ตอนที่ 7 ย้ายมาอยู่ด้วยกัน
“พี่สาม นี่ท่านล้อเล่นหรือ”
เฉินเฟิ่งเซียวกระทุ้งข้อศอกไปที่สีข้างของน้องชายให้เงียบทันที เมื่อหันไปมองท่านอ๋อง ที่กำลังตั้งคำถามกับสตรีที่ยืนนิ่งอยู่ตรงหน้า
“ท่านไม่กลัวว่าข้าจะฆ่าท่านหรือ”
“นี่เป็นครั้งที่สองแล้วที่เจ้าถามข้า หลิ่วอวิ๋นซี หากว่าเจ้าอยากจะเอาชีวิตข้าก็คงลงมือไปนานแล้ว คงไม่ต้องรอจนถึงวันนี้กระมัง"
“นางอาจจะกำลังรอจังหวะอยู่ก็ได้นะ”
“เจ้าเงียบไปเลยน้องเก้า”
"พี่ห้าแต่ว่า…."
เมื่อหันมามองสายตาของพระเชษฐา เฉินรั่วเฟิงก็เงียบเสียงลงไปในทันที เขารู้อยู่แล้วว่าหากเฉินตงหรานตัดสินใจจะทำสิ่งใดย่อมไม่มีผู้ใดสามารถค้านได้แม้แต่ฝ่าบาท ซึ่งเป็นพระเชษฐาของพวกเขา
“แลกกับ…”
“เบาะแสของอาจารย์เจ้าที่อยากได้ หอหรงเยว่จะเป็นผู้สืบหาตัวคนร้ายแทนเจ้า ข้ากล้ารับประกันได้เลยว่าน้องเก้าไม่เคยทำงานพลาด”
“เอ่อ ใช่ ๆ ข้ามีสายลับทั่วแคว้นอีกอย่างเรื่องสืบสวนและตามหาคน หอหรงเยว่นับว่าชำนาญมากที่สุด”
“แต่เมื่อคืนพวกท่านพึ่งจะพลาดท่าให้กับหอฟงหรูไปเองมิใช่หรือ”
“เอ่อ อะแฮ่ม! แม่นางหลิ่วเจ้าก็กล่าวเกินไป เรื่องบางเรื่องต่อให้เราคิดการรอบคอบ แต่โจรก็คือโจรอยู่ดี”
“ทำงานให้ข้าแลกกับข่าวที่ต้องการสืบ ที่เจ้ามาหลิงโจวก็เพราะเรื่องนี้มิใช่หรือ”
จนถึงตอนนี้สายตาของหลิ่วอวิ๋นซีก็ยังคงนิ่งไม่ไหวติง ครั้งนี้เริ่มมีรอยยิ้มเล็กน้อยเผยออกมา
“ใคร ๆ ต่างก็บอกว่าท่านอ๋องเก้าเชี่ยวชาญเรื่องการเจรจา คิดไม่ถึงเลยว่าท่านอ๋องเองก็จะมีวิธีการต่อรองที่แยบยลไม่ต่างกัน ก็ได้เช่นนั้นข้ารับปากท่าน ข้าจะทำงานให้ท่าน แลกกับสืบข่าวคนร้ายที่ฆ่าอาจารย์”
“เช่นนั้นก็คุยกันง่ายหน่อย”
“คำไหนคำนั้นอยู่แล้ว ว่าแต่ท่านจะให้ข้าทำสิ่งใด”
“ก่อนอื่นก็น่าจะต้องย้ายเข้ามาอยู่ในตำหนักนี้กับข้าก่อน”
“พรูด! อะแคก ๆ”
เฉินรั่วเฟิงถึงกับสำลักน้ำชาออกมา เฉินเฟิ่งเซียวต้องคลี่พัดออกเพื่อหลบเลี่ยง
“รักษากิริยาหน่อยน้องเก้า”
“ขอโทษทีพี่ห้า พี่สาม! เมื่อครู่นี้ข้าได้ยินไม่ถนัด ท่านว่าจะให้นางทำสิ่งใดนะ”
“ย้ายมาอยู่ในตำหนักกับข้า”
แม้แต่หลิ่วอวิ๋นซีก็หันมาและหรี่ตามอง พร้อมกับขมวดคิ้วให้กับท่านอ๋องด้วยความแปลกใจเช่นกัน
“องครักษ์ส่วนพระองค์ หากไม่อยู่กับข้าจะเรียกว่าองครักษ์อย่างนั้นหรือ อีกอย่างในตอนนี้น้องห้ากับน้องเก้าก็อยู่กับข้าที่นี่ เรื่องที่จะให้เจ้าทำก็ลดลงไป เหลือเพียงบางอย่างที่ต้องให้เจ้าช่วย”
“อ่อ… ที่แท้พี่สามก็มีแผนการนี่เอง”
เฟิ่งเซียวยกลอบยิ้ม ศึกรอบทิศที่ยากเพียงใดท่านอ๋องแห่งหลิงโจวอย่างเฉินตงหรานมิเคยเกรงกลัว แต่ศึกที่อยู่ตรงหน้านี้เขายากจะรับมือ จึงต้องใช้หลิ่วอวิ๋นซีเป็นผู้ช่วยจัดการ
“เช่นนั้น...”
“เจ้ากลับไปเก็บของมาเถอะ แล้วก็ไม่ต้องไปที่หอลั่วฟางแล้ว”
“รับทราบ”
อวิ๋นซีเดินออกไปจากตำหนักแล้ว เฟิ่งเซียวจึงได้คลี่พัดออกมา
“ท่านทำเช่นนี้ จะไม่เป็นการเอาตัวเองเข้าไปเสี่ยงเกินไปหน่อยหรือ”
ตงหรานหันไปมองน้องห้าที่พูดด้วยวาจานิ่ง ๆ แต่แฝงไปด้วยความนัย
“มีแต่เอาตัวเองไปอยู่ในแผน จึงจะรู้ความเป็นไป”
“มิใช่ว่าท่านอยากใช้นางเป็นไม้กันหมาหรอกหรือพี่สาม”
“น้องเก้าพูดให้มันดี ๆ หน่อย พี่สามเป็นถึงหลิงอ๋องแห่งแดนเหนือเชียวนะ”
“ขออภัยแต่ว่าก็ว่าเถอะ หากจะให้วางเดิมพันข้างโม่ชิงเซียนกับหลิ่วอวิ๋นซี มันก็เห็น ๆ อยู่แล้วมิใช่หรือว่าผู้ใดจะชนะ”
“แผนการของสกุลโม่ที่อยากครองอำนาจแบบเบ็ดเสร็จคงจะไม่ง่ายแล้วหากมีหลิ่วอวิ๋นซี”
เฉินตงหรานหันมามองพระอนุชาทั้งสองที่นั่งดื่มชาอยู่
“ก็ต้องดูว่าหลิ่วอวิ๋นซีจะทำหน้าที่นี้ได้ดีมากแค่ไหน”
“ท่านคงมั่นใจอยู่เกินครึ่งส่วน มิเช่นนั้นคงไม่กล้าให้นางอยู่ใกล้ตัวเช่นนี้ พี่สามข้าคิดว่าท่านแปลก ๆ ไปนะ”
“ข้า! เปล่าเสียหน่อยก็แค่… ไม่อยากรับมือเรื่องจุกจิกเช่นนี้ อีกอย่างพวกเจ้าก็รู้ว่าสกุลโม่…”
“ใช่ ๆ เหตุใดข้าจะไม่รู้ว่าโม่ชิงเซียนลุ่มหลงท่านเพียงใด นางน่ะตั้งแต่เกิดมาก็ถูกสกุลโม่ปลูกฝังว่าต้องเป็นชายาของท่าน หากครั้งนี้มาพบก้างชิ้นโตเข้าแล้วล่ะก็… นี่พี่ห้า การมาหลิงโจวของเราในครั้งนี้มีเรื่องสนุกมากกว่าที่คิดเอาไว้เสียอีก”
“หึ เจ้าก็คิดแต่เรื่องเช่นนี้ แล้วคู่หมั้นวัยเยาว์ของเจ้าเล่าน้องเก้า”
“พอเถอะอย่าได้พูดเรื่องที่มันไกลตัวขนาดนั้นเลย เรามาที่นี่เพื่อจะจัดการคดีลอบสังหารขุนนางนะ”
“นี่เป็นเบาะแสทั้งหมดที่ได้มา สกุลเพ่ย สกุลอิ่น สกุลหง สกุลซูและสกุลเหวิน ห้าตระกูลนี้เป็นขุนนางเก่าแก่ของราชวงศ์ก่อน ทั้งสามยอมสวามิภักดิ์กับฝ่าบาท ที่เหลืออยู่ในตอนนี้ล้วนเป็นขุนนางใหม่ของเฉินซานทั้งหมด”
“เช่นนั้นก็เกี่ยวกับความแค้นของคนราชวงศ์ก่อน”
“สกุลซูถูกฆ่ายกครัวก่อน ตามมาด้วยสกุลหง และอีกครั้งพวกมันลงมือไม่ต่างกับครั้งนี้ กำจัดสกุลอิ่นและสกุลเหรินพร้อมกัน”
“ฆ่าพร้อมกันสองครั้งภายในคืนเดียว เช่นนั้นคนของหอฟงหรูมีมากเท่าใดกันแน่”
“ที่สกุลอิ่นเหมือนจะมีเพียงไม่กี่คน ข้าติดตามมาจนถึงหอซิงเฟย พวกมันก็ลงมือฆ่าเหรินลั่วหลี แล้วพบกับหลิ่วอวิ๋นซีที่นั่น”
“อะไรนะ นางไปทำอะไรที่นั่น”
“ดูเหมือนว่าใต้เท้าเหรินจะรู้ว่ามีภัย จึงได้อยากจ้างองครักษ์มาอารักขา หลิ่วอวิ๋นซีเดิมทีจะมารับงานนี้แต่กลับมาพบว่าใต้เท้าเหรินถูกฆ่าเสียก่อน คืนนั้นนางใช้เข็มพิษวารีจัดการคนร้าย ข้าจึงได้พานางกลับมาด้วย”
“เป็นเช่นนี้นี่เอง”
“คนร้ายบุกหอคณิกาชื่อดังกลางเมือง ลงมือฆ่าคนอย่างอุกอาจแต่หลิ่วอวิ๋นซีกลับโผล่มาในเวลานั้นพอดี นี่พี่สาม ท่านไม่คิดว่าเรื่องนี้มันจะบังเอิญเกินไปหรอกหรือ”
“โง่อรกแล้ว... นี่เจ้าเป็นผู้ดูแลหอหรงเยว่จริงหรือ พี่สามย่อมต้องสงสัยนางถึงได้พากลับมาด้วย แต่ไร้หลักฐานจึงอยากจะเก็บนางไว้ใกล้ตัว เพื่อวันหนึ่งจะได้รู้จุดประสงค์ที่แท้จริงอย่างไรเล่า”
“พี่ห้าท่านอ่านได้ปรุโปร่งยิ่งนัก นับถือแล้ว”
“ท่านให้นางไปที่เข้าหอลั่วเฟย เพื่ออยากให้เหลามาม่าช่วยเฝ้าดูนางระหว่างนั้นก็วางแผนวางกำลังรอบสกุลเพ่ย”
“เหลามาม่าบอกว่านอกจากนางจะจดจำท่วงท่าในการรำได้รวดเร็วและมีพรสวรรค์ ร่ายรำได้งดงามกว่าผู้ใดในหอ... อะแฮ่ม ช่างเถอะ นางบอกว่าท่าทีของอวิ๋นซีไม่มีอะไรน่าสงสัย เสียดายก็แต่เราคาดการณ์ผิดไปครึ่งก้าว”
“พี่สามคิดว่าเป้าหมายในครั้งนั้นจะเป็นใต้เท้าเพ่ย”
“ใช่ แต่กลับพลาดท่าเพราะไม่คิดว่าเป้าหมายในครั้งนี้กลับเป็นฮูหยินผู้เฒ่า ข้าคิดเช่นไรก็คิดไม่ออกจนน้องเก้ามาบอก”
“ท่านอยากทดสอบหลิ่วอวิ๋นซีอีกครั้ง จึงได้เรียกให้นางมาดูยาพิษในถาดนี้”
เฉินตงหรานหันมามองหน้าน้องห้าของเขาพร้อมกับยิ้ม
“มิใช่ว่าข้าช่วยเจ้าอยู่หรือ เจ้าเองก็รู้จักพิษนี้ดีกว่าผู้ใดแต่ยังรอให้นางพูดออกมา มันไม่ต่างกันหรอกหรือ”
ทั้งสองยิ้มอย่างรู้ทันกัน มีเพียงเฉินรั่วเฟิงที่นั่งมองพระเชษฐาทั้งสองด้วยความหงุดหงิดเล็กน้อย
“พวกท่านชอบพูดแล้วเข้าใจกันเอง ช่างเถอะรอพี่แปดมาถึงข้าก็มีพวกแล้ว”
“จริงสิน้องแปดเป็นอย่างไรบ้าง ศึกที่ดินแดนบูรพายาวนานกว่าสองเดือนยังไม่คลี่คลายอีกหรือ”
“ก็คงจะใกล้แล้ว ครั้งล่าสุดที่พี่แปดส่งข่าวมาบอกว่าอีกไม่เกินหนึ่งเดือนจะมาพบกันที่นี่ ข้าบอกไปแล้วว่าหากไม่ไหวจริง ๆ ก็จะส่งกองทัพของพี่สามไปช่วย แต่พี่แปดบอกว่า…”
""ดินแดนบูรพานี้ข้าดูแล ไม่มีทางให้พี่น้องลำบาก""
“เอ๊ะ เหตุใดพวกท่านจึงรู้เล่า ไม่สนุกเอาเสียเลย”