05
ตอนที่ 5
เสียงเปียโนและเสียงพูดคุยเบา ๆ ของแขกที่ดังขึ้นมาบนชั้นสองของร้านอาหารที่มีเมนคอร์สเป็นเนื้อสเต๊กชั้นดียังคงความเพลิดเพลินให้นักเขียนมีชื่ออย่างปีย์วราได้ไม่จบสิ้น
เธอชอบบรรยากาศยามเที่ยงของร้านโปรดที่มักมีผู้คนแวะเวียนกันเข้ามาแลกเปลี่ยนสิ่งต่าง ๆ ในชีวิตของกันและแบบนี้ หากเป็นยามปกติเธอคงหยิบสมุดขึ้นมาจดบรรยากาศพวกนี้เก็บไปใช้ในงานของเธออย่างที่ชอบทำ
แต่เพราะเวลานี้เธอมีคนอื่นอยู่ด้วย การจะจมลงในงานที่ต้องใช้ทั้งเวลา แรงกาย และมันสมองเพื่อนรังสรรค์มันขึ้นมาเห็นทีจะไม่เหมาะ
อีกอย่างคือเธอเกรงใจนภัทรที่กำลังทานอาหารไปเหลือบมองเธอไป สลับกับมองโทรศัพท์ไปพลางมาตั้งแต่อาหารจานหลักถูกยกขึ้นเสิร์ฟ
ใช่ เธอรู้ตัวว่าถูกชายหนุ่มจดจ้องแต่ในเมื่อแววตาราวกับสุนัขมองเจ้าของของนภัทรไม่ได้ทำให้เธออึดอัดเช่นนั้นเธอจะปล่อยมันผ่านไปและปล่อยให้ชายหนุ่มในความดูแลเมียงมองเธอให้เปรมปรี่
ดวงตาสีน้ำตาลกลมโตงดงามมองพนักงานและแขกในร้านทานอาหารไปพูดกันไปอย่างเพลิดเพลินและเมื่อใบหน้าของบริกรประจำโต๊ะโผล่เข้ามาในครรลองสายตาคำถามที่เธอยังไม่ได้รับคำตอบก็ย้อนกลับมาอีกครั้ง
คำถามเกี่ยวกับประโยคที่ว่า ‘ไม่เป็นไรครับ ผมเข้าใจ’ ของนภัทรที่เอ่ยกับพิงบริกรประจำโต๊ะของเธอในตอนรับออเดอร์
“ภัทร น้าถามอะไรหน่อยสิ”
สรรพนามแทนตัวเองแสนแสลงหูเรียกความสนใจจากชายหนุ่มที่ก้มลงอ่านงานสำคัญในมือถือเมื่อครู่ให้กลับมายังปัจจุบัน ดวงตาคมหรี่ลงเล็กน้อยก่อนจะกลับมาเป็นปกติพร้อมรอยยิ้มที่พยายามปั้นแต่งให้ดูไม่ดุดันตามอารมณ์ที่ไม่ใคร่จะดีนักในตอนนี้
“อะแฮ่ม ครับ”
“ตอนที่บริกรขอโทษ แล้วเราตอบว่า ‘ไม่เป็นไรครับ ผมเข้าใจ’ น่ะ มันหมายความว่าอะไร”
นัยต์ตาที่ม่วงครามช้อนขึ้นมองดวงหน้างดงามของคนที่เขาแอบรักมาตั้งแต่วัยเยาว์ก่อนจะเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงที่พยายามกดให้นิ่มที่สุดเท่าที่จะทำได้
“หมายความว่า...ผมเข้าใจที่เขามองคุณน้าด้วยแววตาชื่นชมและทุ่มเทความสนใจไปจนหมด เลยตอบว่าไม่เป็นไร ผมเข้าใจเขา เพราะเวลาเจอคนที่ตัวเองชอบ คนเราก็มักจะสนใจคนคนนั้นเพียงคนเดียวจนหลงลืมคนอื่น ๆ เสมอ”
“อ่อ...”
น้ำเสียงหวานตอบรับเบา ๆ ก่อนจะบอกปัดว่าไม่มีแล้วและปล่อยตัวเองไปกับบรรยากาศของร้านอีกครั้งแม้ในใจมีเรื่องอยากจะถามต่อ แต่เธอที่จะปล่อยมันไปแล้วซึมซับบรรยากาศที่นานครั้งจะได้สัมผัสอย่างเพลิดเพลิน
เพราะหลังจากนี้เธอต้องกลับไปต่อสู้กับงานต่อและไม่รู้เลยว่าจะมีเวลามาที่นี่อีกเมื่อไร หรือถ้าได้มาก็ไม่รู้จะว่าตรงกับไทม์มิงดี ๆ แบบนี้ไหม
เพราะงั้นเธอต้องตักตวงมันให้ได้มากที่สุด...
เจ้าของร่างอรชรเลยปล่อยใจไปกับเสียงเพลง กลิ่นหอมของเครื่องเทศและถ่านไม้เนื้อหอมที่เจ้าของร้านจัดหามาเพื่อทำอาหารให้ลูกค้า
แตกต่างจากนภัทรที่นึกเสียดายจังหวะเมื่อครู่ไม่หาย เพราะหากคุณน้าคนสวยเอ่ยถามเขาต่ออีกสักหน่อยว่าเขาคลั่งไคล้ใคร ชายหนุ่มจะเอ่ยตอบหญิงสาวไปอย่างไม่ลังเล
ว่าคนที่เขาชอบจนเข้าขั้นคำว่าหลงนั้นคือตัวปีย์วราเอง
“เสร็จจากทานข้าวแล้วคุณน้ามีธุระต่อไหมครับ”
ทันทีมือเรียวที่จับส้อมและมีดวางคู่กันนภัทรก็เอ่ยถามขึ้นด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล ที่ปีย์วรารับรู้ได้ว่าเป็นน้ำเสียงที่ปั้นแต่งให้ไม่ดุ
จนนึกอยากรู้ว่าตัวตนที่แท้จริงของชายหนุ่มผู้นี้นั้นแท้จริงเป็นเช่นไร...
เธออยากรู้จักหลานชายของตัวเอง แต่ทว่าอะไรบางอย่างร้องเตือนเธอว่าชายคนนี้กำลังปั้นแต่งทุกสิ่งอย่าง
ทั้งน้ำเสียง การพูดจา รอยยิ้ม แม้กระทั่งเสียงหัวเราะ...
ถึงมันจะไม่ได้ทำให้เธออึดอัด แต่ก็ไม่ได้ดีนัก เพราะนั่นหมายความว่าตลอด 5 เดือนนี้เธอจะไม่ได้รู้จักตัวตนที่แท้จริงของนภัทรเลยแม้แต่เงา
แต่เหตุผลนั้นกลับย้อนแย้งด้วยแววตายามที่นภัทรลอบมองอยามเธอไม่สนใจ
แววตาหลงใหลราวกับอีกาที่ลอบมองอัญมณียอดมงกุฎแสนงดงามที่มันยังไม่อาจฉกชิงเป็นของตัวเองได้
อีกประการที่ทำให้ขอสันนิษฐานว่านภัทรไม่ต้องการให้เธอรู้จักเขาจริง ๆ นั่นคือลักษณะของตัวตนที่นภัทรพยายามสร้าง
เพราะไทป์ที่ชายหนุ่มกำลังทำอยู่คือลักษณะผู้ชายที่เธอชอบและอยากเข้าหา จนพาลอดคิดต่อไม่ได้ว่าเขาจงใจทำเพื่อให้เธอเข้าไปหาเขาทีละนิดทีละนิด
แต่พอคิดไปถึงจุดนั้นก็น่าแปลกเพราะเธอไม่เคยเจอกับนภัทรมาก่อน อีกทั้งยังไม่เคยบอกลักษณะคนที่เธอจะเข้าใกล้และไม่เข้าใกล้ให้ใครรู้ด้วยกลัวว่าฝ่ายตรงข้ามจะปั้นแต่งตัวตนเข้าหาอย่างที่นภัทรทำอยู่ตอนนี้
“คุณน้า...เป็นอะไรหรือเปล่าครับ?”
นภัทรเอ่ยทักขึ้นเมื่อเห็นว่าหญิงสาวเหม่อมองหน้าเขาด้วยแววตาดุดันนานจนเกินไป
“อ่อ ไม่มีอะไร คือ...ภัทร น้าขอพูดอะไรหน่อยได้ไหม”
“ครับ”
“เลิกปั้นแต่งที”
ดวงตาสีม่วงครามเบิกกว้าง เรือนร่างกำยำอย่างคนออกกำลังกายเป็นประจำชะงักด้วยไม่คิดว่าตนเองจะถูกจับได้เร็วถึงขนาดนี้
“ปั้นแต่ง...อะไรเหรอครับ...”
“ปั้นแต่งรอยยิ้ม น้ำเสียง สีหน้า ท่าทาง หรือแม้แต่...นิสัย เลิกให้หมด”
ริมฝีปากหยักเหยียดยิ้มกว้างที่เต็มไปด้วยความเย้ยหยันในความประมาทของตนเองที่คิดดูถูกความสามารถของหญิงสาวที่ผ่านโลกมากกว่าเขาเบื้องหน้านี้
“ครับ ผมรับปาก ผมจะเลิกทำ แต่น้ารู้ใช่ไหมว่าผมไม่มีเจตนาไม่ดี”
น้ำเสียงทุ้มติดไปทางดุดันเอ่ยขึ้นทำเอาปริมตัวสั่นหน่อยๆ แต่ก็เลือกที่จะทำใจให้สงบแล้วเอ่ยตอบหลานชายตัวดีของเธอไป
“อืม รู้ แต่เธอไม่คิดว่าน้าอยากรู้จักตัวตนเธอจริง ๆ บ้างเหรอ?”
“น้าอยากรู้จักตัวตนผมจริง ๆ เหรอ”
“อืม น้าอยากรู้จักเธอ อย่างที่เธอเป็นไม่ใช่คนที่ปั้นแต่งขึ้นมาเพื่อให้น้าพอใจและสบายใจจะอยู่ด้วยได้แบบนี้”
“....”
“เพราะงั้น เป็นตัวของตัวเองเถอะ น้าปรับตัวได้”
นภัทรกำลังหูอื้อจากเสียงหัวใจที่เต้นระส่ำอยู่ในอกจนเขาเกือบไม่ได้ยินเสียงหวาน ๆ ของปริมที่คุยกับเขา โชคดีที่เขาตั้งสติได้เร็วพอจะได้ยินมันทั้งหมด
นภัทรเคยคิดว่าความรู้สึกที่มีต่อปริมในวัยเยาว์นั้นเป็นของปลอม แต่การกลับมาเจออีกครั้งและได้เรียนรู้อะไรบางอย่างหญิงสาวก็กลับทำให้เขาตกหลุมรักได้ซ้ำสองทั้งที่ผ่านมานานเกือบสิบปี
แม้ว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาจะไม่เคยลืมรอยยิ้มของหญิงสาวในวัย 23 ปีที่ยิ้มกว้างหลังจากร่ำไห้จนตาบวมแดงได้เลยก็ตาม
ช่วงแรก ๆ เขาก็วนเวียนเพ้อถึงในใจไม่ได้บอกใคร และคิดไปว่าคงเป็นแค่รักแรกของตัวเองในวัยนั้นที่เจอคนสวย ๆ แล้วตกหลุมรัก
แต่วันนี้เขารู้แล้วว่าไม่ใช่...
เพราะงั้น...อะไรที่เขาชอบ เขาจะค่อย ๆ เอื้อมมือไปคว้ามันไว้ โอบกอด และ ปกป้องมันจากอะไรก็ตามที่จะทำให้สิ่งนั้นแตกสลาย
ชายหนุ่มตั้งมั่นกับตัวเองในใจก่อนจะสูดลมหายใจลึก ๆ ก่อนจะเอ่ยรับปากคุณน้าคนสวยไปตามที่ตนคิด
“ครับ ผมจะเลิกทำ แต่ถ้า...มันทำให้กลัว น้าบอกนะ”
“เชื่อสิน้าไม่บอก ก็บอกแล้วไงน้าจะปรับตัว แต่เธอเองให้น้าพยายามคนเดียวไม่ได้นะ เธอต้องพยายามด้วย เพราะตัวตนน้า...น้าว่าตัวเองก็ไม่ได้ดีมากขนาดนั้นหรอก”
มือหนารวบช้อนส้อมเข้าคู่กันตามมารยาทหลังทานอาหารเสร็จ ดวงหน้าคมคายเชิดขึ้นเล็กน้อยในขณะที่นึกคัดค้านสิ่งที่หญิงสาวพูดเมื่อครู่ แต่ถึงกระนั้นเขาก็เลือกที่จะเอ่ยถามสิ่งอื่นออกไป
“ครับผมรับปากว่าจะพยายามด้วยเหมือนกัน แต่...ทำไมน้าว่าตัวเองไม่ดีล่ะครับ?”
“น้าบ้างาน เวลาทำงานจะไม่สนใจอะไรเลย อย่างที่เราเจอตอนมาถึง เสียงอินเตอร์คอมดังขนาดนั้นน้ายังไม่สนใจเลยและ...น้าเป็นคนเด็ดขาด ถ้าคนคนนั้นไม่สำคัญจริง ๆ น้าจะตัดทิ้งโดยไม่แยแสเลย ต่อให้ร้องไห้อ้อนวอนน้าก็ไม่สนใจ แต่ใครสำคัญน้าจะรับฟังและตามใจมาก ๆ ชนิดที่ว่าต่อให้เขาขอให้ทำอะไรที่เราไมถนัดน้าก็จะทำ เหมือนที่น้าตกลงให้เรามาอยู่ด้วยไง”
คิ้วเรียวขมวดมุ่นกลับประโยคสุดท้ายก่อนจะเอ่ยถามไปตามตรงด้วยนิสัยเดิมเขาไม่ใช่คนอยากรู้อะไรแล้วไม่ถามอยู่แล้ว
“หมายความว่าตอนแรกน้าจะไม่ให้ผมมาอยู่ด้วยเหรอ...”
น้ำเสียงหงอย ๆ ราวกับลูกหมาโดนเจ้าของขู่ว่าจะทิ้งหากดื้อดึงดังให้ได้ยินจนปริมอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาเบา ๆ
“อืม เพราะน้าไม่มีประสบการณ์เลี้ยงเด็ก แล้วคิดว่าเธอเป็นเด็กเล็ก ๆ สัก 12 หรือ 13 ปีอะไรแบบนั้น เลยจะปฏิเสธแต่เพราะแพรขอร้องไปสะอึกสะอื้นไปเลยตอบตกลง”
เธอตอบไปตามความสัตย์จริงโดยละเว้นเรื่องเงินค่าตอบแทนไว้ไม่ให้นภัทรรู้ตามที่ตกลงกับแพรไหม
เพราะเพื่อนสาวของเธอกลัวว่าถ้านภัทรรู้เรื่องเงินว่าจ้างชายหนุ่มจะงอแงไม่ยอมอยู่กับเธอแล้วมองเธอไม่ดีไปแทน แม้ปริมจะบอกว่ามีคำอธิบายเกี่ยวกับเรื่องเงินนี้ไว้แล้วก็ตาม
“ท่าทางแปลก ๆ ของน้าเมื่อเช้าก็เพราะน้าเข้าใจว่าผมเป็นเด็กสินะครับ”
“ใช่จ้ะ แหม...ก็ใครจะคิดล่ะว่ายัยแพรจะมีลูกโตขนาดนี้ สงสัยเป็นบาปกรรมของคนบ้างานละมั่ง เพราะถึงน้ากับแพรจะสนิทกันแต่ก็นาน ๆ จะทักทายผ่านตัวอักษรกันสักที ครั้งสุดท้ายที่เจอตัวเป็น ๆ ก็งานแต่งเมื่อเกือบสิบปีก่อนนู้น หลังจากนั้นก็ไม่ได้อัปเดตชีวิตเลย จะตกข่าวก็ไม่แปลก อย่าเอาไปทำตามเชียวนะ”
“ครับ”
“ว่าแต่เมื่อกี้เราถามใช่ไหมว่าน้าอยากไปไหนต่อรึเปล่า ขอวนกลับไปตอบแล้วกันว่าไม่มี เพราะตอนนี้น้าอยากกลับไปทำงานที่บ้านมากกว่า แต่ถ้าเราอยากไปก็ไปได้”
หลังหมดเรื่องที่คาใจปริมก็วนกลับไปตอบเรื่องเดิมเมื่อครู่อย่างจริงใจ
แววตาและรอยยิ้มมุมปากเล็ก ๆ ของชายหนุ่มที่ทำออกมาจากนิสัยเดิม ๆ ทำให้นักเขียนสาวพอใจ จนนึกชมตัวเองที่ตัดสินใจเอ่ยทักเรื่องตัวตนของชายหนุ่มไป
เพราะรอยยิ้มตอนนี้แม้จะยิ้มแค่มุมปาก แต่กลับเป็นรอยยิ้มที่ยิ้มถึงดวงตา ดูมีเสน่ห์และจริงใจมากกว่าก่อนหน้านี้เป็นไหน ๆ
“งั้นไปซื้อของเข้าห้องกันไหมครับ เมื่อเช้าผมทิ้งไปเยอะเลย พวกซอสหรือเครื่องปรุงที่หมดอายุ เอ่อ...ขอโทษนะครับที่ไม่ได้ถามน้าก่อน”
“ไม่เป็นไร ๆ ของพวกนั้นน้ารู้อยู่แล้วว่ามันหมดอายุ แค่ไม่มีเวลาเอาไปทิ้งเท่านั้นเอง น้าสิต้องขอบคุณที่เราช่วยทำความสะอาดให้ แถมทำเร็วซะด้วย สนใจเปิดบริษัททำความสะอาดไหม?”
ปริมลองเชิงถามด้วยความใคร่รู้ เพราะเธอนี่นับเป็นเรื่องพนันกับตัวเองอีกเรื่อง
ตั้งแต่ที่ชายหนุ่มเอ่ยขอทำความสะอาดห้องให้เธอก็คาดเดาไปแล้วว่ายามอยู่ที่บ้านห้องของนภัทรจะเป็นห้องที่ทำความสะอาดตลอดและชายหนุ่มจะเป็นคนทำเองอย่างแน่นอน
เพราะดูจากความเร็วที่ทำห้องเธอในวันนี้ หากไม่ใช่คนที่ทำมาก่อนจะไม่มีทางลำดับความสำคัญก่อนหลังในการทำเพื่อทำได้เร็วขนาดนั้น
“ครับ? น่าสนนะครับ แต่แบบนั้นผมคงต้องลงไปทำเองเพราะพนักงานทำได้ไม่สาแก่ใจพอ”
“แสดงว่าอยู่บ้านเธอทำความสะอาดห้องเองเหรอ”
“ครับ ทำเอง พี่ ๆ ที่บ้านทำไม่ค่อยถูกใจ ทำแล้วสะอาดไม่จริง ตอนเด็กที่ยังแรงไม่มากผมเคยนอนดมฝุ่นจนภูมิแพ้ขึ้น โตขึ้นมาหน่อยเลยทำเองหมดทุกอย่าง”
“เป็นภูมิแพ้นี่ต้องมียาไหม” เมื่อได้จังหวะถามเรื่องสุขภาพปริมก็เอ่ยถามต่อทันทีอย่างไม่รีรอเพราะจะให้ไปรู้ หรือไปรู้ตอนมีอาการเลยคงไม่ดีเท่าใดนัก
“มีครับ แต่ทานไม่บ่อย ทานเมื่อมีอาการน่ะครับ”
“อืม ดีแล้วกินยานอนโรงพยาบาลมันไม่มีหรอก ว่าแต่อาหารอร่อยไหม”
“อร่อยมากเลยครับ ไม่เสียใจเลยที่เชื่อน้าปริม ร้านนี้อร่อยมากเลย”
ตึกตัก
เมื่อสิ่งที่เธอคิดไว้ก่อนหน้าถูกต้องหัวใจปริมก็เต้นไม่เป็นจังหวะอีกครั้ง เธอคิดมาตั้งแต่เริ่มสั่งอาหารว่าชายหนุ่มแค่ฉลาดเลือกหรือเชื่อใจเธอ
เธอคิดจนเลิกคิดและเลิกหวังแล้วว่าจะได้รับคำตอบ...
แต่พอได้นอกจากความอบอุ่นในหัวใจแล้ว กลับมีความรู้สึกดีเพิ่มขึ้นมาด้วยอย่างน่าประหลาด...
พอแล้วปริม นภัทรเป็นหลานเธอ ท่องไว้ เขาเป็นหลานชายของเธอ ลูกชายเพื่อนสนิทที่เธอรักมากที่สุด
เลิก คิด ถึงความรู้สึกแบบนั้นไปซะ พอ พอ!
ศีรษะเล็กส่ายไปมาสลัดความคิดที่ไม่สมควรในหัวออกไปจนหมดและพยายามย้ำกับตัวเองในใจว่าชายหนุ่มคือลูกของเพื่อนสาวคนสนิท
นักเขียนสาวมากความสามารถพ่นลมหายใจเบา ๆ ก่อนจะยกมือเรียกบริกรให้มาเช็กบิลค่าอาหารก่อนที่จะพาทั้งตัวเธอและหลานชายกลับไปที่รถแล้วขับทะยานมุ่งหน้าไปยังซูเปอร์มาร์เก็ตขนาดใหญ่ที่อยู่ไม่ไกลจากที่นี่เพื่อซื้อของเข้าบ้านอย่างที่ตั้งใจไว้
