Chapter 24
ปรมัตถ์รู้สึกแสบตาจนไม่อาจปิดหนังตาได้ เด็กหนุ่มจึงค่อย ๆ ลืมตาขึ้นและพบว่า ตอนนี้เขานอนอยู่บนเตียงในเต็นท์พยาบาล ซึ่งตั้งอยู่ในฐานของทหาร-ตำรวจ ภาพสุดท้ายที่ปรมัตถ์จำได้คือกำลังสู้กับคลั่งใหญ่บ้าคลั่ง นอกนั้นเขาก็จำอะไรไม่ได้แล้ว "นายตื่นแล้วหรือ" ปรมัตถ์หันขวับไปทางขวามือ เห็นบุญธรนอนเจ็บอยู่และกำลังกินผลไม้บนจาน แต่เขาไม่เห็นคณณัฐ์กับปกรณ์วุฒิเลย
"ปลื้มกับคูณไปไหนล่ะ" ปรมัตถ์ถามด้วยความสงสัย
"ติดตามทีมของผู้กองหลิวน่ะ ภารกิจคุ้มกัน" บุญธรตอบ
ปรมัตถ์ขมวดคิ้ว "ภารกิจคุ้ม.... คุ้มกันใคร"
"นายยังจำหมอเถื่อนรูปงามของเราได้ไหม" บุญธรเคี้ยวชิ้นแอปเปิ้ลไปหนึ่งคำ "วีรกรรมที่มันก่อไว้หนักหนาอยู่นะ ก็พี่แกเล่นไปลักพาตัวชนเผ่าโอเมก้ามาตั้งสิบห้าคน เพื่อทำการวิจัยร่างกายคนเหล่านั้น"
"ผ่าตัดเพื่อการวิจัย..." ปรมัตถ์ทำหน้าฉงนใจ แต่บุญธรแปลกใจมากกว่า
"บอม นายไม่รู้จักเผ่าโอเมก้าเหรอ"
"เคยได้ยินแต่ไม่สนใจต่างหากเล่า"
เผ่าโอเมก้า เป็นชนเผ่าที่เก่าแก่มีมาตั้งแต่เมื่อยุคหมื่นปีก่อน ในอดีตนั้นชาวเผ่าโอเมก้าโดยเฉพาะผู้ชายจะได้รับความสนใจเป็นพิเศษ เนื่องจากผู้ชายเผ่าโอเมก้าสามารถตั้งครรภ์ได้แบบผู้หญิง ในประวัติศาสตร์ตามบันทึกว่ากันว่าตอนที่พวกเขาต้องเสียอิสรภาพ ต่างตกเป็นทาสและหากมีคนชั้นสูงคนไหน ต้องการมีลูกแต่ไม่อยากได้เมีย ก็มักจะให้ชาวเผ่าโอเมก้าให้กำเนิดลูก แต่วิถีทำคลอดให้ชายโอเมก้าจะยุ่งยากหน่อย เนื่องจากพวกเขาไม่มีช่องคลอดเหมือนหญิง จึงต้องผ่าคลอดเท่านั้น
เจ็ดปีต่อมาพวกเขาได้รับอิสรภาพและทางรัฐบาลโลก ก็ได้ให้ทางประเทศอาเทนน่าสร้างที่อยู่ให้ และจัดอยู่ในเขตสงวนสำหรับเผ่าโอเมก้าเท่านั้น สำหรับประเทศฟรอนเทียร์ก็มีพลเรือนที่เป็นชาวโอเมก้าย้ายมาทำงานที่นี้ไม่น้อย ส่วนชะตากรรมของฟิลลิป เบอร์บรูค แน่นอนว่าเจ้าตัวจะถูกส่งไปรับโทษที่อาเทนน่า และชาวโอเมก้าที่ถูกทรมานจากน้ำมือฟิลลิป จะได้รับการเยียวยาแผลทางกายกับใจ และล่าสุดพวกเขาจะได้เดินทางกลับไปหาครอบครัว
"ฉันไม่เข้าใจเลยแฮะ" ปรมัตถ์โพร่งขึ้น
"เรื่องอะไร" บุญธรถาม
"ทำไมฟิลลิปถึงสนใจร่างกายเผ่าโอเมก้าขนาดนั้นด้วย แค่เพราะพวกเขาตั้งท้องได้แม้เป็นชายเนี่ยนะ" ปรมัตถ์แสดงความคิดเห็นอย่างสงสัย
"ก็น่า มนุษย์เรามักสนใจอะไรที่แปลกแยกอยู่แล้วนี่" บุญธรว่า
"แต่พวกเขาก็เป็นมนุษย์เหมือนเราไม่ใช่เหรอธร แค่เพียงเขาแตกต่างจากเรา มันก็ไม่ได้แปลว่าเราจะทำอะไรกับพวกเขาก็ได้นะเว้ย" ปรมัตถ์พูด
บุญธรพยักหน้าเห็นด้วย "แต่น่าเศร้านะที่ส่วนน้อยจะคิดเหมือนฉันหรือนาย"
บทสนทนายุติลงพร้อมกับการปรากฏตัวของ ภาสพงษ์ วิสิษฐ์ยุทธศาสตร์ หรือ เบย์ พี่ชายคนโตของครอบครัววิสิษฐ์ยุทธศาสตร์ และเป็นพี่ชายของปรมัตถ์ ซึ่งมาในชุดทหารออกรบและเหมือนจะพึ่งเสร็จภารกิจมา เนื่องจากสองยุวชนทหารสังเกตเห็น คราบฝุ่นและรอยขาดวิ่นบนเสื้อกับกางเกง
"พี่เบย์...." ปรมัตถ์แปลกใจไม่น้อยเมื่อเห็นพี่ชาย
"ว่าไง เจ้าตัวแสบ" ภาสพงษ์ทักทายน้องชาย และขยับเก้าอี้มานั่งข้างเตียงปรมัตถ์ "ได้ข่าวว่าสร้างวีรกรรมไว้เยอะนี่"
ปรมัตถ์เกาแก้มแก้เขิน "พี่กลับมาเมื่อไหร่ครับ" เขาถาม เพราะเท่าที่จำได้ภาสพงษ์ยังอยู่ในสนามรบหมู่เกาะทางทิศใต้ที่มีชื่อว่า "อินติน"
"สงครามจบแล้วน้องชาย ฝ่ายศัตรูยอมจำนนและฝ่ายเราเป็นฝ่ายชนะ" ภาสพงษ์ตอบ
"จริงเหรอครับ" ปรมัตถ์ตกใจเล็กน้อยแต่โล่งอกมากกว่า เพราะหากสงครามยังยืดยาวออกไป ความเสียหายจะมีแต่เพิ่มขึ้นเพิ่มขึ้น
"จริง เมื่อสามวันก่อนฉันดูข่าวมา สองจักรวรรดิประกาศยอมแพ้แล้ว" บุญธรตอบบ้าง
"สามวันก่อน ! เดี๋ยวก่อนสิ ทำไมฉันไม่รู้เรื่องเลยล่ะ" ปรมัตถ์ถามด้วยเสียงตกใจ เขาพลาดข่าวนี้ไปได้อย่างไร
"ก็นายหมดสติไปห้าวัน รู้เรื่องก็บ้าแล้ว" ภาสพงษ์พูด
"ใช่..." บุญธรลากเสียง "หลี่ชิงชิง เป็นห่วงนายมากเลย นอนเฝ้าไม่ห่างทั้งที่ตัวเองก็บาดเจ็บแท้ ๆ"
"แล้วตอนนี้ชิงชิงเป็นยังไงบ้าง"
ปรมัตถ์รู้สึกผิดต่อหลี่ชิงชิงไม่น้อย แต่พอนึกอะไรบางอย่างออก เขาก็สงสัยเหมือนกันว่าในช่วงที่เขานอนหมดสติไป มีอะไรเกิดขึ้นบ้างซึ่งคนที่ให้คำตอบเรื่องนี้ก็คงไม่พ้นบุญธร โดยสถานการณ์ตอนนี้ฝ่ายทหาร-ตำรวจ กำลังเป็นฝ่ายได้เปรียบและยังสามารถยึดบางพื้นที่คืนได้อีกด้วย ส่วนฝ่ายแก๊งขวานซิ่งของสวี่เฟิ่งเสียกำลังหลักไปแล้วสี่ ล่าสุดโอโตฮวาถูกสำเร็จโทษประหารไปเรียบร้อย
สามคลั่งถูกปราบโดยคลั่งรองคลุ้มคลั่งถูกกระบี่ของหลี่ชิงชิงปลอดชีพ ส่วนอีกสองคลั่งก็บาดเจ็บสาหัสแต่ก็โดนคุมตัวอย่างเข้มงวด เพื่อไม่ให้เกิดเรื่องแบบเดียวกับโอโตฮวา ด้านอัยการเย่เฉินก็กำลังสอบสวนพวกตำรวจเลว ที่ไปรับสินบนแก๊งขวานซิ่งของสวี่หมิงล่าง ซึ่งส่วนใหญ่จะยอมจำนนต่อหลักฐาน และยอมรับโทษแต่โดยดี ปรมัตถ์ได้แต่ถอนใจเพราะการกระทำของพวกเขา มันจะกลายเป็นด่านพร้อยให้กับลูกหลานอีกนาน
ตอนนี้ก็เหลือแค่ฝั่งปีกตะวันตกของโฮรุก ที่จะต้องไปกู้ยึดคืนกลับมา แต่รายละเอียดคงต้องให้คณณัฐ์กับปกรณ์วุฒิ เป็นคนมาบอกเองเนื่องจากทั้งปรมัตถ์และบุญธร ยังต้องนอนพักรักษาตัวอยู่ สามนาทีต่อมาก็มีรถเข็นอาหารเข้ามา พร้อมยาสมุนไพรบำรุงร่างกายสำหรับนักรบฟีนิกซ์ อาหารรอบนี้เป็นพวกเนื้อสเต๊กหมูราดซาวครีม ทั้งสองกินอาหารบนจานจนหมด แล้วจึงดื่มยาสมุนไพรตาม ส่วนภาสพงษ์ที่ก้มมองนาฬิกาข้อมือก็ลุกจากเก้าอี้
"พี่เบย์ครับ" ปรมัตถ์ร้องเรียก "พี่จะไปไหนครับ"
ภาสพงษ์หันมาหาน้องชายและเอามือลูบศีรษะเบา ๆ "พี่ต้องไปรายงานตัวน่ะ ไม่แน่ภารกิจนี้พี่อาจได้เข้าร่วม" พูดจบทหารหนุ่มก็หมุนตัวเตรียมเดินจะออก ทว่าความสงสัยของปรมัตถ์ยังไม่หมดแค่นี้
"พี่ครับ ผมถามอะไรได้ไหมครับ" เขาร้องถาม
"อะไรหรือ" ภาสพงษ์หันมามอง
"พี่เป็นตัดแขนโอโตฮวาจริงเหรอครับ"
ภาสพงษ์ไม่ได้ตอบทันทีแต่กลับทำท่าใช้ความคิดแทน สามนาทีต่อมาเขาจึงมอบคำตอบให้น้องชาย
"ไม่รู้สิ พี่ก็ไม่เคยถามชื่อข้าศึกซะด้วย" ภาสพงษ์ยิ้มและเดินไปยังทางออก "พักผ่อนเยอะ ๆ ล่ะ ไอ้น้อง"
++++++
คณณัฐ์กับปกรณ์วุฒิรีบมาเยี่ยมสองสหายอย่างปรมัตถ์และบุญธร เพื่อจะบอกรายละเอียดของภารกิจที่พวกเขาต้องไป ซึ่งก็คือฝั่งปีกตะวันตกของเมืองโฮรุก โดยเบาะแสจากสายข่าวรายงานว่า ทางฝั่งศัตรูอย่างมาเฟียตระกูลปลาทอง จะลงสนามรบด้วยตนเองคาดว่าคงโดนสวี่เฟิ่งกดดันอีกที เพราะการพ่ายของโอโตฮวากับสามคลั่ง แต่ในที่ประชุมมีอยู่เรื่องหนึ่งที่ทำให้ พลตำรวจโททวีเดชยังคงกังวลอยู่ คือความเข้มงวดในการรักษาความปลอดภัยของเรือนจำกลางประจำเมืองโฮรุก
สวี่หมิงล่างลูกนอกสมรสของสวี่จินหยวน ได้รับสมญานามว่า เทพอัคคีเมฆา แม้ตอนนี้ยังติดอยู่ในคุกที่มีการรักษาความปลอดภัยเข้มงวด แต่ในความเห็นของพลตำรวจโททวีเดช คนอย่างสวี่หมิงล่างถ้าคิดจะแหกคุกละก็ เป็นเรื่องง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปาก ทว่าที่มันยังสงบเสงี่ยมอยู่ห้องขังแบบนี้ อาจกำลังอะไรบางอย่างจากด้านนอกหรือเปล่า สัญญาณที่มีแค่มันที่รู้เท่านั้น ถึงแม้จะเป็นเรื่องน่ากังวล แต่ก็ไม่ใช่ภารกิจของสี่นักรบฟีนิกซ์อยู่ดี
"แล้วมีข่าวเรื่องพ่อของชิงชิงไหม" ปรมัตถ์ถามขึ้น "เพราะพ่อเธอประจำการรบที่นั้น"
ปกรณ์วุฒิทำหน้าครุ่นคิด "พ่อของหลี่ชิงชิงมีชื่อว่าอะไรนะ"
"ร้อยตำรวจโทหลี่เอินไหลน่ะ"
"ออ มีข่าวมาแล้วล่ะ เขาปลอดภัยดีและพยายามต้านฝ่ายศัตรูอยู่ จนกว่ากำลังเสริมจะเข้าไป"
คำตอบที่ได้รับทำให้ปรมัตถ์โล่งใจแทนหลี่ชิงชิง ที่เหลือแค่รอให้แพทย์สนามตรวจร่างกายเขากับบุญธรก่อน หากไม่ติดปัญหาอะไรก็ไปรายงานตัวกับร้อยเอกหลิวเสี่ยวเสี่ยว สี่นาทีต่อมาก็มีแพทย์สนามเดินเข้ามาในเต็นท์ เพื่อทำการตรวจร่างกายของสองยุวชนทหาร คณณัฐ์กับปกรณ์วุฒิจำต้องไปรอด้านนอก เวลาผ่านไปเพียงเก้านาทีหรืออาจเร็วกว่านั้น ปรมัตถ์กับบุญธรก็พากันเดินออกมาจากเต็นท์พยาบาล ทั้งสองสวมเสื้อเกราะเตรียมพร้อมทำภารกิจ
สี่ยุวชนทหารพากันเดินไปยังจุดรวมพล ซึ่งพวกสิบเอกโทนียืนรออยู่ การได้เห็นหน้าปรมัตถ์กับบุญธรก็ทำให้ทุกคนโล่งใจมาก สกรรจ์เดินมาตบไหล่ทั้งสอง "ตื่นสักทีนะ นายสองคนน่ะ" ครู่ต่อมาร้อยเอกหลิวเสี่ยวเสี่ยวและร้อยโทกู้เจิ้นหนาน ก็ปรากกฏตัวพร้อมสั่งให้ลูกทีมรวมพล เมื่อเห็นว่ามากันครบแล้ว ร้อยเอกหลิวเสี่ยวเสี่ยวก็ไม่เสียเวลาและชี้แจ้งภารกิจให้ทุกคน ซึ่งภารกิจคือพวกเขาต้องไปสมทบกับทีมทหารคอมมานโด นำโดย ร้อยตรีซานติซิมา ที่พยายามจะทลายป้อมทางขวาของฝ่ายศัตรู
ส่วนทีมของจ่าสิบเอกแลนเดนจะไปสมทบกับทีมตำรวจสวาทของร้อยตำรวจหลี่เอินไหล ถ้าทุกอย่างราบรื่นฝ่ายพวกเขาก็อาจยึดปีกตะวันตกได้สำเร็จ อย่างไรก็ตามอย่าได้ประมาทพวกมันเป็นอันขาด เพราะฝีมือของมาเฟียตระกูลปลาทองไม่ธรรมดา และพวกมันก็ลงสนามมาสู้ด้วยตัวเองแล้ว สี่ยุวชนทหารแห่งทีมจู่โจมอีวิลลอร์ดแฟนธ่อม ต่างหันมามองหน้ากันหลังจากได้ยินแค่ชื่อกับภาพถ่าย ดูเหมือนสมรภูมินี้จะเป็นครั้งแรกที่ได้เจอตัวเป็น ๆ เสียที
"ได้เวลาส่งพวกมันไปคุยกับรากมะม่วง" ปกรณ์วุฒิพูดและบิดข้อมือไปมา
ร้อยโทกู้เจิ้นหนานออกคำสั่งด้วยเสียงแข็งขันขึ้นว่า "ทุกคนขึ้นรถหุ้มเกราะ !"
+++++
