Chapter 28
"เอานี่ ไปแดกซะ !"
ปรมัตถ์ปล่อยหมัดขวาตรงไปที่สุระ พริบตานั้นพลังธาตุลมกลายสภาพเป็นลมพายุไซโค พุ่งอัดกระแทกใส่สุระเต็มแรง แม้สุระจะใช้ปราณมานาเป็นเกราะคุ้มกันหนาแค่ไหน ก็ไม่อาจสู้พลังโจมตีของลมพายุไซโค ฝั่งปรมัตถ์ที่รู้ว่าสุระพยายามต้านพลังของเขาอยู่ เขาจึงอัดพลังใส่หมัดขวาเพื่อให้การโจมตีรุนแรงขึ้นอีก ส่งผลให้ลมพายุไซโคมีพลังที่เพิ่มมากขึ้น จนสามารถทลายเกราะปราณมานาของสุระได้สำเร็จ
ลมพายุไซโคอัดกระแทกเข้ากลางลำตัวสุระเต็มแรง ร่างของสุระพุ่งดิ่งลงกระแทกพื้นเกิดแรงสั่นสะเทือนไปทั่วบริเวณนั้น ปรมัตถ์ใช้พลังธาตุวายุพาตัวเองกลับลงมายังพื้น และเห็นสุระกำลังพยายามพยุงลุกขึ้นยืน ปรมัตถ์พุ่งตรงไปหาสุระด้วยความรวดเร็วและเมื่ออยู่ระยะใกล้ เขาซัดหมัดซ้ายที่รวบรวมพลังธาตุวายุ แล้วปล่อยหมัดตรงไปที่กลางอกสุระ
หมัดลมพายุไซโคส่งร่างสุระปลิวกระเด็นทะลุตึกไปหลายตึก เสียงดังสนั่นส่งไปถึงกลุ่มบุญธรที่กำลังตามมาสมทบ ส่วนปกรณ์วุฒิที่สามารถจัดการสิชลได้ เบนเฮอร์พาพยุงตัวกลับเข้าทีมเสริมที่ตามมาช่วย ความเสียหายที่เกิดขึ้นตรงนี้บอกให้รู้ว่า ต้องเป็นการต่อสู้ที่ดุเดือดอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว ร้อยเอกหลิวเสี่ยวเสี่ยวสั่งให้ทุกคนออกตามหาปรมัตถ์
แต่ยังไม่ทันที่จะเริ่มออกค้นหา ปรมัตถ์ใช้พลังธาตุลมพาตัวเองบินกลับมารวมพล ซึ่งอยู่ในสภาพสะบักสะบอมพอสมควร เสื้อเกราะฉีกขาดเสียหายหนักจนร้อยโทกู้เจิ้นหนาน ต้องหาเสื้อเกราะใหม่ให้เขาใส่ใหม่ ด้านปกรณ์วุฒิถูกพาออกนอกสนามรบ จากนั้นปรมัตถ์นำทางทุกคนไปที่ตึกที่สุระถูกซัดปลิวกระเด็นหายไป ทั้งหมดเดินตามปรมัตถ์เพื่อจับตัวสุระ ซึ่งร้อยเอกหลิวเสี่ยวเสี่ยวกับร้อยโทกู้เจิ้นหนาน ยังต้องรู้สึกทึ่งในพลังของยุวชนทหารคนนี้
ซึ่งมันทำให้ทั้งสองนึกถึงสองสหายอย่างฟางเหยียนกับฟางผิง และคิดว่าสมแล้วที่ปรมัตถ์เป็นลูกศิษย์ของเทพบุตรแห่งสงคราม เวลาผ่านไปได้สิบสามนาทีกว่า ๆ หรืออาจน้อยกว่านั้น ในที่สุดก็เจอสุระที่นอนพิงโต๊ะแบบหมดสภาพ ขวานสองคมหักเป็นสองท่อน "จับเขา" ร้อยเอกหลิวออกคำสั่งให้ลูกทีมสองคน เข้าทำการจับกุมสุระด้วยการใช้กุญแจมือ
"เอาตัวไปให้ผู้กองซานติซิมา" ร้อยโทกู้เจิ้นหนานสั่ง "ทีเหลือเราต้องไปสมทบกับผู้กองแลนเดน"
ร้อยเอกหลิวเสี่ยวเสี่ยวพยักหน้าเห็น แต่ก่อนที่เธอจะสั่งการ ยุวชนทหารคนหนึ่งซึ่งทำหน้าที่เป็นคนสอดแนม วิ่งหน้าตื่นตรงมาหาหัวหน้าทีมด้วยสีหน้าทั้งร้อนรนและตื่นตระหนก ร้อยโทกู้เจิ้นหนานบอกให้อีกฝ่าย ใจเย็น ๆ แล้วค่อยรายงานสถานการณ์ ซึ่งพอยุวชนทหารคนดังกล่าวตั้งสติได้ก็รีบรายงานทันที
"ผู้กองหลิวครับ เกิดเรื่องกับทีมของจ่าแลนเดนครับ" ยุวชนทหารกล่าวรายงาน "พวกเขาถูกโจมตีโดยสี่ขุนศึกของสวี่เฟิ่งครับ"
"ว่าไงนะ !" ร้อยเอกหลิวเสี่ยวเสี่ยวตกใจไม่น้อย "พวกเขาพ่ายงั้นหรือ"
ยุวชนทหารสั่นศีรษะ "ยังไม่ถึงขั้นพ่ายแต่เสียกำลังพลไปมากเหมือนกันครับ"
ปรมัตถ์ใจเริ่มไม่อยู่กับเนื้อกับตัวและเริ่มกังวลมากขึ้น เพราะกลัวว่าหนึ่งในจำนวนนั้นจะมีหลี่ชิงชิงอยู่ด้วย บุญธรจับไหล่ปรมัตถ์เป็นเชิงเรียกสติของสหาย
"อย่าทำอะไรวู่วามเด็ดขาดนะ บอม" บุญธรพูดเตือนสติ "ถ้าอยากช่วยชิงชิง นายต้องห้ามขาดสติ"
"อืม ฉันจะพยายาม" ปรมัตถ์พูดในขณะที่สองมือกำแน่นมาก
"เข้าใจ.. จากที่เคยร่วมงานกันมา เธอมีฝีกระบี่ที่ไม่ธรรมดา" บุญธรว่า "ฉันเชื่อว่าเธอต้องปลอดภัย"
ปรมัตถ์ไม่พูดอะไรนอกจากรอฟังคำสั่งจากร้อยเอกหลิวเสี่ยวเสี่ยว ซึ่งไม่กี่อึดใจต่อมาผู้เป็นหัวหน้าทีมก็หันมาสั่งลูกทีมของตน
"รีบเคลื่อนพลไปช่วยพวกเขา เดี๋ยวนี่ !"
+++++
หลี่ชิงชิงประคองร้อยตำรวจโทหลี่เอินไหลผู้เป็นพ่อ ให้ออกห่างจากสมรภูมิรบเนื่องดวยอาการบาดเจ็บของอีกฝ่าย เธอเข้าใจแล้วว่าทำไมพื้นที่ตรงนี้ไม่สามารถยึดคืนได้ เพราะสวี่เฟิ่งส่งขุนศึกฝีมือฉกาจมาถึงสี่คน ซึ่งก็คือสุธนกับสุทัศน์และมือสังหารสองคน ที่ติดอยู่ในบัญชีดำของกองปราบปรามอาชญากรรม หลี่ชิงชิงจำได้จากแฟ้มประวัติในห้องประชุม
ไม่มีใครรู้ชื่อนามจริงของมันสองคน นอกจากชื่อ โหยหวน และ คร่ำครวญ ไม่ค่อยมีประวัติให้ตามสืบมาก แต่ตามที่พวกตำรวจมือปราบสันนิฐานคือ ทั้งสองติดตามสวี่หมิงล่างมาตั้งแต่สมัยที่สวี่หมิงล่างยังเป็นหนุ่มอยู่ และนี่เป็นครั้งแรกที่หลี่ชิงชิงเจอกับพวกมันตัวจริง โหยหวนกับคร่ำครวญแต่งกายด้วยชุดสูทสีดำ ไม่ต่างจากสมุนในแก๊งขวานซิ่ง คร่ำครวญเป็นชายฉกรรจ์ที่สูงใหญ่และมีมัดกล้ามกำยำ ส่วนโหยหวนจะเตี้ยกว่าและผอมกว่า
แต่อาวุธของโหยหวนกลับน่ากลัวยิ่งกว่า มันคือดนตรีพิณที่อยู่ในมือมัน ฟังดูมันน่าขันจนฟันแทบหักที่เครื่องดนตรี จะกลายเป็นอาวุธสังหารได้อย่างไร จนหลี่ชิงชิงเห็นโหยหวนใช้มันปลิดชีพตำรวจกับทหารไปหลายคน เพียงแค่มันดีดสายพิณไม่กี่สายเท่านั้น แท้จริงแล้วคลื่นเสียงพิณก็คือปราณมานาที่โหยหวนปล่อยออกมา จ่าสิบเอกแลนเดนรีบสั่งให้ถอย และพาคนเจ็บออกจากเขตปะทะ หนึ่งในนั้นคือพ่อของหลี่ชิงชิง
"พ่อคะ อดทนหน่อยนะคะ" หลี่ชิงชิงพูดขณะกำลังห้ามเลือดที่ขา "หนูจะพาพ่อกลับบ้าน"
ร้อยตำรวจโทหลี่เอินไหลไม่พูดอะไรมาก นอกจากเจ็บใจตัวเองที่ต้องมาเป็นภาระ สิ่งที่เขากังวลมากที่สุดคือลูกสาว ผู้ที่กำลังทำแผลให้กับเขาอยู่ตอนนี้ และถึงแม้จะบาดเจ็บหนักแต่ด้วยความเป็นพ่อ ก็ยังคอยระแวดระวังภัยให้หลี่ชิงชิงไปด้วย ครู่ต่อมา สิบตรีแจ็ค รุ่นพี่คนหนึ่งในทีมของหลี่ชิงชิงวิ่งมาสมทบด้วยความเป็นห่วง พร้อมบอกว่าอีกไม่นาน ทีมเสริมกำลังตามาช่วยแล้ว
ความโล่งใจอยู่ได้ไม่นานเพราะหลี่ชิงชิงสัมผัสได้ถึง จิตสังหารกำลังตรงมาที่เธอกับร้อยตำรวจโทหลี่เอินไหลและสิบตรีแจ็คอยู่ พริบตานั้นเธอคว้ากระบี่ออกมา และตวัดไปทางด้านหลังของสิบตรีแจ็ค เสียงกระบี่กระทบกับอะไรบางอย่าง ซึ่งก็คือคร่ำครวญที่ตอนนี้รูปร่างของมันเปลี่ยนไป นาทีนี้หลี่ชิงชิงจึงรู้ว่าทำไมมันถึงร้ายกาจเพียงนี้
ที่แท้คร่ำครวญคือผู้มีพลัง "สัตว์สมิง" เป็นร่างของเสือโคร่งขนาดใหญ่ สิบตรีเเจ็คหมุนตัวเหวี่ยงกำปั้นขวาอัดเข้าหน้าคร่ำครวญ จนเซถอยหลังไปสามก้าวทหารหนุ่มวิ่งตรงเข้าไปจู่โจมต่อเนื่อง "พี่คะ อย่าสู้กับมันตัวต่อตัวเด็ดขาด" หลี่ชิงชิงตะโกนบอก และตั้งใจจะไปช่วยรุ่นพี่แต่ก็ขณะเดียวกันเธอก็ไม่อยากทิ้งพ่อตามลำพัง แต่ร้อยตำรวจโทหลี่เอินไหลไม่ต้องการเป็นตัวถ่วง จึงเรียกสติของลูกสาว ให้ทำหน้าที่ของตนต่อ
"ไปช่วยเพื่อนร่วมทีมของลูกซะ" ร้อยตำรวจโทหลี่เอินไหลตะโกนบอก "ไม่ต้องห่วงพ่อ รีบไป !"
หลี่ชิงชิงพยักหน้าและรีบวิ่งตามไปช่วยสิบตรีแจ็คทันที โดยเธอหันมาตะโกนบอกพ่อว่า "เดี๋ยวหนูจะรีบมานะคะ"
เธอวิ่งตามไล่หลังสิบตรีแจ็คที่กำลังรับมือกับคร่ำครวญในร่างเสือโคร่งยืนสองขาอย่างดุเดือด ครู่ต่อมาสมุนของคร่ำครวญก็วิ่งกรูเข้ามาเพื่อเล่นงานสิบตรีแจ็ค หลี่ชิงชิงชักกระบี่ออกมาและวิ่งตรงเข้าไปช่วยทันที เธอตวัดคมกระบี่ใส่ศัตรูที่คิดรุมทำร้ายเพื่อนร่วมทีม ส่วนสิบตรีแจ็คซึ่งกำลังสู้กับคร่ำครวญอยู่ ทว่าทหารหนุ่มคือฝ่ายเสียเปรียบมากกว่า เนื่องด้วยรูปร่างและพลังที่เหนือกว่า
[ให้ตายสิ ! ตัวแม่งแข็งยังกับหินเลย] สิบตรีแจ็คคิด แต่ก็ไม่คิดจะหนีอยู่แล้ว
"ยอมแพ้ซะ" คร่ำครวญในร่างเสือโคร่งพูด "แกไม่มีทางชนะข้าได้หรอก"
"หุบปาก !"
สิบตรีแจ็ครวบรวมไฟธาตุอรุณอีกครั้ง และวิ่งเข้าโจมตีด้วยการปล่อยหมัดขวา-ซ้าย อัดเข้ากลางลำตัวของคร่ำครวญ แต่มันกลับสะเทือนแค่พอเจ็บและมันสวนกลับด้วยหมัดเสือซ้าย สิบตรีแจ็คตั้งการ์ดไม่ทันจึงทำให้ชายโคร่ง ถูกโจมตีเข้าเต็ม ๆ เขาเซไปชิดกำแพง คร่ำครวญง้ากรงเล็บขึ้นหมายจะปลิดชีพทหารหนุ่ม
"หยุดนะ !"
หลี่ชิงชิงคว้ากระบี่ไปเสียบที่หลังหัวไหล่คร่ำครวญ มันชะงักไปครู่หนึ่งและเปลี่ยนเป้าหมายมาทางยุวชนทหารแทน แต่ด้วยความว่องไวของเธอ ทำให้กรงเล็บของเสือโคร่งตวัดได้แค่ความว่างเปล่า หลี่ชิงชิงที่เข้ามาใกล้ในระยะที่ต้องการแล้ว เธอรวบรวมพลังไฟธาตุวายุไว้ที่สองฝ่ามือ และทำการซัดเข้าลำตัวของสัตว์สมิงเสือโคร่ง
คร่ำครวญปลิวกระเด็นไปชนกับซากอิฐกับรถที่อยู่ไม่ไกล นาทีต่อมากระบี่ของเธอก็ลอยกลับมาอยู่ในมืออีกครั้ง หลี่ชิงชิงรู้สึกเหนื่อยหอบไม่น้อยก่อนจะเดินไปพยุงตัวสิบตรีแจ็ค ซึ่งยังไม่หายจากการจุก ตอนนี้เธอต้องพารุ่นพี่ออกจากสนามรบตรงนี้ และหาทางติดต่อหาคนอื่น ๆ ในทีมที่พลัดหลงจากการถูกซุ่มโจมตี
"ให้ตายสิ จุกเป็นบ้า" สิบตรีแจ็คกล่าวกับหลี่ชิงชิง "ไม่รู้ว่าคนอื่นเป็นยังไงบ้าง"
"อย่าพึ่งพูดดีกว่าคะ" หลี่ชิงชิงพูด เพราะท่าทางอีกฝ่ายย่ำแย่มาก
ทั้งสองก้าวเท้าเดินไม่กี่ก้าวสิบตรีแจ็คสัมผัสได้ถึงจิตสังหาร และอันตรายที่พุ่งมาทางด้านหลัง เขากัดฟันทนต่อความเจ็บและตัดสินใจใช้แรงที่มีผลักหลี่ชิงชิงให้ล้มลงกับพื้น จังหวะนั้นมันเร็วมากจนเธอตั้งรับไม่ทัน และพอเธอหันไปมองสิบตรีแจ็คที่ผลักตนจนล้ม ก็ต้องเบิกตาโตด้วยความตกใจ มีบางอย่างที่เคลื่อนไหวรวดเร็วมาก มันตัดศีรษะของสิบตรีแจ็คสันหลุดออกจากร่างต่อหน้าต่อตาหลี่ชิงชิง
ในหัวของเธอขาวโพลนไปหมดกับภาพที่เกิดขึ้น ตามด้วยภาพในเหตุการณ์ในอดีตที่เธอมีร่วมกันกับสิบตรีแจ็ค แม้จะรู้จักกันไม่นานแต่สำหรับหลี่ชิงชิงแล้ว เขาเหมือนเป็นพี่ชายที่น่าเคารพรักคนหนึ่งและสิบตรีแจ็คไม่ควรมีจุดจบเช่นนี้ เพราะก่อนมาทำภารกิจเธอจำได้ว่า ทหารหนุ่มกำลังมีเเพลนจะสารภาพรักกับหญิงสาวคนหนึ่ง หลังจากจบภารกิจนี้แล้ว
แต่มันคงไม่มีวันเกิดขึ้นอีกแล้ว
"ไม่นะ.... มันไม่ควรเป็นอย่างนี้สิ" หลี่ชิงชิงตกใจไม่น้อย แต่เดชะบุญที่แม้เธอจะช็อคกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เธอยังสามารถประคองสติได้ ทำให้หลี่ชิงชิงสังเกตว่ามีเสียงดนตรีพิณดังขึ้น
และเมื่อเธอเหลียวหลังไปมองหาต้นเสียง ก็เห็นชายคนหนึ่ง นั่งดีดพิณอย่างสุทรีโดยไม่ได้ดูสถานที่โดยรอบ พริบตานั้นไฟแห่งโทสะกับความแค้นก็ลุกโชนขึ้นในใจของหลี่ชิงชิง
+++++
