ตอนที่ 8 สาวใช้ข้างกาย
เรือนพักอวิ๋นซี
หลิ่วอวิ๋นซีเดินมาเก็บของบางส่วนเพื่อจะย้ายออกไปอยู่ที่ตำหนักท่านอ๋อง แต่เมื่อมาถึงของใช้ทุกอย่างก็ถูกจัดใส่หีบเตรียมย้ายจนหมดแล้ว สาวใช้ทั้งสองของท่านอ๋องเดินมาคำนับให้นาง
“คุณหนูหลิ่ว ข้าน้อยเก็บของที่จำเป็นให้ท่านแล้ว เหลือเพียงของส่วนตัว ข้าทิ้งหีบเอาไว้ให้ท่านเก็บอีกสักครู่จะส่งคนมาขนของที่เหลือไป”
“ขอบใจมากอาลี่”
“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ”
พวกนางเริ่มขนของออกไปแล้ว อวิ๋นซีจึงได้นั่งที่เตียงและทบทวนเรื่องราวที่เกิดขึ้น
‘เขาเริ่มระแวงข้าแล้วสินะ ตอนนี้ให้ข้าไปอยู่ที่ตำหนักเดียวกับเขา คงกลัวว่าข้าจะลอบติดต่อคนภายนอก’
อวิ๋นซีหันมาเก็บของในห้องทีละอย่างลงไปในหีบที่อาลี่ทิ้งเอาไว้ให้พลางคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้น แม้ว่าท่านอ๋องจะไม่มีท่าทีน่าสงสัยแต่นางก็พยายามที่จะทำตัวให้เหมือนเดิม ไม่ว่าจะเป็นการช่วยเขาในจวนสกุลเพ่ย หรือบอกชื่อยาพิษซึ่งนางรู้ดีว่าเป็นแค่การหยั่งเชิงจากเสิ่นอ๋อง เฉินเฟิ่งเซียวเท่านั้น
‘พวกเขาใช้น้องชายทั้งสองมาหยั่งเชิงข้า จากนี้คงต้องระวังตัวให้มากกว่าเดิม’
ตำหนักท่านอ๋อง
อวิ๋นซีเดินเข้ามาในตำหนักที่เริ่มเงียบแล้วในเวลาบ่าย ดูเหมือนว่าท่านอ๋องทั้งสองซึ่งเป็นพระอนุชาของหลิงอ๋อง จะกลับไปพักที่ตำหนักซึ่งจัดเอาไว้ต่างหากแล้ว เมื่อนางเดินเข้ามาก็พบกับท่านอ๋องในห้องทรงงาน
“เจ้ามาแล้วหรือ”
“เพคะ ว่าแต่ท่านอ๋องทั้งสอง…”
“พวกเขากลับไปพักแล้ว เจ้าเข้ามานี่สิ เมื่อครู่นี้คนของทางการพึ่งจะนำผลการชันสูตรของฮูหยินผู้เฒ่ามาให้”
อวิ๋นซีเดินไปนั่งข้าง ๆ เขาและมองดูรายงานบนโต๊ะที่ท่านอ๋องยื่นมาให้แต่นางกลับไม่เปิดออกมาอ่าน
“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับข้า ท่านไม่จำเป็นจะต้องให้ข้าดู”
“ข้าคิดว่าเจ้าจะสนใจเสียอีก เพราะสิ่งที่หอฟงหรูต้องการในครั้งนี้มิใช่ชีวิตคน แต่เป็นตำรับยาพิษที่ฮูหยินผู้เฒ่าเพ่ยเป็นคนคิดค้นขึ้นมาได้ เจ้าก็รู้ว่ายาพิษนี้น่าสนใจ”
“แต่นี่ไม่เกี่ยวข้องกับข้า ภารกิจของข้าคืออารักขาท่าน มิใช่สนใจเรื่องคดีฆ่าคนตาย”
“เช่นนั้นก็ดี ข้าอยากให้เจ้าทำงานอย่างหนึ่ง”
“งานอะไร”
“สาวใช้ข้างกายข้า”
“ท่านว่าอะไรนะ”
“อย่าเข้าใจผิด ข้ามิได้ให้เจ้ามาปรนนิบัติข้าเช่นนั้นจริง ๆ และแน่นอนว่าข้ามิได้ขาดแคลนสาวใช้เพียงแต่ว่าข้า…”
ท่านอ๋องอธิบายไม่ค่อยเข้าใจนัก แต่พอจะพูดอวิ๋นซีก็เริ่มสับสนเพราะเขาพูดจาวนไปวนมาจนไม่รู้เรื่อง ทั้งสองเดินออกมาด้านนอกเพื่อให้อารมณ์ปลอดโปร่ง เขาพยายามเล่าให้นางฟังจนเข้าใจ
“ที่แท้ท่านก็แค่อยากได้ไม้กันหมาสักคน เพื่อจะได้ไม่ต้องแต่งงาน”
“ในยามนี้หลิงโจวพึ่งจะพ้นจากภัยสงคราม บ้านเมืองยังต้องฟื้นฟู อีกห้าหรือสิบปี กว่าจะกลับมาอุดมสมบูรณ์ข้าก็แค่ไม่อยากคิดเรื่องนี้ในตอนนี้”
เสียงเอะอะดังขึ้นจากด้านหน้าตำหนัก ซึ่งในตอนนี้ทั้งคู่อยู่ในสวน เมื่อหันไปมองก็เห็นว่ามีสตรีพร้อมกับสาวใช้สองสามคนเดินเข้ามา เมื่อเห็นหน้าอวิ๋นซีก็ไม่ได้ถามไถ่และพุ่งเข้ามาจะฟาดฝ่ามือใส่นางทันที โดยที่ไม่ทันได้เห็นด้วยซ้ำว่าท่านอ๋องยืนอยู่ข้าง ๆ นาง
“เจ้านี่เอง นังแพศยา!”
“โม่ชิงเซียน หยุดนะ!”
ฝ่ามือบางฟาดมาแต่อวิ๋นซีคว้าเอาไว้ได้ทันพร้อมกับบิดข้อมือของอีกฝ่ายจนเสียงดัง เสียงกรีดร้องดังขึ้นมากลางสวนหน้าตำหนัก อวิ๋นซีบิดตัวฝ่ายตรงข้ามขึ้นมาหมุนและปล่อยให้กระแทกพื้นอย่างแรง
“คุณหนู!”
“ฮึก! เจ้า….”
อวิ๋นซียกเข็มเงินขึ้นมาเตรียมจะซัดไปที่ผู้บุกรุก ท่านอ๋องเห็นท่าไม่ดีจึงรีบห้ามเอาไว้ แต่ก็นึกตกใจไม่น้อยที่เห็นหลิ่วอวิ๋นซีลงมือเด็ดขาดและรวดเร็ว แต่ก็นับว่าเป็นบทเรียนที่ดีของ “โม่ชิงเซียน”
“ช้าก่อนอวิ๋นซี”
“เจ้าเป็นผู้ใด เหตุใดจึงได้เข้ามาในเขตตำหนักในโดยพลการเช่นนี้”
สาวใช้สองคนค่อย ๆ พยุง “โม่ชิงเซียน” ที่ล้มลงไป ข้อมือนางหักและตอนนี้ใบหน้าก็คลุกฝุ่นจนเปื้อนไปทั้งตัว ทั้งเจ็บและจุกจนพูดแทบไม่ออก
“เจ้า…เจ้า ท่านอ๋อง…ถวาย...”
“ไม่ต้องมากพิธี โม่ชิงเซียนเจ้าพรวดพราดเข้ามาเช่นนี้ มีอะไรด่วนงั้นหรือ”
“หม่อมฉัน… ได้ข่าวว่าพระองค์พาสตรีมาที่นี่ ข่าวลือหนาหูจึงได้…”
“พูดอะไรพึมพำฟังไม่รู้เรื่อง ให้ข้าฆ่านางได้เลยหรือไม่”
""อย่านะ""
“เฮือก!!”
โม่ชิงเซียนรู้ในบัดดลว่ามิใช่คู่ต่อสู้ของคนตรงหน้า และคิดผิดเสียแล้วที่เดินเข้ามาในเวลาเช่นนี้ ท่าทางของท่านอ๋องนอกจากจะไม่ใส่ใจอาการบาดเจ็บของนางแล้ว ยังมองไปที่สตรีอีกคนด้วยสายพระเนตรที่ทำให้ชิงเซียนเริ่มหวั่นใจ
“อย่าพึ่งใจร้อน นางเป็นบุตรีของเสนาบดีโม่ นามว่าโม่ชิงเซียน”
เมื่อท่านอ๋องเอ่ยย้ำนามของนาง อวิ๋นซีจึงได้เข้าใจเพราะทั้งสองพึ่งจะคุยเรื่องนี้กันเสร็จ ไม่คิดว่าจู่ ๆ โม่ชิงเซียนจะโง่โผล่มาตอนนี้ให้นางได้ข่มขู่เสียก่อน
“อ้อ ที่แท้ก็บุตรสาวขุนนาง ข้าไม่เห็นจะรู้เลยว่าบุตรีขุนนางชั้นสูงจะสามารถเดินเข้าออกในตำหนักท่านได้”
“เรื่องนี้… ข้าคงจะต้องสอบสวนอีกครั้งเช่นกัน”
สายเนตรหันไปมองยังทหารองครักษ์และสาวใช้ของสกุลโม่ในทันที ทั้งหมดเริ่มเกรงกลัวเพราะไม่คิดว่าจะมาพบเหตุการณ์เช่นนี้ โม่ชิงเซียนเริ่มร้องเพื่อเบี่ยงความสนใจ
“โอ๊ย! มือของข้า.. ข้อมือข้าหักแล้วกระมัง ท่านอ๋องเพคะ หม่อมฉันไม่ทราบมาก่อนว่าพระองค์จะมีแขก แต่เหตุใดจึงลงมือเช่นนี้ หม่อมฉันเกือบตายแล้ว”
“ข้าเป็นองครักษ์มิใช่แขก เมื่อครู่นี้เป็นเจ้าที่วิ่งเข้ามาจงใจจะลงมือก่อน ที่ข้าทำก็แค่การป้องกันตัวเท่านั้น”
“จะบอกว่าเจ้าหักมือข้า ก็เพื่อป้องกันตัวงั้นหรือ”
“แต่เจ้าบุกเข้ามาโดยไม่แจ้ง อีกอย่างการที่เข้าหาองครักษ์ข้างกายข้าซึ่งเป็นนักฆ่าเช่นนี้ วันนี้เจ้ายังหายใจอยู่ น่าจะต้องขอบคุณนางมากกว่านะ”
“ท่านอ๋อง!”
“พาคุณหนูโม่ไปส่ง หลังจากนี้ห้ามมิให้ผู้ใดเข้าออกตำหนักของข้าโดยพลการ”
“ท่านอ๋องเพคะ หม่อมฉันเพียงอยากจะมาเข้าเฝ้า ในฐานะ…”
“โม่ชิงเซียน หากเจ้าอยากจะพบก็ควรส่งเรื่องมาแจ้งข้าล่วงหน้าก่อน ถ้าข้าอนุญาตก็จะส่งคนไปแจ้ง เรื่องกฎระเบียบพิธีเช่นนี้ เจ้าที่เป็นบุตรขุนนางใหญ่น่าจะทราบดี ต้องให้ข้าสอนอีกอย่างนั้นหรือ”
“แต่ว่า... หม่อมฉันถูกทำร้าย”
“พอแล้ว วันนี้เจ้ากลับไปเถอะ”
“ตกลงเรื่องที่พระองค์นำสตรีผู้นี้เข้ามาอยู่ข้างกาย ก็เป็นเรื่องจริง พระองค์ไม่กลัวว่าขุนนางคนอื่นจะคิดไม่ดีหรือเพคะ ทั้ง ๆ ที่ทุกคนก็ต่างทราบว่าพวกเรากำลังจะ…”
“หากว่าข้ามิได้พูดหรือมีคำสั่งใดลงไป ก็ไม่ถือว่าเราสองคนเกี่ยวข้องอะไรกัน หยุดพูดเพ้อเจ้อเสียที”
“แต่ว่า! เจ้าจะทำสิ่งใด!”
เข็มเงินชี้ไปที่หน้าของโม่ชิงเซียน สายตาที่นิ่งดุจพยัคฆ์ตัวเมียที่ดุร้ายที่กำลังจดจ้องเหยื่อ ทำเอาโม่ชิงเซียนไร้เรี่ยวแรงแม้แต่จะพูดต่อ
“แม่นางโม่ หากวันนี้เจ้าไม่ถอยข้าก็มีสองทางเลือกให้เจ้า”
“เจ้าบ้าไปแล้วหรือ รู้หรือไม่ว่าข้าเป็นผู้ใด”
“มิใช่ว่าเจ้าเองก็อยากจะประกาศให้คนทั่วทั้งหลิงโจวรู้หรอกหรือว่าเจ้าเป็นผู้ใด แต่นั่นมิใช่ธุระของข้า เพราะหน้าที่ของข้าก็คืออารักขา ใครเข้าใกล้ท่านอ๋อง… ก็เตรียมตัวตาย”
“เจ้า!”
“ทางเลือกที่หนึ่ง คือเจ้าเดินออกไปดี ๆ นับจากนี้ก็ทำตามกฎระเบียบที่ถูกต้อง แล้วอย่าพรวดพราดเข้ามาเช่นวันนี้อีก”
“หากว่าข้าไม่ฟังเล่า เจ้ามีสิทธิ์อันใดจะมาสั่งข้า”
“เช่นนั้นก็เหลือทางเลือกที่สอง… คือตายอยู่ตรงนี้ เดี๋ยวนี้เลย!