04
ตอนที่ 4
Rrrr Rrrr
แรงสั่นแจ้งเตือนหมดเวลาสามชั่วโมงของนาฬิกาปลุกที่เธอตั้งไว้เรียกสติปริมให้หลุดจากภวังค์ยามเขียนนิยามและกลับมายังโลกความจริง
เป็นเรื่องปกติของเธอที่ต้องทำแบบนี้เพราะเคยเขียนจนภวังค์หลุดไปในงานจนลืมทานข้าวและพักผ่อน เธอเคยมาราธอนเขียนนานกว่า 6 ชั่วโมงโดยไม่พักทานน้ำและทานข้าววนเวียนจนจบปิดเล่ม สุดท้ายก็ไปจบที่ต้องนอนโรงพยาบาลทั้งเดือน
และทั้งเดือนนั้นเธอเลยได้นอนโรงพยาบาล งานไม่ได้ทำ ต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์ตลอดเวลาเพราะร่างกายอ่อนแอมากจนเกือบไม่รอด
เพื่อนของเธอที่เป็นหมอเลยแนะนำว่าให้เธอตั้งเวลาปลุกเอาไว้ที่ 2-3 ชั่วโมงเพื่อเตือนให้ตัวเองพักและออกจากภวังค์บ้าง เพื่อให้สมองของเธอได้พักผ่อนและปล่อยให้กล้ามเนื้อผ่อนคลายลง หากกลัวพักเพลินให้ตั้งนาฬิกาเอาไว้ที่ 30 นาที หรือ 1 ชั่วโมง แล้วแต่ตัวเธอแต่ไม่ควรพักต่ำกว่า 20 นาที
เป็นเหตุให้เธอต้องตั้งนาฬิกาเอาไว้ตลอดเวลาและพักตามนั้นเป๊ะ ๆ เพื่อกันไม่ให้ตัวเองต้องนอนโรงพยาบาลนาน ๆ อีก
“เฮ้อออ อย่างน้อยก็ได้ 2 ตอนตามเป้าก็ยังดี สปีดยังไม่ตกล่ะนะ”
ร่างเพรียวลุกขึ้นยืดเส้นยืดสายก่อนจะเดินไปทิ้งตัวลงนอนกับโซฟาเบดจนเกิดเสียงดับตุ้บขึ้นในห้องเบา ๆ ดวงตาสีน้ำตาลมองตุ๊กตาสุนัขสีดำที่เธอจำไม่ได้แล้วว่าเคยได้รับมาจากที่ไหน
ตุ๊กตาสุนัขดัลเมเชี่ยนเหรอ...คุ้น ๆ จังเลยนะ แต่จำไม่ได้แล้วว่าได้มาจากไหน...
“ใครเป็นคนให้เรามากันนะ...อ่า ช่างมันเถอะ”
ร่างเพรียวบางกลิ้งตัวไปตามความยาวของโซฟาเบดสักพักก่อนจะหลับรอหลานในความดูแลที่ทำความสะอาดอยู่ข้างนอก
ปริมเปิดประตูออกจากห้องก็ต้องตกใจกับกลิ่นหอมและบรรยากาศที่ไร้ฝุ่นของห้องนั่งเล่น
กลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้อที่ปะปนอยู่ในอากาศผสานไปกับกลิ่นน้ำหอมปรับอากาศกลิ่นโปรดที่เธอชอบลอยฟุ้งในอากาศ ความสะอาดในระดับที่มากกว่าเธอยามทำความสะอาดห้องเองทำให้ความอ่อนล้าที่สะสมมาหายไปเป็นปลิดทิ้ง
หญิงสาววสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะพ่นมันออกมาช้า ๆ เหมือนที่ชอบทำยามไปสูดอากาศบริสุทธิ์บนภูเขาหรือริมทะเล
“ชอบไหมครับ”
“อ๊ะ อื้อ ชอบมากเลย ขอบคุณนะ คนเก่ง เหนื่อยไหม น้าขอโทษนะที่งานยุ่งจนเราต้องมาทำความสะอาดแบบนี้”
“ไม่ครับ สนุกดี จริง ๆ ผมชอบนะ แล้ว..จริง ๆ ห้องน้าก็ไม่ได้รกมาก แค่มีเศษขนมกับขวดน้ำเยอะไปหน่อย”
“อ่า ก็ต้องแบบนั้นแหละ”
“น้าปริมชอบทานขนมกับพวกน้ำอัดลมเหรอครับ”
นภัทรเอ่ยถามด้วยสีหน้าดุดันจนปริมนึกหวาดหวั่นแต่ก็เลือกที่จะตอบไปตามตรง ไม่รู้ด้วยสาเหตุอะไรแต่เธอไม่นึกอยากโกหกหลานชายคนนี้ของเธอเลยแม้แต่น้อย
“อืม ก็...มันทำให้สมองแล่นดี นี่เสร็จแล้วใช่ไหม งั้นไปทานข้าวกัน”
“ครับ” ใบหน้าดุดันเมื่อครู่แปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มกว้างราวกับสุนัขที่เจ้าของยอมพาออกไปเดินเล่นทันทีที่เธอเอ่ยชวนไปทานข้าว
“งั้น...น้าขอไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแป๊บหนึ่ง”
หญิงสาวเอ่ยไปตามตรงก่อนจะหมุนตัวเดินเข้าห้องนอนที่อยู่ติดกับห้องทำงานเปลี่ยนเสื้อผ้าจากชุดนอนเป็นกางเกงขาสั้นกับเสื้อยืดคอวีธรรมดาและออกมาช่วยนภัทรถือถุงขยะในห้องของเธอออกไปทิ้ง
คุณน้าคนสวยและหลานชายผู้หล่อเหลาช่วยกันหิ้วทุกขยะไปที่ลิฟต์เพื่อนำลงไปทิ้งที่ถังขยะชั้นใต้ดินของคอนโด
ถุงขยะสีใสกว่าห้าถุงถูกโยนลงถังขยะของเทศบาลที่ทางโครงการคอนโดติดต่อเอามาวางไว้จนหมด ปริมมองสำรวจถุงขยะอีกครั้งเพื่อเช็กว่าไม่มีถุงไหนที่เธอทิ้งผิดประเภทก่อนจะดึงฝาถังปิดแล้วเดินออกมา
“ฮู่วว เรียบร้อยละ”
“แล้วเราจะไปที่ไหนกันดีครับ”
“อ่า...ไม่รู้เลย เราอยากทานอะไรล่ะ”
“สเต๊กจะหนักไปไหมครับ”
“ไม่หรอก น้าก็อยากทานเหมือนกัน มีร้านไหนที่อยากไปทานเป็นพิเศษไหม” ปริมเอ่ยถามขึ้นพร้อมเปิดอินเทอร์เน็ตดูว่าจากแถวคอนโดมีร้านไหนอร่อยบ้าง
“ไม่มีครับ คุณน้าเลือกได้เลย ผมเชื่อใจ” น้ำเสียงทุ้มพร้อมรอยยิ้มหวานที่ส่งมาให้ทำเอาก้อนเนื้อในอกของปริมกระตุกจนแทบจะหลุดจากอก
เธอไม่เคยคิดเลยว่าแค่รอยยิ้มของเด็กหนุ่มคนนี้จะทำให้หัวใจของเธอที่ด้านชาเรื่องความรักไปนานจะกระตุกได้ มือเรียวยกขึ้นทาบอกพลางลูบเบา ๆ ให้เข้าหัวใจไม่รักดีสงบลง
“งั้น...ไปร้านประจำน้าก็แล้วกัน อยู่แถวนี้พอดีด้วย”
“ครับ”
เมื่อได้รับการตอบรับจากคนในความดูแลปริมก็เดินนำไปยังรถของเธอที่จอดไว้ทันทีอย่างไม่รีรอ ด้วยกลัวว่าถ้าไปช้ากว่านี้คนจะเยอะจนไม่ได้ทานเมนูพิเศษประจำวัน
“โอเค ลืมอะไรที่ห้องไหม”
“ไม่มีครับ”
“โอเคงั้นไปกัน เดี๋ยวร้านปิดไปแล้วเราจะอดกินเมนูพิเศษของวันนี้”
“เมนูพิเศษเหรอครับ”
“อืม เมนูพิเศษ แต่น้าไม่รู้หรอกนะว่าวันนี้จะเป็นเมนูอะไรเพราะมันไม่เหมือนกันสักวัน เป็นเมนูที่ให้ลูกค้าทานฟรี โดยมีข้อแม้ว่าต้องเขียนรีวิวรสชาติให้ทางร้านด้วย ถ้าจานไหนลูกค้าสนใจเยอะโอนเนอร์ของร้านก็จะเอามาขาย แต่ถ้าจานไหนไม่อร่อย ลูกค้าบอกแหวะ ก็ไม่เอามาขาย เป็นการเพิ่มเมนูให้ร้านโดยวัดจากลูกค้า เป็นไอเดียที่ดีมาก ๆ เลยล่ะ ฮึๆ”
นักเขียนสาวเจ้าของนามปากกาชื่อดังพูดเล่าถึงร้านสเต๊กร้านโปรดของเธอไม่คาดปาก ด้วยรสชาติและเซอร์วิสที่ดีจนคุ้มค่าเซอร์วิสชาร์ตที่เสียไป พลางเดินนำชายหนุ่มไปยังทีจอดรถ
“อ๊ะ ตอนกลับมาเราอย่าลืมเตือนน้าให้เพิ่มลายนิ้วเราที่ประตูห้องไว้ด้วยนะ”
ปริมเอ่ยขึ้นระหว่างที่พวกเขากำลังเดินอยู่ในลานจอดรถเพื่อไปที่รถของเธอที่อยู่อีกตึกหนึ่ง เรียวขาขาวก้าวเดินช้า ๆ พร้อมใบหน้างดงามที่หมุนกลับมามองข้างหลังเป็นระยะ
“อ่าได้ครับ แต่ทำไมน้าไม่ใช้คีย์การ์ดล่ะ?”
“ไม่เอาหรอก ถ้าเกิดทำหายแล้วคนเก็บได้เป็นพวกโรคจิตขึ้นมาจะแย่เอา ใช้สแกนนิ้วไปนั่นแหละดีแล้ว”
“แสดงว่าที่ห้องไม่มีคีย์การ์ดแต่แรกเหรอครับ”
“มีนะ แต่น้าขอทำเรื่องยกเลิกแล้วเปลี่ยนเป็นสแกนนิ้วแทน มันปลอดภัยกว่า คนที่มีนิ้วก็มีแค่ บ.ก. ของน้า พวกนิติ ยาม หรือใคร ๆ ก็ไม่มี ปลอดภัย ไม่ต้องกลัวว่าจะโดนยามหรือคนที่มีกุญแจขึ้นมาข่มขืนเหมือนในข่าว”
เจ้าของร่างเพรียวเอ่ยถึงเรื่องในข่าวเมื่อหลายเดือนก่อนไปพลางระหว่างเดินนำลูกชายของเพื่อนสนิทไปยังอาคารจอดรถที่อยู่ไม่ไกลจากตึกเท่าไรนัก
คอนโดของปริมมีสองตึก ตึกแรกเป็นห้องขนาด 30 - 70 ตรม. ส่วนตึกที่สองคือตึกที่มีขนาดห้องตั้งแต่ 100 ตรม.ขึ้นไป โดยที่ทั้งสองตึกต่างมีอาคารจอดรถเป็นของตัวเอง และลูกบ้านสามารถเดินจากทางเชื่อมไปยังอาคารจอดรถได้เลย
“สะดวกสบายดีเหมือนกันนะครับ”
“อืม น้าเลือกคอนโดนี้เพราะอาคารจอดรถนี่ล่ะ อะ ถึงชั้นเราแล้ว”
ตัวเลขดิจิทัลบอกว่าถึงชั้นสิบสร้างความงุนงงให้กับนภัทรก่อนที่ชายหนุ่มจะเข้าใจการวางผังจอดรถของคอนโดมิเนียมหรูแห่งนี้อย่างรวดเร็วเมื่อเห็นเลขซองจอดรถเป็นเลขเดียวกับห้องพักของและป้ายทะเบียนรถ กันคนเนียนจอดสินะ
“แปลกใจเหรอ”
“ครับ นิดหน่อยแต่ตอนนี้ผมเข้าใจแล้ว”
“เก่งสมกับเป็นลูกยัยแพรเลยนะ”
คุยกันได้ไม่นานทั้งสองก็มาหยุดที่หน้ารถซีดานแบรนด์ยุโรปชื่อดัง รุ่นคลาสสิกที่เป็นที่นิยมในหมู่สาว ๆ วัยทำงานเพราะห้องโดยสารกว้างขวางและสมรรถนะคล่องตัว
“รถสวยมากเลยครับ”
“ปากหวานนะเรา แต่ก็ขอบคุณจ้ะ ปะขึ้นรถกันเดี๋ยวไปไม่ทันร้านปิด”
หญิงสาวเอ่ยชมชายหนุ่มยิ้ม ๆ ก่อนจะกดเปิดรถซีดานคันหรูก่อนจะจัดแจงพาตัวเองเข้าไปนั่งในห้องโดยสาร
ประตูรถสีดำเงางามถูกปิดพร้อมรถซีดานคันงามที่พุ่งตัวออกจากคอนโดมิเนียมหรูตรงไปยังร้านสเต๊กชื่อดังทันที
ใช้เวลาไม่ถึง 30 นาทีรถปริมและนภัทรก็เดินทางมาถึงร้าน ร่างเพรียวดับเครื่องยนต์และลงจากรถพร้อมกับร่างสูงโปร่งของนภัทรก่อนจะรีบจ้ำอ้าวเข้าร้านอย่างรวดเร็วเพราะอีกแม้เวลาปิดร้านจะเป็นในอีก 1 ชั่วโมงข้างหน้าก็ตาม
“หิวเหรอครับ?”
“อ่า ตอนแรกก็นิดหน่อยแต่พอได้กลิ่นอาหารหอม ๆ ก็ยิ่งหิวน่ะ อ๊ะ สวัสดีค่ะ ต้องการโต๊ะสำหรับสองที่ ไม่ทราบว่าพอมีที่นั่งไหมคะ”
ปริมเรียกพนักงานคนหนึ่งไว้ก่อนจะเอ่ยถาม เพราะตามปกติหากไม่ได้จองโต๊ะไว้และวอล์กอินเข้ามาเธอต้องลุ้นเอาว่าช่วงเวลานี้ร้านมีโต๊ะพอให้ขาจรแบบเธอเข้านั่งหรือไม่
“มีค่ะ อาทิตย์นี้ทั้งอาทิตย์ทางร้านเปิดวอล์กอินอย่างเดียว คุณลูกค้าเชิญเลือกโต๊ะได้ตามสบายเลยค่ะ”
พนักงานสาวเอ่ยตอบปริมและนภัทรด้วยรอยยิ้มอย่างเป็นมิตรก่อนจะผายมือให้หญิงสาวเดินนำเพื่อเลือกโต๊ะที่ต้องการ
ปริมได้ยินดังนั้นก็เดินไปเลือกโต๊ะที่อยู่ชั้นสองของร้านทันทีอย่างไม่รีรอ เพราะเธอชอบความเป็นส่วนตัวมากกว่านั่งฟังเสียงพูดคุยของแขกคนอื่นในร้าน
บริกรประจำชั้นที่จำได้ว่าปริมคือขาก็รีบเข้ามาบริการทันทีที่เห็นใบหน้างดงามของเธอ ชายหนุ่มที่มีจริตออกสาวเล็กน้อยรั้งรอจนนักเขียนในดวงใจนั่งลงที่โต๊ะก่อนจะเดินเข้าไปบริการแทนพนักงานที่เดินตามมา
“สวัสดีครับคุณปริม ไม่ได้เจอนานเลยสบายดีใช่ไหมครับ”
“สบายจ้ะพิง พี่งานยุ่งเลยไม่ค่อยได้มา วันนี้มีอะไรแนะนำไหมเอ่ย”
“มีเป็นสเต๊กเนื้อย่างถ่านราดด้วยซอสบาบีคิวทานคู่กับมันฝรั่งอบเนยสดและพาสต้าครีมทรัฟเฟิลทานคู่กับปลาเนื้อขาวครับ ส่วน เมนูพิเศษวันนี้เป็นซุปไวต์ครีมรสอ่อนที่เชฟจะใส่ผักโขมหันชิ้นและเห็ดแชมปิญองครับ เนื้อซุปจะเป็นไวต์ครีมมีผักโขมและเห็ดหันชิ้นไม่ได้ปั่นรวมจนเป็นเนื้อเดียวกัน ผมแอบเห็นมาแล้วน่าทานมากเลยครับ”
“โอนเนอร์คิดสูตรใหม่เหรอ?”
“ครับ เห็นโอนเนอร์ว่าได้ไอเดียตอนอ่านสูตรซุปครีมผักโขม แต่โอนเนอร์ไม่ชอบสีตอนทำเสร็จ ทั้งยังไม่ชอบที่มันแหลกละเอียดจนหมดสารอาหารเลยเกิดเป็นเมนูนี้ขึ้นมา ตัวซุปจะเสิร์ฟกับบักเก็ตอบกรอบที่เป็นสูตรโฮมเมดของทางร้าน คุณปริมและคุณ เอ่อ...”
บริกรหนุ่มที่พึ่งบรรยายเมนูพิเศษในวันนี้เสร็จเอ่ยถามความสนใจของลูกค้าก่อนจะต้องชะงักหน้าซีดเผือดเมื่อตนให้ความสนใจหญิงสาวผู้เป็นแขกประจำมากเกินไปจนลืมถามชายหนุ่มที่มากับเธอ
ร่างเพรียวโค้งลง 90 องศาพร้อมเอ่ยขอโทษแจกเมนูอีกท่านในโต๊ะที่ตัวเองดูแลอย่างจริงใจเพราะตนเผลอไผลในความงดงามของนักเขียนในดวงใจจนไม่ได้ใส่ใจแขกอีกคนที่มาด้วยไปเสียอย่างนั้น
“ขออภัยจริง ๆ ครับคุณผู้ชายผมไม่ได้มีเจตนาจะเมินเฉย”
“ไม่เป็นไรครับ ผมเข้าใจ ผมนภัทร ยินดีที่ได้รู้จักครับ”
คิ้วเรียวของปริมขมวดมุ่นด้วยความสงสัยในคำว่าเข้าใจของนภัทรที่ตอบกลับพิงบริกรหนุ่มคนประจำของเธอไปเมื่อครู่ ดวงตากลมโตวาววับด้วยความอยากรู้อยากเห็นก่อนจะตัดสินใจเลือกรอจังหวะหลังสั่งออเดอร์เรียบร้อยแล้วค่อยเอ่ยถาม
“ยินดีเช่นกันครับ คุณนภัทร สนใจรับซุปด้วยไหมครับ อาทิตย์นี้โอนเนอร์อารมณ์ดีมีสมนาคุณแขกทุกท่านด้วยอาหารพิเศษท่านละที่เลยครับ”
“ครับ สนใจครับ เมนคอร์สผมรับเป็นเมนูแนะนำครับ”
ไม่รู้ทำไมแต่ปริมยิ้มหวานกับการสั่งออเดอร์ของชายหนุ่มเพราะหากเป็นคนอื่นยามมาทานที่ร้านใหม่ที่รสชาติอาจไม่คุ้นปากจะเลือกสั่งเมนูที่เป็นเซฟโซนของตัวเอง
แต่นภัทรกลับเลือกเมนูแนะนำที่อาจจะเป็นการ ‘แนะนำ’ ของตัวพนักงานเองราวกับไว้ใจ
ที่ปริมไม่รู้ว่าเชื่อใจเธอหรือเชื่อใจในตัวเชฟของร้านกันแน่
“รับทราบครับ ไม่ทราบว่าคุณปริมจะรับเหมือนเดิมหรือเมนูอื่นดีครับ”
“รับเป็นเมนูแนะนำเหมือนนภัทรจ้ะ ส่วนพาสต้ารับเป็นที่พิงแนะนำเลย นภัทรเอาด้วยไหม?”
“ครับ รับเหมือนคุณน้าเลย”
คำตอบรับพร้อมรอยยิ้มที่มุมปากทำเอาปริมที่มั่นใจในตัวเองมาตลอดอยากจะยกมือหยิกแก้มตัวเองเบา ๆ ให้เลิกยิ้มตาม
แม้จะรู้สึกว่ามันถูกปั้นแต่งให้หวานหยดราวกับอ่านใจเธอออกว่าเธอชื่นชอบคนยิ้มเก่ง ยิ้มง่ายแต่เธอก็อดยอมรับไม่ได้เลยว่าตัวเธอแพ้ให้กับรอยยิ้มของนภัทร
แต่อีกใจเธอก็กลัวว่าสาเหตุที่เธอยอมและแพ้ให้กับชายหนุ่มแบบนี้จะเป็นเพียงแค่ความรู้สึกชั่ววูบของคนที่ไม่มีใครมานาน
มากกว่านั้น...
เธอกลัวว่าที่ตัวเองหวั่นไหวกับนภัทรในตอนนี้เป็นเพราะเธอเห็นภาพซ้อน
ภาพซ้อนของใครคนหนึ่งในอดีตเมื่อนานมาแล้ว...
