ep17
“อะไรกัน ท่านมิได้สถิตอยู่กับแหวนนาคานี้หรือ” อนินนาถฉงนใจนัก เมื่อเขามาพร้อมแหวน หากละทิ้งแหวนไป ย่อมไม่ติดตามตัวเธอ
“ก็ใช่ เราเคยสถิตอยู่กับแหวน แต่ยามนี้ เราเจอคนที่เรารอคอยแล้ว พระธำมะรงค์ย่อมไม่จำเป็น ฉะนั้น เจ้าสวมพระธำมะรงค์ไว้เถิด เพราะอย่างไรเสีย เราก็จะอยู่ข้างเจ้า”
“ฉันไม่มีทางเลือกใช่ไหม” อนินนาถคอตกบ่นกับตัวเอง แต่ก็แอบดีใจเล็ก ๆ เพราะแหวนวงนี้ถูกใจเธอมาก จนไม่อยากคืน เธอจึงทำเป็นยอมจำนน ก้มลงสวมแหวนคืนเหมือนเดิม จึงไม่เห็นบุรุษผู้นั้นลอบอมยิ้ม แหวนที่ใส่เข้าไปยังนิ้วนางข้างขวาเหมือนเดิมนั้น ทำให้เขาใจชื้นขึ้น นี่ถ้านางไม่ยอมเชื่อ ขว้างทิ้งไม่ไยดี เขาจะทำอย่างไร
“แล้วท่าน เป็นใครมาจากไหน ทำไมถึงจะต้องมาตามฉัน” น้ำเสียงที่พูดคล้ายเหนื่อยล้ามากมาย หากใครได้เจอเหตุการณ์เหมือนเธอ คงรับรู้ได้ว่า กว่าจะผ่านวันวานเหล่านั้นมาได้ เธอเหนื่อยล้าใจแค่ไหน
มนตราอัปสราที่สะกดเธออยู่ในห้วงนิทรา และรับรู้เรื่องราวเจ็บปวดในอดีต หากไม่ได้หลวงพ่อ เธอคงไม่ฟื้นและกลับมานั่งอยู่ตรงนี้ แต่ยังไม่ทันไร วิญญาณจากแหวนนาคาวงนี้ กลับมาขอติดตามเธออีก นี่เธอจะกลับไปมีชีวิตอย่างคนธรรมดาไม่ได้เชียวหรือ
“เรามาเพื่อเจ้า ไยต้องกังวลขนาดนั้น” เสียงคนพูดนุ่มหู ดูคุ้นเคยเมื่อนานแสนนานมาแล้ว
อนินนาถเพ่งมองบุรุษหนุ่ม ใบหน้าเข้ม คมสัน ดวงตาคมกล้าที่ส่องประกายเหมือนยิ้มได้ เครื่องแต่งกายคล้ายคุ้นเคย แต่เธอก็จำไม่ได้
“ทำไมต้องมาเพื่อฉัน” อนินนาถถามแผ่วเบา
บุรุษผู้นั้น เพ่งมองอนินนาถ ยิ้มมุมปาก หากแต่ไม่เอ่ยอะไรออกมา อนินนาถจ้องตอบ ไม่เกรงกลัว จนทำให้เขาเสมองทางอื่น และเยื้องย่างด้วยท่วงท่างามสง่าไปที่เตียงนอนของเธอ เพื่อเปลี่ยนเรื่อง
“บรรจถรณ์ นี้งามนัก” ว่าแล้วก็ทรุดตัวลงนั่ง หันไปยิ้ม
“เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน” อนินนาถใคร่ครวญในขณะที่เขาสำรวจห้อง
“ฉันจะทำบุญ ทำสังฆทาน อุทิศส่วนบุญ ส่วนกุศลไปให้ อยากได้อะไรเป็นพิเศษล่ะ” แม้ว่าอนินนาถจะดูผ่อนคลายลง หากแต่ก็ยังระแวดระวังตัวอยู่
นี่นาง ไม่รู้ถึง จิตที่ผูกกันไว้ ดูทีรึ จะทำบุญอุทิศส่วนกุศล ให้เราไปเกิดเสียดังนั้น แกล้งเสียหน่อยก็ดี
“สังฆทาน ถ้าเจ้าจะทำให้เรา พระรูปอื่นเราไม่รับ เรารับได้แต่เจ้าต้องถวายกับหลวงพ่อของเจ้าเท่านั้น”
“จะได้อย่างไรกัน หลวงพ่อออกธุดงค์ กลับเมื่อไหร่ก็ไม่รู้”
“ถ้าอย่างนั้น ของที่เจ้าจัดเตรียมเพื่อเรา ย่อมไม่ถึงเรา”
“ทำไมล่ะ ฉันก็ถวายกับพระสงฆ์ 4 รูป ตามหลักการทำสังฆทานอยู่แล้ว” อนินนาถหงุดหงิด อากาศภายในห้องเย็นฉ่ำ แต่ยามนี้เธอร้อน
“แต่เราจะรับเพียง การถวายต่อหลวงพ่อเท่านั้น” บุรุษหนุ่มยืนยัน
“มีด้วยหรือ สัมภเวสี อย่างท่าน เลือกรับของที่อุทิศบุญไปให้ได้ด้วยเหรอ”
บุรุษจากอดีต อมยิ้มในหน้า นางก็ฉลาดไม่เบา แม้บวชชี ถือศีลใน พุทธศาสนาได้ ไม่กี่เพลา แต่ก็ไม่ลึกซึ้งเหมือนกับที่เขาสัมผัสมานับพันปี ไม่มีใครปฏิเสธผลบุญที่ผู้ให้ตั้งใจอุทิศให้หรอก มีแต่ผลกรรม ที่กระทำกันไว้ จะอโหสิ หรือไม่อโหสิ
“ท่านยิ้มทำไม”
“เราชื่นชมเจ้า มิได้ดอกรึ สัมภเวสีอย่างเรา เจอคนใจดี ย่อมยินดีเป็นธรรมดา”
สัมภเวสี ... นี่เรากล่าวหาเขาเกินไปหรือไม่ เขาอาจเป็นเทพคุ้มครองที่สถิตอยู่กับแหวนนาคา เพื่อปกป้องคนที่เป็นเจ้าของก็ได้ อนินนาถคิด พลางนึกอยากขอโทษที่เรียกเขาว่า สัมภเวสี
“ผู้ที่ไม่ได้หลุดพ้นจากวัฏสงสาร คือ สัมเภสี ทั้งสิ้น” เสียงทุ้มนุ่ม กล่าวขึ้นลอย ๆ ราวกับนั่งอยู่ในใจของ อนินนาถ
“ท่านรู้ว่า ฉันกำลังคิดอะไร”
“เปล่า เจ้าคิดดังต่างหาก เราเลยได้ยิน” เสียงเจือหัวเราะ ก่อนร่างกำยำจะล้มตัวลงนอนในลักษณะตะแคงข้าง สายตายังจดจ้องมาที่อนินนาถที่เบิกตาโต
“ท่านอ่านความคิดของฉันได้”
“ไม่ได้อ่าน บอกแล้วไงล่ะว่า เราไม่ได้อ่าน เป็นเจ้าเองต่างหากที่คิดดัง จนเราได้ยิน”
“งั้นท่าน เป็นสัมภเวสี ฉันพูดถูกแล้ว และไม่จำเป็นต้องขอโทษ”
บุรุษผู้มาเยี่ยมเยียนในห้วงรัตติกาล เลิกคิ้ว เหมือนแปลกใจในท่าทีของหญิงสาว แต่ครู่เดียวก็หัวเราะชอบใจ
ก๊อก ๆ ๆ เสียงเคาะประตูรัวเร็ว
“นิน นิน เป็นอะไรหรือเปล่า เปิดประตูเร็ว” เสียงร้อนรนตะโกนอยู่หน้าประตู
บุรุษผู้มาเยือน ลุกขึ้นจากบรรจถรณ์ มองหน้าอนินนาถยิ้มกริ่ม ขณะที่มองไปทางหน้าต่าง แสงสว่างร่ำไรจากโค้งฟ้ากำลังเคลื่อนมาแทนที่รัตติกาล คงต้องไปแล้ว
“เดี๋ยว “อนินนาถคว้ามือเอาไว้ ราวจะยื่นจับบุคคลที่อยู่เบื้องหน้า แต่ก็คว้าได้เพียงอากาศ
“ท่านชื่ออะไร”
บุรุษอยู่ตรงหน้า แย้มยิ้ม เอื้อนเอ่ยคำแผ่วเบา แต่หนักแน่น
“ลักษมินทรา เราชื่อ ลักษมินทรา”
