บท
ตั้งค่า

Chapter 31

ปรมัตถ์และสามสหายเดินเข้าไปด้านในเรือนจำ ทั้งหมดต่างพากันตกตะลึงกับภาพตรงหน้ามาก บรรดาเหล่านักโทษจำนวนมาก นอนแผ่ราบกับพื้นไม่ได้สติ ตอกย้ำอานุภาพที่น่ากลัวของราชสีห์คำรามมากขึ้นไปอีก ปัญหาเรื่องนักโทษคงจัดการได้ไม่ยากเย็น แต่สิ่งที่รบกวนจิตใจทั้งสี่ยุวชนทหารคือ มีบางอย่างกำลังรอคอยพวกเขาอยู่

แต่ทันทีที่ปรมัตถ์ย่างเท้าเข้ามา จิตสังหารของศัตรูก็รุนแรงขึ้นทันตา ราวกับว่ามันหมายหัวเขาอยู่ นั้นแปลว่าเขาต้องระวังตัวให้มากที่สุด ทั้งสี่ตามมาสมทบที่ประตูทางเข้า ซึ่งสภาพเสียหายยับเยิน แสดงว่าผู้บุกรุกไม่ธรรมดา ร้อยเอกหลิวเสี่ยวเสี่ยวหันมาสั่งทุกคนว่าให้คอยระวังกันไว้ ดูเหมือนศัตรูที่แท้จริงจะอยู่ข้างใน

ปรมัตถ์คิดว่าตัวร้อยเอกหลิวเสี่ยวเสี่ยว คงจะรับรู้ได้ถึงจิตสังหารเช่นกัน ตลอดการเดินเท้าเข้าสู่ด้านในของเรือนจำที่ลึกขึ้นไปอีก ซึ่งเท่าที่ทั้งสี่ยุวชนทหารสังเกตคือ ไม่มีนักโทษหลงเหลืออยู่โดยสันนิฐานว่า น่าจะหลบหนีออกไปกันหมดแล้ว ร้อยเอกหลิวเสี่ยวเสี่ยวจึงวิทยุบอกกับทางมือปราบ เผื่อว่าอาจจับกลับมาไม่หมด

"เอาล่ะ เราจะแบ่งทีมกัน" ร้อยเอกหลิวเสี่ยวเสี่ยวหันมาพูดกับลูกทีม "ทีมหนึ่งไปเช็คตามห้องขังว่า มีนักโทษหรือผู้คุมได้รับบาดเจ็บหรือไม่" 

เธอหันมาทางสิบตรีโทนี "โทนีฉันให้นายคุมทีมหนึ่ง ระวังตัวด้วย"

"ครับ" สิบตรีโทนีรับคำสั่ง

"ทีมสองคือนายสี่คน" ร้อยเอกหลิวเสี่ยวเสี่ยวหันมาทางสี่ยุวชนทหารแห่งหน่วยรบพิเศษ "หน้าที่ของพวกนาย คือไปที่สำนักงานผู้คุมค้นหาข้อมูลทั้งหมดของสวี่หมิงล่าง ในช่วงที่โดนขังอยู่ที่นี่"

"รับทราบ" ทั้งสี่รับคำสั่งพร้อมกัน

แต่ก่อนจะแยกย้ายไปทำหน้าที่ ปกรณ์วุฒิหันมาถามหัวหน้าและรองหัวหน้า "แล้วผู้กองหลิวกับหมวดกู้ จะไปไหนครับ"

ร้อยโทกู้เจิ้นหนานยิ้ม "ฉันกับผู้กองหลิวจะไปล่าปลาใหญ่น่ะ"

คำพูดของร้อยโทกู้เจิ้นหนานทำให้ปรมัตถ์มั่นใจว่า มีศัตรูอยู่ในเรือนจำจริง ๆ หลังแจกจ่ายหน้าที่กันแล้ว ทุกคนต่างแยกย้ายไปทำหน้าที่ของตนเอง โดยสี่ยุวชนทหารวิ่งตรงไปทางขวามือซึ่งเป็นทางไปสู่สำนักงานผู้คุมนักโทษ

++++

"ที่นี่ก็เละเทะไม่ต่างจากด้านนอกเลย" คณณัฐ์พูด

ทั้งสี่คนต่างพากันเดินสำรวจภายในสำนักงาน เศษกระดาษเอกสารปลิวว่อนเกลื้อนพื้น โต๊ะ เก้าอี้ และตู้ใส่เอกสารต่าง ๆ ถูกทุบทำลาย บรรดาผู้คุมที่นอนนิ่งบนพื้น ส่วนใหญ่เสียชีวิตกันหมดแล้ว โอกาสหาคนรอดชีวิตจึงยากมาก ๆ ทว่าถึงกระนั้นทั้งสี่ยุวชนทหาร ก็ยังคาดหวังจะยังมีผู้รอดชีวิต หลังเดินมาได้สักพักปกรณ์วุฒิก็เจอจุดน่าสนใจเข้า

"เฮ้ย พวกนายมาดูนี่สิ" 

ทั้งสามหันมาทางที่ปกรณ์วุฒิชี้ให้ดู บนกำแพงของสำนักงาน พบรอยฟันเป็นทางยาวพอสมควร และยังมีอานุภาพทำลายน่ากลัวอีกต่างหาก ตู้ใส่เอกสารกับอาวุธที่เป็นเหล็กกล้าทนทาน ยังถูกฟันขาดครึ่งไม่เหลือดี คณณัฐคิดว่าอาวุธที่ทำให้เกิดรอยขนาดนี้ได้ ถ้าไม่ใช้ดาบเล่มใหญ่ก็ต้องเป็นขวาน ฝั่งปกรณ์วุฒิก็หันไปเห็นสมุดเล่มหนึ่งอยู่บนพื้นใกล้เท้า จึงคว้ามันขึ้นมาเปิดอ่านจึงพบว่า มันคือบันทึกของผู้คุมที่เขียนไว้ ซึ่งมีระบุชื่อเป้าหมายด้วย

ปกรณ์วุฒิจึงเปิดอ่านไปเรื่อย ๆ จนถึงหน้าสุดท้าย แล้วจึงเงยหน้ามองสามสหายของเขา

"ธร ฉันว่าคำสันนิฐานของนายอาจจะถูกก็ได้" ปกรณ์วุฒิพูด

ทั้งสามหันมามองปกรณ์วุฒิเป็นตาเดียว

"นายเจออะไร" บุญธรถาม

"นี่ไงล่ะ" ปกรณ์วุฒิชูสมุดบันทึกในมือ "นี่อาจเป็นหลักฐานอีกชิ้นของพวกเรา" เขาพูดอย่างมั่นใจ "ผู้คุมที่นี่จำนวนหนึ่งรับสินบนจากสวี่หมิงล่าง"

"อะไรนะ !" สามยุวชนทหารประสานเสียงพร้อมกัน

"เดี๋ยวก่อน ฉันขอดูบันทึกเล่มนี้หน่อย"

"ลองอ่านดูเลย"

ปรมัตถ์เดินมาอ่านสมุดบันทึกด้วยตัวเอง ดูเหมือนเจ้าของเล่มนี้ จงใจเขียนลงในกระดาษมากกว่าจะพิมลงในคอมพิวเตอร์ ที่อาจเสี่ยงถูกจับได้ จากเนื้อหาทั้งหมดสรุปได้ว่า สวี่หมิงล่างวางแผนที่จะให้ตนโดนจับตั้งแต่แรกแล้ว โดยร่วมมือกับสารวัตรคิมการัมและผู้บัญชาการเรือนจำ ที่มีชื่อว่า เทโอ กับผู้คุมนักโทษอีกสองคน

ในสมุดบันทึกเล่มนี้ไม่ว่าจะเป็นของใคร แต่ปรมัตถ์สัมผัสได้ถึงความกระอักกระอ่วน และความขับข้องใจที่ไม่สามารถ ต่อกรกับความอยุติธรรมที่ดันมีอำนาจมากกว่า จึงได้แต่ระบายอารมณ์ใส่สมุดเล่มนี้ นอกจากนี้ยังมีการลงรายละเอียดทุกอย่างไว้ครบถ้วน ปรมัตถ์จึงตัดสินใจเก็บมันใส่กระเป๋าเสื้อด้านในเสื้อเกราะ

"มันต้องมีแผนอะไรแน่ ๆ ถึงได้เลือกหลบที่นี่" คณณัฐพูด

บุญธรใช้ความคิดครู่หนึ่ง

"ไม่แน่นะ บางทีสวี่หมิงล่างอาจมีเป้าหมายใหญ่อยู่ก็ได้" บุญธรพูด

"เป้าหมายใหญ่" ปกรณ์วุฒิทวนคำ "มันคืออะไรล่ะ"

"ถ้าให้ฉันเดานะ สวี่หมิงล่างคิดจะเปิดศึกกับตระกูลหลักของตัวเอง" ปรมัตถ์พูด

"อืม ก็เป็นไปได้" บุญธรว่า

"หรือว่ามันจะใช้เรือนจำที่นี่ในการวางแผน" คณณัฐ์ถาม ปรมัตถ์พยักหน้าตอบ

"เพราะปฏิบัติการเมืองสะอาดของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เลยทำให้มันตัดสินใจลงมือตอนนี้" 

"มีความเป็นไปได้สูงอยู่" 

แต่แล้วฉับพลันมีเสียงดังขึ้นไม่ไกลจากจุดที่ทั้งสี่ยืนอยู่ ทั้งหมดพากันหันไปทางต้นเสียง และเตรียมพร้อมรับมือ หากเป็นศัตรูแต่แล้วครู่ต่อมาก็มีเสียงว่า "ช่วยด้วย มีใครอยู่ไหม" สี่ยุวชนทหารจึงพากัน วิ่งออกไปตามต้นเสียงซึ่งมันมาจากห้องถัดไปอีกสองห้อง เป็นห้องเก็บอุปกรณ์อย่างเครื่องทำความสะอาดของภารโรง บุญธรเปิดประตูเข้าไป พบผู้คุมคนหนึ่งนั่งพิงผนังเอามือกุมบาดแผลที่ขา

คณณัฐรายงานผ่านวิทยุว่าพบคนบาดเจ็บ ส่วนปกรณ์วุฒิและปรมัตถ์ต่างช่วยกัน พยุงผู้คุมที่ได้รับบาดเจ็บออกมาด้านนอก เพื่อที่จะปฐมพยาบาลเบื้องต้นสะดวก หลังการพูดคุยทำให้ทั้งสี่รู้ว่าผู้คุมคนนี้มีชื่อว่า จ่าสิบตำรวจดาลัด เป็นรุ่นพี่ของ สิบตำรวจตรีมนัส เจ้าของสมุดบันทึกที่ปกรณ์วุฒิเจอก่อนหน้านี้ และเสียชีวิตไปเมื่อสองชั่วโมงก่อน

"จ่าพอรู้ไหมว่าใครเป็นคนโจมตีที่นี่" บุญธรถามขึ้น ระหว่างที่เขาคอยระวังภัยไปด้วย

"ใช่ แก๊งขวานซิ่งไหม" ปกรณ์วุฒิถามเสริม

จ่าสิบตำรวจดาลัดสั่นศีรษะเบา ๆ "ไม่ใช่ พวกที่โจมตีรอบแรกไม่ใช่แก๊งขวานซิ่ง ดูเหมือนพวกมันจะเป็นแก๊งต่างถิ่นที่ถูกจ้างวานมากกว่า" 

"อะไรทำให้จ่าคิดแบบนี้ล่ะ" คณณัฐ์

"ก่อนฉันจะมาเป็นผู้คุม ฉันเคยทำงานอยู่แผนกสืบสวนปราบปรามมาก่อน" จ่าสิบตำรวจหนุ่มตอบ "อีกอย่างขวานคือโลโก้หลักของแก๊งนี้ แต่พวกที่บุกรุกพวกแรกไม่ใช่"

"เมื่อกี้จ่าบอกเรือนจำที่นี่โดนโจมตีสองรอบ" คณณัฐ์พูด "งั้นพวกที่โจมตีรอบสองก็คือ..."

"สองพี่น้องนาม สุธนกับสุทัศน์"

ปรมัตถ์เข้าใจแล้วว่าเจ้าของจิตสังหารมาจากใคร และการที่รังสีจิตสังหารยังอยู่ มันก็ย่อมแปลว่าสองคนนี้ยังอยู่ในเรือนจำ และรอที่จะสะสางบัญชีแค้นให้กับลูกชาย ปรมัตถ์ตั้งใจจะถามจ่าสิบตำรวจต่อ แต่แล้วทันใดนั้นเองที่มีเสียงระเบิดดังมาจากด้านนอก ซึ่งจ่าสิบตำรวจดาลัดคิดว่าน่าจะดังมาจากสนามใหญ่ตรงกลางเรือนจำ

+++++

สุธนกำด้ามขวานแน่นจนเส้นเอ็นผุดขึ้นบนผิวเนื้อ ข้างกายสุธนก็คือสุทัศน์ที่พร้อมจะฟาดฟันเหล่าศัตรูให้วอดวาย เพื่อล้างแค้นให้สุระหลานชายของตน ไม่นานเสียงฝีเท้าก็ดังมาจากฝั่งอาคาร ส่งผลให้สองพี่น้องต่างเตรียมอาวุธพร้อมจะรับมือกับศัตรู ในที่สุดศัตรูก็ปรากฏตัวออกมา หากแต่เป็นทหารหญิงหนึ่งและทหารชายหนึ่ง สุธนมีสีหน้าผิดหวังเล็กน้อย

เนื่องจากตามข้อมูลที่สุธนได้มา ผู้ที่กำราบสุระได้อายุน้อยกว่านี้ อย่างไรก็ตามสุทัศน์กระทืยเท้าลงพื้นเสียงดัง คล้ายกับต้องการจะฟาดฟันศัตรูเต็มที แต่สุธนยกมือปรามเสียก่อน

ทั้งสองต่างเผชิญหน้ากัน

"สวี่หมิงล่างอยู่ที่ไหน" ร้อยโทกู้เจิ้นหนานเปิดฉากถามก่อน "มึงสองตัวบ้าบิ่นดีนี่ที่ยังอยู่ที่นี่"

"กูไม่สนใจมึงหรอก" สุธนพูด "เพราะมึงกับอีนี่ ไม่ใช่เป้าหมายของกู"

"หมายความว่าไง" ร้อยเอกหลิวเสี่ยวเสี่ยวถามกลับ รู้สึกเดือดดาลในใจที่โดนศัตรูดูหมิ่นเช่นนี้

"ไหน ๆ มึงสองคนก็ต้องตายวันนี้" สุทัศน์พูดเสียงแข็งกร้าว "กูตามล่าไอ้คนที่บังอาจทำร้ายหลานชายกูยังไงล่ะ"

ร้อยเอกหลิวเสี่ยวเสี่ยวกับร้อยโทกู้เจิ้นหนานหันมาสบตากัน 

[พวกมันหมายหัวปรมัตถ์งั้นหรือ]

เสี้ยววินาทีนั้นเองสุทัศน์ก็พุ่งจู่โจมใส่ร้อยเอกหลิวเสี่ยวเสี่ยว และเหวี่ยงขวานในมือใส่กฝ่าย ทว่าร้อยโทกู้เจิ้นหนานใช้ง้าวในมือ ปัดป้องขวานออกไปเปิดทางให้ร้อยเอกหลิวเสี่ยวเสี่ยว พุ่งตัวเข้าระยะประชิดและซัดฝ่ามือกระแทกกลางท้อง สุทัศน์ปลิวกระเด็นถอยรูดไปไกลพอสมควร มันแหวะยิ้มชอบใจตามสันดานคนชอบการต่อสู้ แตกต่างจากสุธนที่ยังคงมีสีหน้าเรียบเฉย และยังคงนั่งบนเก้าอี้ยาวเช่นเดิม

ฝั่งสุทัศน์ที่โดนเล่นงานก็โกรธจนเลือดขึ้นหน้า และเปร่งพลังมานาออกมาจนบริเวณโดยรอบถูกคลื่นมานาแผดเผา เดชะบุญที่สองทหารจู่โจมสร้างเกราะมานาป้องกันทัน มิฉะนั้นคงมีชะตากรรมแบบเดียวกับพื้นหญ้าบนสนาม จังหวะนั้นเองที่ร้อยเอกหลิวเสี่ยวเสี่ยว ตัดสินคว้ากระบี่ออกมาเพื่อจะใช้สู้กับศัตรู

ด้วยความที่รู้จักกันมานานร้อยโทกู้เจิ้นหนานรับรู้ทันทีว่า ศัตรูตรงหน้าไม่อาจโค่นลงได้ด้วยพลังราชสีห์คำราม เขาจึงตั้งง้าวชี้มาทางฝั่งสองพี่น้องที่อยู่ตรงหน้า หากมันทั้งสองหมายหัวปรมัตถ์ละก็ในฐานะที่ทั้งสอง ต่างก็เป็นหัวหน้าและรองหัวหน้าทีม ก็ต้องทำหน้าที่ปกป้องลูกทีมแม้ว่าปรมัตถ์จะย้ายมาสังกัดชั่วคราวก็ตาม

และวิธีเดียวที่จะหยุดยั้งอันตรายที่จะเกิดขึ้นกับปรมัตถ์ก็คือ ต้องจัดการสุธนกับสุทัศน์เท่านั้น

"เข้ามาเลย ไอ้สารเลว" ร้อยเอกหลิวเสี่ยวเสี่ยวพูดและจับกระบี่มั่นคง "แกสองพี่น้องต้องชดใช้ให้กับทุกชีวิตของผู้บริสุทธิ์ ด้วยชีวิตของพวกแก"

สุทัศน์ส่งเสียงคำรามกึกก้อง พลางพูดจาเย้ยหยันใส่อีกฝ่าย "ถ้าคิดว่ามึงทำได้ก็ลองดู !"

"ไอ้เสือ มึงสู้กับคนถือง้าว" จู่ ๆ สุธนก็ออกคำสั่งกับน้องชาย และลุกขึ้นยืนพร้อมขวานในมือ "ทหารหญิงคนนั่น มึงชนะมันไม่ได้หรอก"

แม้จะรู้สึกไม่ชอบใจในคำสั่งของสุธน แต่สุทัศน์ก็ฟังคำสั่งแต่โดยดี และจ้องมองมาที่ร้อยโทกู้เจิ้นหนานด้วยแววตากินเลือดกินเนื้อ วันนี้คมขวานของมันต้องได้กินเลือดของศัตรู 

ขณะเดียวกันฝั่งร้อยเอกหลิวเสี่ยวเสี่ยวและสุธน ต่างยืนเผชิญหน้ากันแต่ยังไม่ลงมือเข้าห่ำหั่น 

"การที่มึงสองคนพยายามขัดขวางกูเช่นนี้" สุธนพูดเสียงเย็น และแผ่จิตสังหารกับคลื่นพลังมานาออกมา "มึงคงรู้ว่าใครคือคนที่จัดการลูกชายของกู"

[แรงกดดันนี่มัน...] ร้อยเอกหลิวเสี่ยวเสี่ยวก็ปล่อยพลังมานาออกมา เพื่อข่มอีกฝ่ายเช่นกัน

"มึงไม่ตอบก็แปลว่า กูพูดถูกสินะ"

"เออ ไม่ว่ายังไงฉันก็ไม่ยอมให้แกแตะต้องเขาคนนั่นเด็ดขาด !"

+++++

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel