บท
ตั้งค่า

Chapter 25

ทันทีที่ล้อรถหุ้มเกราะแล่นเข้าเล่นปีกตะวันตก เสียงการสู้รบก็ดังต่อเนื่องไม่มีหยุด ร้ายแรงยิ่งกว่าคือฝ่ายศัตรูที่มีพลังมานา ก็ได้ลอบโจมตีเข้าที่ยางล้อรถที่สี่ยุวชนทหารนั่งมาด้วยพอดี ส่งผลให้ร้อยเอกหลิวเสี่ยวเสี่ยวออกคำสั่ง ให้ทุกคนรีบลงจากรถแต่เมื่อสิบตรีหานเทียนเปิดประตูท้ายรถ ศัตรูจำนวนหลายสิบคนซึ่งดักซุ่มรอ ต่างโผล่ออกมารุมกระหน่ำจะฟันร่างทหารหนุ่ม เดชะบุญได้ปรมัตถ์ใช้ลมพายุพัดพวกมันกระเด็นถอยห่าง สิบตรีหานเทียนตั้งหลักได้ก็คว้าอาวุธประจำกายอย่างหอกออกมา

เขาพุ่งตัวออกจากรถและเข้าจัดการศัตรูตรงหน้า ที่บังอาจลอบกัดตอนเขาเผลอ พวกมันไม่มีโอกาสแม้แต่จะตอบโต้ จึงถูกปลายหอกทิ่มแทงล้มนอนนิ่งกับพื้น ร้อยโทกู้เจิ้นหนานที่แม้ลงมาทีหลังก็เห็นศัตรูทางซ้ายมือ เขาสั่งให้ลูกทีมหกคนเตรียมรับมือ จากนั้นร้อยโทกู้เจิ้นหนานก็วิ่งนำคนอื่นไปทางฝั่งซ้าย พร้อมตวัดง้าวในมือเป็นแนวนอน คลื่นพลังไฟธาตุวายุพุ่งแผ่รัศมีเป็นวงกว้างใส่แก๊งขวานซิ่ง คณณัฐ์กระโดดลงจากรถและใช้หอกหวดกระแทกใส่ศัตรู เพื่อเปิดทางให้คนอื่น ๆ

"ไปต่อ เร็ว !" คณณัฐ์ตะโกน พอดีกับมีเวทไฟหลายสิบลูกกำลังพุ่งดิ่งมาทางเขา

แต่เดชะบุญที่ปกรณ์วุฒิโผล่มาช่วยจากด้านหลัง และฟาดแส้กำไลเหล็กข้างซ้ายเป็นวงกว้าง แสงสว่างวาบจนแสบตาจากแรงระเบิด หกนาทีต่อมามีเสียงวิทยุดังขึ้น ซึ่งมาจากร้อยตรีซานติซิมาที่กำลังรอพวกเขาอยู่ และได้รายงานสถานการณ์ว่าพวกศัตรูยกโขยงถล่มอย่างหนัก กำลังพลของเขาน้อยมาก อาจต้านได้ไม่นานซึ่งร้อยเอกหลิวเสี่ยวเสี่ยวหันมาสั่งให้ ทั้งทีมแยกเป็นสองโดยทีมหนึ่งจัดการทางนี้ ส่วนทีมสองไปสมทบกับทีมร้อยตรีซานติซิมา

ปรมัตถ์กับปกรณ์วุฒิอยู่ทีมสอง ในขณะที่บุญธรและคณณัฐ์อยู่ทีมหนึ่ง ร้อยโทกู้เจิ้นหนานนำทีมสองวิ่งลัดเลาะตามเส้นทางต่าง ๆ เพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะ เพราะมันมีแต่จะเสียงเวลาโดยใช่เหตุ ทีมสองใช้เวลาเพียงเจ็ดนาทีก็มาสมทบกับทีมร้อยตรีซานติซิมา ซึ่งมีกำลังพลเหลืออยู่ไม่ถึงสิบคนแล้ว ร้อยโทกู้เจิ้นหนานวิ่งไปอยู่ข้างร้อยตรีซานติซิมา พร้อมลูกทีมอีกสองมาช่วยพยุงคนเจ็บออกจากพื้นที่ปะทะ

"แพทย์สนามอยู่ไหนนะ ตรงนี้มีคนเจ็บ" เสียงตะโกนเรียกหาแพทย์สนาม

"ทางนี้ด้วยมีเจ็บอีกสาม"

ร้อยโทกู้เจิ้นหนานพอรู้สถานการณ์ตอนนี้แล้ว จึงหารือกับร้อยตรีซานติซิมาว่ามีวิธีไหนที่จะตัดกำลังศัตรูได้หรือไม่ คำตอบคือต้องมีคนแอบลักลอบตีโอบหลังมัน แต่ต้องมีอย่างน้อยสิบคนเพราะพวกมันมีจำนวนเยอะกว่า ดังนั้นทางเลือกเดียวคือต้องรอร้อยเอกหลิวเสี่ยวเสี่ยว ตามมาสมทบแต่เวลาของพวกเขา มันก็ดันมีไม่มากนักซึ่งนาทีต่อมา ปรมัตถ์กับปกรณ์วุฒิก็หันมามองหน้ากัน ราวกับล่วงรู้ความคิดของกันและกัน

"หมวดกู้ครับ" ปรมัตถ์พูดขึ้นท่ามกลางเสียงการสู้รบ "ผมกับยุวชนทหารปกรณ์วุฒิจะขออาสาไปลอบตีด้านหลังข้าศึกเอง อนุญาตด้วยครับ"

ร้อยโทกู้เจิ้นหนานชะงักและหันมาทางสองยุวชนทหาร ที่ขออาสาไปเสี่ยงตายตัดกำลังฝ่ายศัตรู ถึงมันจะเป็นทางเลือกเดียวแต่เขาก็ไม่ต้องการส่งลูกทีมไปเสี่ยง

"ขอปฏิเสธ พวกนายมีแค่สองมันน้อยเกินไป อย่างน้อยต้องมีคนไปด้วยสี่ถึงห้า" ร้อยโทกู้เจิ้นหนานพูดเสียงแข็ง

แก๊งขวานซิ่งหลายสิบคนวิ่งกรูเข้ามาอย่างไม่กลัวตาย ปกรณ์วุฒิวิ่งเข้าท้าชนด้วยโชว์สกิลการต่อสู้มือเปล่า สลับกับใช้โซ่กำไลทั้งสองข้างหวดฟาดใส่ศัตรูประดุจเหมือนแส้ ศัตรูร่างใหญ่คนหนึ่งใช้ขวานเล่มใหญ่ ไล่ฟาดฟันใส่ปกรณ์วุฒิอย่างบ้าคลั่ง แต่สุดท้ายเขาก็หาทางเข้ามาอยู่ในระยะประชิด และซัดกำปั้นขวาออกไป โดยกำไลเหล็กทั้งห้าวงพุ่งออกจากแขน พุ่งตรงอัดกระแทกกลางลำตัว ส่งร่างศัตรูกระเด็นไปไกล

ส่วนปรมัตถ์ก็ไล่จัดการแก๊งขวานซิ่งทางฝั่งซ้าย เพื่อคุ้มกันฝ่ายเดียวกันขนย้ายคนเจ็บ ขณะเดียวกันร้อยตรีซานติซิมาก็สังเกตเห็น ถึงทักษะความว่องไวและความเร็วในการต่อสู้ของปรมัตถ์ แถมอีกฝ่ายยังเป็นผู้ควบคุมพลังธาตุลม ย่อมยากที่ศัตรูจะเข้าถึงตัวได้ มันจึงทำให้ร้อยตรีซานติซิมาหันมาสนับสนุนแผนการนี้ ซึ่งร้อยโทกู้เจิ้นหนานตกใจไม่น้อย

"หมวดซานติซิมา นายบ้าไปแล้วหรือ" ร้อยโทกู้เจิ้นหนานพูด "จะให้ส่งยุวชนทหารสองคนนั่นไปลอบตัดกำลังข้าศึก มันเสี่ยงเกินไปแบบนี้ผู้กองหลิวฆ่าฉันแน่" 

"แล้วหมวดกู้ตาบอดหรือไง นายดูดี ๆ" ร้อยตรีซานติซิมาไม่ยอมแพ้ พลางชี้ให้อีกฝ่ายดู "สองคนนี้เป็นลูกทีมนายแท้ ๆ แต่กลับไม่เชื่อมือพวกเขาเลย" 

เมื่อเห็นร้อยโทกู้เจิ้นหนานไม่ตอบโต้ ร้อยตรีซานติซิมาจึงพูดต่อ "อีกอย่างพวกเราไม่ทีเวลารอขนาดนั้นด้วย !"

"หมวด หมอบลง !"

สิ้นเสียงตะโกนของปกรณ์วุฒิ สองทหารยศนายร้อยต่างพร้อมใจกัน รีบก้มหลบลงปล่อยให้ปกรณ์วุฒิกระโดดข้ามตัวไป และใช้โซ่กำไลเหล็กทั้งสิบวงหวดฟาดจัดการศัตรูที่เข้ามารุม ฝั่งปรมัตถ์ก็ไม่น้อยหน้าใช้หมัดวายุอัดจัดการแก๊งขวานซิ่งทางปีกขวากระเด็น ร้อยโทกู้เจิ่นหนานได้แต่ถอนหายใจ พลางพูดสั้น ๆ แค่ว่า "อนุมัติภารกิจ" ร้อยตรีซานติซิมาก็เรียกยุวชนทหารคนหนึ่งมา พร้อมมอบคำสั่งให้นำทางปรมัตถ์กับปกรณ์วุฒิ เพื่อตัดกำลังศัตรูด้านหลัง

"รับทราบ !" ยุวชนทหารคนนำทางรับคำสั่งก่อนจะหันมาทางทั้งสอง "ตามฉันมา !"

+++++

ปรมัตถ์และปกรณ์วุฒิเดินตามหลัง เบนเฮอร์ ยุวชนทหารที่ได้รับคำสั่งจากร้อยตรีซานติซิมา ทำหน้าที่นำทางทั้งสองลัดเลาะตามตึก เพื่อเลี่ยงการปะทะที่ไม่จำเป็น ซึ่งก็โชคดีที่ระหว่างทางทั้งสามยังไม่เจอศัตรู แม้จะได้ยินเสียงการสู้รบจากที่ไกล ๆ ก็ตาม ครู่ต่อมาเบนเฮอร์ทำสัญญาณมือบอกให้หยุดเดิน และทำภาษามือให้ทุกคนก้มตัวต่ำ สืบเนื่องจากเบนเฮอร์เห็นศัตรูอยู่ในตึกอย่างน้อยสี่คน

"ฉันจัดการเอง" เบนเฮอร์บอกเป็นภาษามือ

และสองยุวชนทหารก็ได้เห็นอาวุธประจำกายของอีกฝ่าย ซึ่งก็คือธนูที่ทำจากไม้ที่แปรสภาพเป็นหิน แม้ทั้งสองจะไม่ชำนาญอาวุธประเภทนี้ แต่ก็พอจะเดาได้ว่ามันเป็นผลงานของช่างทำอาวุธชาวโนดาร์ มนุษย์สายเลือดผสมเทพ ผลงานประณีตและพลังมานาไหลเวียนรอบธนู แสดงถึงศักยภาพของมันได้อย่างดี เบนเฮอร์ทำการง้างธนูเล็งไปที่ศัตรูสี่คน ฉับพลันพลังไฟธาตุวายุก็แปรสภาพเป็นธนูสี่ดอก พุ่งเข้าปักที่ศีรษะศัตรูอย่างแม่นยำและเงียบเชียบ

[สุดยอดเลย] ปกรณ์วุฒิอุทานผ่านโทรจิต [นี่นะหรือฝีมือพวกสกิลธนูนะ] 

[อืม ใช่] ปรมัตถ์ตอบ

เบนเฮอร์หันมาพยักหน้ากับทั้งสองเพื่อเดินเท้าต่อ สามนาทีต่อมาในที่สุดพวกเขาก็ลอบมาถึงฐานของแก๊งขวานซิ่ง สามยุวชนทหารใช้กล้องส่องทางไกล เห็นพวกมันจัดขบวนพร้อมอาวุธครบมือ และวิ่งออกบุกตะลุยไปฝั่งที่ร้อยตรีซานติซิมากับร้อยโทกู้เจิ้นหนานอยู่ ปรมัตถ์ตั้งใจจะวางแผนลอบโจมตีกับเพื่อนยุวชนทหาร แต่ปกรณ์วุฒิดันตาดีเห็นศัตรูกลุ่มหนึ่ง กำลังขึ้นมาบนตึกที่พวกเขาแอบอยู่

เบนเฮอร์พาทั้งคู่มาหลบในห้องหนึ่ง และพยายามเงียบให้ได้มากที่สุด เสียงฝีเท้าเริ่มใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ จนทั้งสามเห็นศัตรูจำนวนสิบคน พร้อมอาวุธครบมือ ด้วยสถานที่ไม่อำนวยต่อการต่อสู้บวกกับเสียเปรียบด้านจำนวน สามยุวชนทหารจำต้องซ่อนตัวไว้ก่อน สองนาทีต่อมาพวกมันก็หันมาคุยกันเอง ซึ่งคงเกิดจากความเงียบรอบด้านจนทำให้อึดอัด 

"เมื่อไหร่ศึกนี้จะจบว่ะ" หนึ่งในพวกมันโพร่งขึ้นอย่างหัวเสีย "พูดตรง ๆ นะ กูอยู่ตรงนี้มาหลายวัน แม่งยังไม่ได้อาบน้ำเลย"

"มึงหุบปากไปเลย !" คนหนึ่งหันมาตะคอกใส่ "อยากอายุสั้นมากก็ไปตายคนเดียวสิว่ะ อย่าลากพวกกูไปด้วย"

"เฮ้ย จะทะเลาะกันทำไมในเมื่อพวกเราทั้งหมดก็เบ๊ทั้งนั้น เขาสั่งมาก็ต้องทำตามสิ" 

"เออ รีบ ๆ ไปจัดการไอ้พวกเวรนั่นกันเถอะ"

ปรมัตถ์กับปกรณ์วุฒิและเบนเฮอร์รู้ในทันทีว่า "ไอ้เวรพวกนั่น" หมายถึงพรรคพวกของทั้งสามที่ยังไม่รู้ว่าจะโดนลอบโจมตี หากไม่ทำอะไรสักอย่างฝ่ายทหาร-ตำรวจนี่แหละ จะเสียเปรียบจนยากจะเอาชนะศัตรูได้แน่ ๆ ปรมัตถ์ตัดสินใจขออาสาจัดการพวกในตึก ส่วนปกรณ์วุฒิไปจัดการศัตรูที่อยู่ด้านนอก โดยมีเบนเฮอร์ใช้ธนูช่วยยิงสนับสนุน เมื่อวางแผนและเเบ่งหน้าที่กันเรียบร้อยแล้วต่างก็แยกตัวไปทำหน้าที่ของตน

ปรมัตถ์วิ่งออกมาจากมุมห้องและใช้ฝ่ามือวายุ ซัดพวกศัตรูปลิวกระเด็นออกนอกตึก เปิดโอกาสให้ปกรณ์วุฒิวิ่งกระโดดออกจากตึก และฟาดโซ่กำไลเหล็กจากแขนทั้งสองข้าง โจมตีใส่ศัตรูเบื้องล่างโดยมีเบนเฮอร์ คอยช่วยคุ้มกันหลังให้จากมุมบนที่แน่ใจว่าไม่มีใครหาเจอ การซุ่มโจมตีของสามยุวชนทหารสามารถดึงความสนใจ จากบรรดาศัตรูมาที่พวกเขาได้สำเร็จ 

"เฮ้ย ไอ้พวกเวรนั่นมันลอบโจมตีพวกเราจากด้านหลัง" หนึ่งในแก๊งขวานซิ่งตะโกนบอกพรรคพวก ก่อนจะล้มลงไปนอนกับพื้นเพราะโดนกำไลเหล็กกระแทกอัดหน้า

"พูดมาก รำคาญ" ปกรณ์วุฒิพูดและดวงตากลายเป็นสีแดง รอบตัวเขามีกำไลที่กลายเป็นวงล้อไฟ หมุนรอบตัวเขา

ศัตรูตรงหน้าที่คาดว่าน่าจะเป็นผู้สั่งการ ก็หยิบขวานออกมาสองเล่ม พร้อมกับแสดงพลังมานาเพื่อเตรียมสู้ "ฆ่ามัน !" ไม่นานบรรดาแก๊งขวานซิ่งหลายสิบคน ต่างวิ่งกรูเข้าไปหาปกรณ์วุฒิทันที เบนเฮอร์ที่ดักซุ่มอยู่ก็ไม่รอช้ารีบใช้ธนูไฟธาตุวายุ จัดการศัตรูไม่ให้แตะต้องปกรณ์วุฒิได้สำเร็จ ขณะเดียวกันบนตึกก็เกิดลมพายุไต้ฝุ่นทะลุตึก พร้อมร่างของสมาชิกแก๊งขวานซิ่งลอยกลางอากาศ 

สถานการณ์ทั้งหมดล้วนอยู่ในสายตาของสุระ ที่กำลังสังเกตการอยู่ไม่ไกลมากนัก แม้จะไม่รู้จำนวนศัตรูแต่สุระสัมผัสได้ว่า พลังของศัตรูไม่ธรรมดาและสมุนของตนคงเอาไม่อยู่ สายตาของสุระหันมามองขวานสองคม ซึ่งวางอยู่ทางขวามือครู่ต่อมาสุระก็คว้าอาวุธคู่ใจ พร้อมลุกขึ้นจากเก้าอี้ 

"คงได้เวลาออกล่าแล้วสินะ"

++++++

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel