก็ดูแลอย่างไม่ขาดตกบกพร่องเช่นกัน
“พรุ่งนี้วันเสาร์มีเรียนหรือเปล่า”หลังจากนั่งทานอาหารไปสักพัก คริสโตเฟอร์ก็เปิดการสนทนาขึ้นมาใหม่ ไม่รู้สิปกติจะเป็นผู้หญิงมากกว่าที่เอ่ยคุยเรื่องทั่วไปจนเขารำคาญ
“ไม่ค่ะ! เรียนพิเศษแค่ตอนเย็นเท่านั้น”
“มีญาติอยู่ที่เมืองไทยเหรอ”ตามประวัติที่เขาอ่านเนตรอักษรไม่มีญาติคนไหนเลยที่ไทย เพราะผู้เป็นแม่เป็นกำพร้าที่สถานสงเคราะห์รับเลี้ยงและได้แต่งงานกับพ่อของเธอจึงไม่สามารถทราบได้ว่ายังมีญาติฝ่ายมารดาหรือเปล่า
ส่วนพ่อของเธอนั้นตัดขาดกับพี่น้องทุกคนเนื่องจากว่าเป็นตระกูลมหาเศรษฐี แต่ตัดสินใจยกทรัพย์สมบัติให้พี่น้องรวมสายเลือดทั้งหมดเพื่อใช้ชีวิตอย่างสงบสุขอยู่กับธรรมชาติ บ้างานจนแม่ของเธอตัดสินใจเลิกรากันไปพ่อของเธอจึงมาปรักหลักที่อิตาลี
“ไม่มีเลยค่ะ! แต่ไม่อยากอยู่อิตาลีแล้ว...”อยู่ไปก็เหมือนฝืนใจตัวเองเพราะตลอดหนึ่งปีกว่าๆ ก็ทรมานใจแทบขาด อยากกลับไปอยู่บ้านหลังเก่าที่มีกลิ่นอายความอบอุ่นที่ผู้เป็นแม่มอบให้มากกว่า ถึงแม้ท่านไม่อยู่แล้วก็ตาม
“ไม่อยากอยู่กับฉันเหรอ”วาจาที่พลั้งเผลอพูดออกมาทำให้เด็กสาวเอียงคอไปมาอย่างไม่เข้าใจว่าเขาสื่อถึงอะไรกันแน่
