บทที่ 2: ทุ่งโลหิตแห่งอสูรกลายพันธุ์
เสียงกลองศึกกระหึ่มสะท้านผืนดินตั้งแต่ยามเฉินยันวารี สะเทือนจนก้อนหินน้อยใหญ่บนพื้นสั่นคลอนเป็นจังหวะ สายลมกลิ่นโลหิตลอยตลบอวลแซมด้วยควันไฟจากแคมป์ครัวทหารที่ใช้ซากศพเป็นเชื้อเพลิง
ทุ่งร้างนอกเมืองชิงหยางแปรเปลี่ยนเป็น “สนามเฝ้าศพ” มาตั้งแต่เมื่อห้าเดือนก่อน—ตั้งแต่วันที่ “พวกมัน” บุกเข้ามา
"พวกมัน" หมายถึง ทหารกลายพันธุ์—กึ่งมนุษย์กึ่งอสูร ที่สร้างขึ้นด้วยวิธีการผิดธรรมชาติ ถูกควบคุมด้วยเข็มอาคมปักท้ายทอยและสารสีดำที่ไหลแทนโลหิต
หลี่เหยียน นั่งสูงเหนือกองพล กลางเวทีบัญชาการล้อมด้วยเสื่อหนังมังกรดำ
ใบหน้าเขาไม่ขยับแม้แต่น้อยขณะเฝ้ามองการซ้อมรบของ "กองพันกลายพันธุ์ที่ 7"
ร่างกายสูงใหญ่ ใบหน้าหล่อเหลา แต่ผิวกลับซีดผิดมนุษย์ เส้นเลือดดำลึกวิ่งตามลำคอถึงขมับ มือข้างหนึ่งกำขลุ่ยกระดูกไว้แน่น
ทุกครั้งที่เขาเป่าขลุ่ย—เหล่าทหารอสูรจะกรีดร้อง ใบหน้าแหกกว้างอย่างทรมาน แล้วพุ่งเข้าแทงเป้าซ้อมราวกับไร้สติ
ข้างเขา นางสนมผมแดงนามว่า "หนิงซิน" ยื่นถ้วยสุราสมุนไพรสีเข้มให้ เขาดื่มรวดเดียวแล้วกระซิบเสียงต่ำ
“อีกไม่นาน ‘เขา’ จะมา…ข้าได้กลิ่นธนูของมัน…”
ขณะเดียวกัน ท่ามกลางกลุ่มนักรบชั้นรองของชิงหยาง ที่แอบรวมตัวในค่ายร้างเล็ก ๆ นอกแนวกำแพงเมือง—เสียงด่าทอกำลังอื้ออึง
“เราจะยืนอยู่เฉย ๆ ให้พวกกลายพันธุ์ถล่มเข้ามาอีกหรือ!?”
“ทัพหลวงไม่ส่งเสริมกองกำลังเสริมซะด้วยซ้ำ เราเหลืออะไร!?”
“จะไปหวังอะไรจากพวกขุนนางในวัง! พวกมันนั่งนับเงินอยู่ในโรงเหล้า!”
เจ้าชายเซี่ยชิง นั่งสงบอยู่กลางวงประชุม แม้เสียงโต้แย้งจะโหมกระหน่ำ แต่เขาไม่หลบสายตาแม้แต่น้อย
“ข้าได้ว่าจ้างเขาแล้ว...”
“ใคร?” หนึ่งในขุนพลโพล่งถาม
เจ้าชายตอบด้วยรอยยิ้มที่ไม่ใช่รอยยิ้ม:
“ศรไร้เสียง—เขามาถึงเมื่อคืน”
ในเวลานั้น ลั่วอวิ๋นยืนอยู่บนยอดเจดีย์พังครึ่งซึ่งมองเห็นทุ่งโลหิตได้สุดสายตา
เขาไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว เพียงปล่อยให้สายลมตีกราวเสื้อคลุม และยกธนูขึ้นประทับบ่า
เขาจับศรขึ้นมา…ลูกศรสีดำที่ขอบใบมีดเปื้อนสนิมเลือดแห้ง และยังไม่ขัดล้างนับจากการสังหารครั้งก่อน
นิ้วเรียวยาวลูบตามรอยบากบนก้านศรเบา ๆ ก่อนกระซิบกับมันว่า:
“หนึ่งในสิบเจ็ด...เจ้าคือดอกที่ข้าจะส่งคืนให้มัน”
ทุ่งโลหิตในยามนั้น ปรากฏกลุ่มทหารอสูรกลุ่มใหม่—ห้าสิบตน—กำลังเคลื่อนที่ข้ามลำห้วยอย่างพร้อมเพรียง พวกมันไร้เสียงฝีเท้า แต่แรงสะเทือนแผ่ซ่านชัดเจน
ลั่วอวิ๋นปล่อยศรแรกออกไป
เสียงวืดของลมไม่ทันก้อง
ศรก็ปักเข้ากลางขมับของทหารอสูรตัวหนึ่ง
ทันใดนั้น…
มัน “ระเบิด” อย่างเงียบงัน!
ร่างมันแยกออกจากกันราวกับถูกฉีกจากภายใน—เนื้อและโลหิตกระจายบนใบหน้าของพวกเดียวกัน
และก่อนที่พวกมันจะรู้ตัว
ศรที่สอง…สาม…สี่… ก็ถูกส่งออกไปแล้ว
ร่างของทหารอสูรล้มระนาวดั่งโดมิโนที่ไม่มีเสียง
ในอีกด้านหนึ่ง บนเวทีบัญชาการ
หลี่เหยียน หยุดเป่าขลุ่ยทันที ดวงตาสว่างวาบด้วยแสงสีแดงเลือด
“มันมาแล้ว…”
เขายกมือขึ้น... และหลังจากนั้นไม่ถึงอึดใจ กลุ่มทหารอสูรระดับสูงสิบตนก็เคลื่อนพลไปทางเจดีย์พัง
ด้านบนเจดีย์
ลั่วอวิ๋นก้าวถอยหลังหนึ่งก้าว…แล้ว “ปล่อยตัวตกลงมา” ราวกับร่างไร้วิญญาณ
แต่ระหว่างกลางอากาศ เขากลับหมุนตัว ใช้สันเท้ากระแทกขอบระเบียงเหล็กเล็ก แล้วดีดตัวไปยังหลังคาตึกไม้ข้างเคียง
เสียงกระเบื้องแตกดังขึ้นพร้อมศรลูกใหม่ที่พุ่งจากอากาศ
มันคือ ศรยับยั้งหัวใจ—หากศัตรูมีหัวใจ
แต่ทหารอสูรไม่มีหัวใจ…
ลั่วอวิ๋นจึงยิงศร "ปั่นปราณ" ใส่จุดตรงท้ายทอยของมันแทน—ตรงจุดฝังเข็มที่ “ควบคุมคำสั่งกลายพันธุ์”
สิ่งที่เกิดขึ้นคือ... ทหารอสูรสามตน “ทรุดตัวลงร้องไห้”
เสียงครางเบา ๆ ของมนุษย์กลับมาแทนคำรามโหดเหี้ยม
“ช่วยข้า...ข้าไม่อยากฆ่าใคร...”
แม้ลั่วอวิ๋นจะรู้ดีว่าเขาต้องฆ่า...
แต่ในวินาทีนั้น เขากลับ “ชะงักมือ”
และนั่นทำให้ทหารอสูรตัวหนึ่งโจนเข้าใส่จากข้างหลัง!
ตูม!
เขากลิ้งลงจากหลังคาพร้อมศัตรูที่กระโจนเกาะติดร่าง ร่างทั้งสองตกกระแทกกับถนนที่เต็มไปด้วยซากเหล็กและไม้ผุ
เสียงหายใจของศัตรูดังชิดใบหู
แต่ลั่วอวิ๋น “ไม่หวั่นไหวแม้เสี้ยวลมหายใจ”
เขาดึงมีดสั้นออกจากแขนเสื้อ แทงสวนเข้าคอศัตรู—พร้อมหมุนข้อแขนสะบัด “ใบศร” ขึ้นมาตรึงคออีกฝ่าย
จากนั้น…เสียงกระดูกแตกดังขึ้น
เขายืนขึ้นช้า ๆ ท่ามกลางเลือดที่ไหลอาบ
ท้องฟ้ายามบ่ายถูกบดบังด้วยกลุ่มควันสงคราม
เสียงกลองศึกจากค่ายซุนหลิงดังขึ้นอีกครั้ง
แต่คราวนี้...
มันไม่ใช่เสียงเรียกรวมพลทั่วไป
หลี่เหยียนเป่าขลุ่ยด้วยเสียงสูงเฉพาะ—เป็น “สัญญาณเปิดศึกส่วนตัว”
เขายิ้มมุมปากและกล่าวกับสนมข้างตัวว่า:
“ศรของมัน…ยังไม่เปลี่ยนไปเลยสักนิด”
“แต่คราวนี้ ข้าจะหักมันด้วยมือข้าเอง”