ตอนที่4. ในความทรงจำ
เสียงนักเรียนกลุ่มหนึ่ง รุมกลุ่มเด็กเสื้อช็อปสีน้ำเงินเข้มอยู่ใกล้ป้ายรถเมล์ เรียกสายตาของคนที่อยู่บริเวณนั้นให้หันไปดูได้อย่างไม่ยากนัก และรวมถึงเด็กหนุ่มที่เพิ่งเดินออกมาจากโรงเรียนด้วย
“เฮ้ย! นักเรียนตีกันอีกแล้วโว้ย!”
ไม่รู้ว่าใครส่งเสียงตะโกนลั่น เหมือนเรื่องธรรมดา แต่ไม่มีใครสนใจว่ามาจากสาเหตุใด บางคนวิ่งหลบ บางคนอยู่เชียร์เพราะตื่นเต้นที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของเหตุการณ์นี้เพื่อจะได้นำไปเล่าให้คนอื่นฟัง ราวกับตัวเองเป็นผู้สื่อข่าวตัวยงที่ทันเหตุการณ์นั้น เด็กหนุ่มสวมแว่นตาหนาเตอะกอดกระเป๋านักเรียนใบโตไว้แน่นกับอกอย่างทำอะไรไม่ถูก ธันวามาหาบิดาที่บริษัทแต่ท่านยังประชุมไม่เสร็จ แม้พ่อจะบอกให้นั่งรอในบริษัทแต่ตอนนั้นเขาอยากซื้อขนมเค้กกลับไปกินที่บ้าน ซึ่งมีร้านขายขนมหวานแสนอร่อยไม่ไกลนัก เขาจึงเดินออกมาและบังเอิญอยู่ในเหตุการณ์กลุ่มนักเรียนตีกัน
“หยุด!พวกเธอหยุดเดี๋ยวนี้นะ”
อาจารย์ฝ่ายปกครองวิ่งมาห้าม แต่ไม่มีใครทำตามคำสั่ง ต่างแยกย้ายวิ่งหนีจ้าละหวั่น รวมทั้งคนดูที่ส่งเสียงเชียร์ก็แตกกระเจิงไม่ต่างกัน ธันวาถูกชนอย่างแรงจนเกือบล้ม แต่มือของเขาก็ไวทันพอที่จะหาที่ยึดเหนี่ยวไม่ให้ตังเองล้มได้ แต่คนที่มาชนกลับล้มกลิ้งนอนคลุกฝุ่นตรงหน้า ธันวาตกใจทำอะไรไม่ถูก จนเมื่อคนล้มเงยหน้าขึ้นมา ใบหน้าขาวๆ มีรอยช้ำ คราบเลือดที่มุมปาก หากไม่เพราะดวงตาและสีผมเป็นสีน้ำตาลไหม้เหมือนกันล่ะก็เธอคงเข้าใจว่าเด็กเสื้อชอปคนนี้ไปกัดสีผมจนดูยียวนกวนบาทาใครกันแน่
“เร็วเข้า!เดี๋ยวอาจารย์มา!”
ธันวาได้ยินเสียงตะโกนโหวกเหวกยังคงดังอยู่ในบริเวณนั้น เมื่อหันไปมองทางที่อาจารย์วิ่งไป ก็เห็นว่าจับนักเรียนได้หลายคน และเหมือนได้ยินเสียงไซเรนตำรวจที่กำลังใกล้เข้ามา ธันวาหันมาสบตากับดวงตาสีแปลก ก่อนที่จะยื่นมือไปตรงหน้าให้คนที่นั่งอยู่จับ แล้วออกแรงดึงเขาลุกขึ้นมา ธันวารู้สึกถึงความสูงของอีกฝ่ายซึ่งมองด้วยสายตาอ่อนโยน แต่เพื่อนของเขาตะโกนเรียกตัว คนแปลกหน้าจึงรีบวิ่งไปซ้อนมอเตอร์ไซค์ที่จอดรออยู่ไม่ไกลนัก แต่เก็ยังเหลียวหลังมามองธันวาตลอดจนรถเลี้ยวไปที่มุมถนน
“ธันวามาทำอะไรตรงนี้” อาจารย์ฝ่ายปกครองมหาโหดเข้ามาถามน้ำเสียงห่วงใยนักเรียนผลการเรียนดีเด่นอย่างธันวา
“มารอคุณพ่อครับ”
“แล้วเป็นอะไรหรือเปล่า”
“ไม่เป็นอะไรครับ” ธันวาส่ายหน้าไปมาแล้วขยับแว่นสายตาให้กระชับใบหน้า
“ดีแล้ว รีบกลับบ้านไปซะ”
“ครับอาจารย์”
ธันวายกมือไหว้อาจารย์แล้วรีบกลับบ้าน แต่ความคิดคำนึงยังอยู่ที่เจ้าของดวงตาสีแปลกหน้าด้วย ธันวาจะติดใจสายตาของคนๆ นั้นอย่างไร เขาก็ไม่เคยคิดตามค้นหา เพียงแค่คิดถึงในบางครั้งที่ว่างเว้นจากตำราเรียนกองโต และเวลาที่ความเหงาเข้ามาทักทาย ธันวามีเพื่อนไม่มากนัก แต่ถ้าหมายถึงเพื่อนที่คุยได้ทุกเรื่องคือไม่มีใครเลย แม้แต่ที่บ้านก็ไม่มีใคร พ่อกับแม่แยกทางกัน ธันวามาอยู่บ้านกับพ่อซึ่งเอาแต่บ้างานแต่เขาก็เข้าใจพ่อ ทว่าตัวเขากลับไม่คุ้นกับครอบครัวใหม่ของแม่ แม่แต่งงานใหม่หลังเลิกกับพ่อได้ปีเศษๆ มีคนนินทาว่าแม่มีชู้ แต่ก็มีเสียงกระซิบว่าพ่อต่างหากที่นอกใจแม่ก่อนด้วยการมีเอาเลขาฯ มาเป็นเมียน้อย แม่จึงประชดพ่อด้วยการมีคนใหม่บ้าง
เรื่องราวแท้จริงเป็นอย่างไร ธันวาไม่อยากสืบเสาะนัก การหย่าร้างของพ่อกับแม่อาจเป็นสิ่งเดียวที่เขาคิดว่าพวกท่านทำถูกแล้ว ดีกว่าอยู่บ้านเดียวกันแล้วเอาแต่ทะเลาะมีปากเสียงกันทุกวัน ธันวามีหนังสือเป็นเพื่อน เขาพยายามไม่คิดเรื่องพวกนี้ด้วยการทุ่มเทเวลาทั้งหมดที่มีด้วยการทำคะแนนเรียนให้ดีเยี่ยม
นานวันเข้า ธันวาเริ่มชินกับการอยู่บ้านเพียงลำพัง พ่อจะกลับมาบ้านแค่สัปดาห์ละไม่กี่วัน พ่อบอกว่าบริษัทรับเหมาก่อสร้างของพ่อกำลังเติบโต พ่อจำเป็นต้องคอยดูทุกขั้นตอน เขาอยากบอกว่าไม่เชื่อในสิ่งที่พ่อพูด แต่ก็ทำได้เพียงแค่นิ่งเงียบ มีเพียงเงินที่โอนเข้าบัญชีเป็นค่าใช้จ่ายของเขาเท่านั้นที่มันมาอย่างสม่ำเสมอ ทั้งจากพ่อและแม่ ดูราวกับทั้งสองจะลืมไปว่าลูกคนนี้อายุเพียงสิบเจ็ดเท่านั้น
