บท
ตั้งค่า

Chapter 30

โหยหวนถูกซัดปลิวกระเด็นไปพร้อมกับดนตรีพิณ คร่ำครวญที่เห็นเพื่อนโดนเล่นงาน ก็ตั้งใจว่าจะเข้าไปช่วย แต่บุญธรเข้ามาขวางด้วยการอัดกำปั้นกระแทกเข้ากลางอก มันรู้สึกจุกและสั่นสะท้านไปทั่วร่าย วินาทีนั้นมันคิดแค่ว่าต้องหนี แต่ร่างกายกลับไม่ทำงานตามที่สมองสั่งการเสียอย่างนั้น ไม่กี่อึดใจคร่ำครวญก็คืนร่างเดิมกลับมาเป็นมนุษย์

บุญธรไม่หยุดแค่นี้กลับกระหน่ำรัวกำปั้นไม่ยั้ง คร่ำครวญลงไปนอนกองกับพื้น แต่ยุวชนทหารกลับไม่ยอมรามือ ยังคงรัวหมัดใส่ศัตรูไม่มีท่าทีว่าจะหยุด ปกรณ์วุฒิและคณณัฐจำต้องช่วยกันจับแยกบุญธรออกมา มิฉะนั้นคร่ำครวญได้ช้ำในตายแน่ ๆ

"ไอ้ธร พอได้แล้ว" ปกรณ์วุฒิร้องเตือนสติเพื่อน "นายชนะมันแล้ว ขืนต่อยมากไปกว่านี้มันตายแน่"

"ใช่ ปลื้มมันพูดถูก" คณณัฐ์พูดเสริม "เราต้องจับเป็น"

บุญธรที่ได้สติก็พูดแค่ว่า

"นี่สำหรับพี่น้องเพื่อนทหารของกู" 

หลังจากที่ทัพเสริมสามารถบุกทะลวงเข้ามาช่วยฝั่งทีมจ่าสิบเอกแลนเดน ทำให้ตอนนี้ฝ่ายทหาร-ตำรวจกลายเป็นฝ่ายได้เปรียบ กอปรกับตัวการใหญ่สามคนอย่างสุระ ปลาทอง และสองมือสังหารนามคร่ำครวญกับโหยหวน ต่างถูกปราบและโดนจับกุม บรรดาลูกน้องคนอื่น ๆ จึงยอมวางอาวุธและมอบตัวแต่โดยดี

ทว่าถึงแม้พวกเขาจะได้รับชัยชนะ แต่ก็ไม่มีใครรู้สึกยินดีกับมันเลย โดยเฉพาะจ่าสิบเอกแลนเดนและร้อยตำรวจโทหลี่เอินไหล ทั้งสองต่างสูญเสียลูกน้องผู้ติดตามในศึกนี้ รวมทั้งสองคนคุ้นเคยของหลี่ชิงชิง ร่างของสิบตรีแจ็คจะถูกนำส่งกลับไปหาครอบครัว เช่นเดียวกับร่างของสิบตรีจางเสิ้งและสิบตรีหานเทียน ซึ่งหลี่ชิงชิงอาสาที่จะเป็นคนส่งข่าวเรื่องนี้เอง

สภาพร่างกายปรมัตถ์ไม่นึกห่วงเท่าไหร่ แต่บาดแผลทางใจคงต้องใช้เวลาไปพักใหญ่ เรื่องนี้หลี่ชิงชิงต้องโทษตัวเอง ที่ไม่อาจปกป้องสหายร่วมรบได้ เขายอมรับว่าไม่ถนัดในการปลอบคน จึงเลือกจะนั่งเงียบ ๆ อยู่ข้างหลี่ชิงชิงแทน เพื่อเป็นการบอกว่า "ฉันจะอยู่ตรงนี้เอง" ครู่ต่อมามือของเธอก็เอื้อมมาจับมือปรมัตถ์

"ฉันพยายามที่จะไม่เป็นตัวถ่วงพวกเขา" เธอเอ่ยเสียงสั่น "ถึงได้มั่นฝึกฝนทั้งพลังและเพลงกระบี่... แต่สุดท้ายฉันก็ช่วยใครไม่ได้เลย"

"เธอทำดีที่สุดแล้วนะ อย่าโทษตัวเองเลย" ปรมัตถ์พูด เขาไม่ชอบเลยที่เธอกลายเป็นแบบนี้ แต่ขณะเดียวกันเขาก็ไม่คิดตำหนิ ยามช่วงเวลาที่หลี่ชิงชิงกำลังอ่อนแอ

หลี่ชิงชิงกำมือแน่น "เราต้องไม่ให้พวกเขาตายเปล่าเด็ดขาด" 

"ใช่ ศึกนี้พวกเราต้องชนะ" ปรมัตถ์พูด

ไม่นานปกรณ์วุฒิก็วิ่งมาสมทบกับทั้งสอง ด้วยสีหน้าตื่นตระหนกมาก ๆ และเหนื่อยหอบจากการวิ่ง

"เกิดเรื่องแล้ว บอม ชิงชิง" ปกรณ์วุฒิพูดเสียงหอบ

"ใจเย็น ๆ ปลื้ม" ปรมัตถ์ว่า "ค่อย ๆ พูด เดี๋ยวขาดอากาศตายพอดี"

"คุกที่ขังสวี่หมิงล่างถูกโจมตี"

คำตอบที่ได้ยินเล่นเอาทั้งปรมัตถ์กับหลี่ชิงชิง ต่างลุกขึ้นยืนพร้อมกัน

"อะไรนะ !"

+++++

สุทัศน์ทั้งเขวี่ยงและทำลายข้าวของ รวมทั้งทุกสิ่งทุกอย่างที่ขวางหูขวางตา บรรดาเหล่าผู้ติดตามต้องพากันถอยรูด มีเพียงสุธนที่ยังนั่งนิ่งไม่แสดงอารมณ์ใดออกมา ย้อนกลับไปเมื่อประมาณสิบห้านาทีก่อน สองพี่น้องตระกูลปลาทอง ได้รับข่าวสารที่ส่งมาเพื่อแจ้งว่า บัดนี้สุระได้พ่ายแพ้ให้กับทางฝั่งศัตรูไปเสียแล้ว รวมไปถึงสิชลลูกน้องคนสนิท ที่ส่งไปช่วยสุระก็โดนจับเป็นที่เรียบร้อย

เป็นเหตุให้สุทัศน์โกรธจัดจนไม่อาจควบคุมได้ จึงอาละวาดทำลายทุกอย่างที่ขวางหน้า ตรงข้ามกับสุธนที่ยังสงบนิ่งอยู่ แต่ใครเล่าจะรู้ว่าแท้จริงแล้ว ไฟแห่งความแค้นและโทสะมันลุกโชติไม่แพ้กับความบ้าคลั่งของสุทัศน์ อย่างไรก็ตามคำสั่งจากสวี่เฟิ่งก็ส่งมาถึง ใจความเขียนแค่ว่า "ถึงเวลาปลดปล่อนเทพอัคคีเมฆา" สองพี่น้องรับรู้ได้ในทันทีว่า

ถึงเวลาแล้วที่สวี่หมิงล่างต้องออกมาจากเรือนจำ สุธนจึงออกคำสั่งให้ลูกน้องใต้สังกัดตน เตรียมกำลังพล แล้วรีบตามไปสมทบกับสมาชิกคนอื่น ๆ ครู่ต่อมาไม่นานลูกน้องคนหนึ่ง วิ่งหน้าตื่นมารายงานกับสุธนว่า ทางฝั่งแก๊งขวานซิ่งสาขาใหญ่เพิ่งจะสูญเสียสมาชิกสองคนสำคัญไป นั้นคือ อาเลสซันโดร กับ เจอโรม เจ้าของสมญา เฮอร์คิวลิส และ โอดิสเซียส 

ทั้งสองซึ่งถือว่าเป็นขุนศึกคนสำคัญของแก๊งใหญ่ ทว่าบัดนี้มันทั้งคู่ถูกปราบลงแล้ว เท่ากับฝ่ายแก๊งใหญ่เสียเปรียบมากขึ้น สุธนคิดว่าหากนายน้อยรู้ข่าว คงสะใจเป็นแน่แท้และด้วยสถานการณ์เจอ พวกฝั่งแก๊งใหญ่คงจะยังไม่พุ่งเป้ามาทางฝั่งพวกตนแน่ สุธนหันไปทางลูกน้องคนสนิท

"ส่งข่าวนี้ไปให้นายน้อย" สุธนบอก "กูเชื่อว่านายน้อยต้องพึ่งพอใจกับข่าวนี้"

"รวมทั้งนายท่านด้วย" สุทัศน์เสริม

"ใช่ รวมทั้งนายท่าน"

สองพี่น้องคว้าขวานคู่ใจและเดินนำเหล่าสมุนผู้ติดตาม ตรงไปยังรถคันสีดำที่จอดอยู่เบื้องหน้า สุธนตะโกนบอก "ไปคฤหาสน์นายน้อยสวี่เฟิ่ง !" ทั้งหมดพากันเคลื่อนพลออกเดินทางทันที

ด้านฝ่ายของทหาร-ตำรวจที่สามารถเอาชนะศัตรู และยึดปีกตะวันออก-ตกของเมืองไว้ได้สำเร็จ รวมทั้งจับกุมปลาตัวใหญ่อย่างสองมือสังหาร โหยหวน และ คร่ำครวญ รวมทั้งสุระลูกชายเพียงคนเดียวของสุธนด้วย ทั้งหมดถูกนำตัวขึ้นรถไป ขณะเดียวกันหลี่ชิงชิงก็แยกกับทีมจ่าสิบเอกแลนเดน เพื่อนำร่างเพื่อนร่วมรบไปส่งถึงมือญาติ เธอกล่าวกับปรมัตถ์แค่เพียงว่า 

"เสร็จธุระแล้ว ฉันจะรีบกลับมา" หลี่ชิงชิงบอก "ระหว่างนี้อย่าทำอะไรเสี่ยง ๆ คนเดียวล่ะ" เธอกำชับ

ปรมัตถ์พยักหน้า "ฉันจะระวังตัวไว้"

เขายืนดูขบวนรถของหลี่ชิงชิงแล่นจากไป คณณัฐ์เดินมาตบไหล่สหาย ปกรณ์วุฒิอดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมปรมัตถ์ ถึงเลือกที่จะอยู่ทำภารกิจที่นี่ แทนที่จะไปกับหลี่ชิงชิงเพราะดูรูปการแล้ว สภาพจิตใจแบบนี้ ไม่น่าจะทำคนเดียวไหวได้ ซึ่งเหตุผลของปรมัตถ์คือ แม้เขาจะห่วงหลี่ชิงชิงก็จริงแต่มันไม่ควรสำคัญกว่าภารกิจตรงหน้า

อีกประการหลี่ชิงชิงเคยเจอสถานการณ์ที่แย่กว่านี้มาแล้ว ปรมัตถ์เชื่อว่าเธอรับมือกับมันได้อย่างแน่นอน ร้อยเอกหลิวเสี่ยวเสี่ยวเรียกรวมพลลูกทีม เพื่อเตรียมรับมือกับสถานการณ์ที่เรือนจำหมายเลขสามหกแปด มันเป็นเรือนจำที่ออกแบบมาเพื่อขังพวกนักโทษเพลเยอร์ หรือผู้มีพลังพิเศษซึ่งหนึ่งในกลุ่มนักโทษ มีสวี่หมิงล่างรวมอยู่ด้วย

ตามข้อมูลที่พวกเขาได้มาเรือนจำนี้มีระบบรักษาความปลอดภัย ที่เรียกได้ว่าเข้มงวดมากกว่าเรือนจำทั่วไปเสียอีก และผู้คุมทุกคนที่นี่เป็นเพลเยอร์เหมือนกัน การที่เรือนจำแห่งนี้ถูกโจมตีแสดงว่าฝ่ายศัตรูมีกำลังพลมากกว่า หรือไม่ก็มีพลังมานาที่แข็งแกร่งมาก พอฟังมาถึงตรงนี้บุญธรกลับคิดต่างออกไป

เขานึกย้อนกลับไปที่ห้องประชุมครั้งแรก สวี่หมิงล่างสังหารผู้คนไปมากมาย และยอมให้จับกุมโดยไม่มีท่าทีขัดขืน อีกทั้งสวี่เฟิ่งที่ขึ้นมาเป็นผู้นำกลับไม่เคบื่อนไหวหรือแสดงท่าทาง จะส่งคนมาช่วยพ่อของตนเอง บุญธรยอมรับว่าเขาเอะใจตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว

หรือทั้งหมดนี่คือสิ่งที่สวี่หมิงล่างรอให้เกิด ดีไม่ดีในเรือนจำอาจมีเส้นสายของฝั่งแก๊งใหญ่แฝงอยู่ เนื่องด้วยความขัดแย้งภายในที่มีมายาวนาน 

"ธร นายคิดอะไรอยู่หรือเพื่อน" ปกรณ์วุฒิหันมาถาม "เห็นนั่งหน้าเครียดบางอย่าง"

"ฉันแค่สงสัยน่ะ" บุญธรว่า

"สงสัยเรื่องอะไร" ปรมัตถ์หันมาถามบ้าง

บุญธรอธิบายให้สามสหายรวมทั้งคนอื่น ๆ ในทีมฟังว่า "พวกนายลองนึกภาพตามฉันนะ สมมุตินะว่าถ้าผู้กองหลิวหรือหมวดกู้ถูกข้าศึกจับตัวไป พวกนายจะทำยังไง"

"ไม่เห็นจะยากเลย" สิบตรีโทนีพูดขึ้น "ก็ต้องไปช่วยทั้งสองอยู่เลย"

"ใช่ เพราะทั้งคู่คือหัวหน้าและรองหัวทีม ยังไงเราก็ต้องไปช่วยอยู่แล้ว" บุญธรว่า

คณณัฐ์มองหน้าคนข้าง ๆ "นายจะบอกอะไรพวกเรากันแน่" 

"ที่ฉันอยากบอกคือ พวกนายไม่สงสัยเลยเหรอว่าคนระดับอย่างสวี่หมิงล่าง ซึ่งเป็นนายใหญ่ของแก๊งขวานซิ่งคุมเมือง โดนจับตัวไปขังในเรือนจำใจคอลูกชาย จะไม่ส่งลูกสมุนมือดีมาแหกคุกช่วยพ่อเลยหรือ"

ทั้งหมดคิดตามคำอธิบายของบุญธร ปรมัตถ์ครุ่นคิดสิ่งที่สหายพูดมันก็น่าสงสัยจริง ๆ อิทธิพลของสวี่หมิงล่างเรียกได้ว่า สามารถถ่มน้ำลายเหยียดหยามกฎหมาย และศักดิ์ศรีของตำรวจกับประชาชนได้ไม่ยากเย็น ต่อให้มันโดนจับยัดคุกแต่ด้วยอำนาจเงินตรา สวี่หมิงล่างก็สามารถเดินออกมาได้อย่างอิสระแล้ว แต่มันกลับไม่ทำเช่นนั้น

และทุกคนก็เริ่มเข้าใจในสิ่งที่บุญธรพูดได้ อีกทั้งจู่ ๆ คณณัฐ์ยังบอกเสริมด้วยว่า พยายามหาเอกสารหรือข้อมูลอะไรก็ได้ ที่น่าจะเป็นเบาแสบางอย่างที่อาจให้คำตอบแก่พวกเขาได้ว่า ตลอดเวลาที่อยู่ในห้องขัง สวี่หมิงล่างวางแผนอะไรอยู่กันแน่

สองชั่วโมงต่อมาทีมของร้อยเอกหลิวเสี่ยวเสี่ยว ก็มาถึงเรือนจำที่ตอนนี้มีสภาพเละเทะมาก มีร่องรอยของการโจมตีเกิดขึ้น และศัตรูที่พวกเขาจะต้องเจอมิใช่แก๊งขวานซิ่ง หากเป็นบรรดาเหล่านักโทษหลายคน ทยอยหนีออกมาจากเรือนจำ แน่นอนว่าย่อมไม่ใช่เรื่องดีหากพวกมันเข้าไปยุ่งกับประชาชน

"ทุกคน พุ่งเข้าตะลุมบอน !" 

สิ้นคำสั่งของร้อยเอกหลิวเสี่ยวเสี่ยว ทุกคนก็วิ่งตรงไปทางบรรดานักโทษ ที่ทยอยออกมาจากทางเข้า-ออกเรือนจำ พวกมันคือเพลเยอร์จึงนับว่าจับยากพอสมควร ปรมัตถ์ใช้พลังวายุจัดการศัตรูไปได้หลายคน สามนาทีต่อมาเสียงคำรามของร้อยเอกหลิวเสี่ยวเสี่ยว ซึ่งดังมาจากปากทางเข้าเรือนจำ

ปรมัตถ์ถึงกับเซเกือบทรงตัวไม่อยู่ พลางหวนนึกถึงภารกิจที่ตลาดปลาทอง เห็นได้ชัดว่าแม้จะไม่ได้อยู่รัศมีระยะใกล้ เขาก็แทบจะล้มทั้งยืน ไม่อยากนึกภาพเลยว่าถ้าร้อยเอกหลิวเสี่ยวเสี่ยว แสดงพลังแท้จริงอานุภาพของราชสีห์คำราม จะน่ากลัวสะพรึ่งขนาดไหนกัน

"เฮ้ย ! บอม ไหวไหมเพื่อน" ปกรณ์วุฒิวิ่งมาถามปรมัตถ์ หลังจัดการนักโทษไปแล้วสี่คน และเห็นปรมัตถ์ยืนพิงกำแพงเรือนจำพอดี

"โคตรมึนหัวเลย" ปรมัตถ์พูดและพยายามตั้งสติ

ยุวชนทหารคนหนึ่งซึ่งเป็นลูกทีมของร้อยเอกหลิวเสี่ยวเสี่ยว วิ่งตรงมาทางปรมัตถ์และยื่นบางอย่างใส่มือเขา ก่อนจะไปสมทบกับคนอื่น

สิ่งที่อยู่ในมือของปรมัตถ์ คือ ยาดมยี่ห้อตรากบในกะลา

+++++

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel