บท
ตั้งค่า

8

“อะไรนะ? นี่ลูกจะย้ายไปอยู่คอนโดงั้นเหรอ?”

“ค่ะแม่ คงน่าจะไปอยู่เลย...แม่บอกเรื่องนี้กับพ่อและพี่ๆ ได้นะคะ เขาจะได้ไม่สงสัยว่าหนูจะไปสร้างความเดือดร้อนอะไรให้ใครหรือเปล่า” บานชื่นถอนหายใจเล็กน้อย ก่อนส่ายหน้าพร้อมโอบกอดบุตรสาว

“แม่ก็เหนื่อยใจ อธิบายให้คุณพ่อฟังเรื่องของหนูเขาก็ไม่เปิดใจยอมรับ ส่วนเรื่องที่หนูเอาเงินมาช่วยไม่ให้ต้องโดนยึดบ้าน หนูก็ไม่อนุญาตให้แม่พูดอีก”

“และที่สำคัญ หนูยังเอาเรื่องนี้ไปแซะพ่ออีกด้วย แม่ก็เลยลำบากใจ๊ลำบากใจ” คนที่ไม่เคยเดือดร้อนเรื่องอะไร ว่าอย่างสบายๆ เชิงเล่น

“แล้วเป็นยังไง งานโอเคมั้ย ขายนิยายได้เยอะอยู่หรือเปล่า?” แววตาห่วงใยฉายชัด จนเธอน้ำตาแทบรื้น

“ก็เรื่อยๆ ค่ะแม่ แม่ไม่ต้องห่วงนะคะ ช่วงกอบโกยเนี่ย หนูก็แบ่งสันปันส่วนเงินไว้เป็นอย่างดีแล้ว ต่อให้หนูเลยอายุ 60 ปี หนูก็ยังมีเงินเลี้ยงตัวเองได้เลยค่ะ”

“แม่รู้ ว่าลูกสาวแม่น่ะเป็นคนเก่ง แต่พูดจาให้ตัวเองดูดีเหมือนคนอื่นเขาไม่ค่อยเป็น แต่ไปอยู่คนเดียวอย่างนี้แม่ก็อดที่จะเป็นห่วงไม่ได้อยู่ดีนะลูก” ปิรวดีชะงักเล็กน้อย ใจจริงก็ยังคงลังเลว่าจะเล่าเรื่องที่ตัวเองท้องให้มารดาฟังดีหรือไม่

“แม่คะ...หนูถามจริงๆ เลยนะ แม่ว่าที่ผ่านมา หนูเป็นลูกที่แย่มากมั้ยคะ?” ต่อให้ทัศนคติจะเชื่อมั่นในความคิดของตัวเองเป็นหลัก ไม่สนโลก ไม่สนใคร

แต่สำหรับผู้หญิงคนนี้...

เธออดไม่ได้เลย ที่จะแคร์ความรู้สึกของท่าน

แม้ว่าก่อนที่จะตัดสินใจทำแบบนี้ จะไม่ได้คิดถึงความรู้สึกของมารดาก่อน แต่พอเรื่องมันเกิดขึ้นจริงๆ ความแคร์แวบแรกที่แทรกเข้ามาในความรู้สึก

ก็คือแคร์แม่...

แม่ผู้ให้กำเนิดและห่วงใยเธอจากใจจริงๆ

“ไม่เลย ไม่มีตรงไหนแย่เลย ในบรรดาลูกสามคน แม่ว่าหนูเนี่ย คือคนที่ทำให้แม่สบายใจที่สุด” ความจริงใจฉายชัด จนเธอเองก็ไม่เคยรู้มาก่อน

“จริงเหรอคะแม่...ตอนที่หนูไม่เลือกเรียนสายวิทย์ แม่ก็ยังภูมิใจอยู่เหรอคะ?” ว่าพร้อมกระโดดขึ้นเตียง เอาศีรษะหนุนตักมารดาเชิงอ้อน

“ถึงหนูจะไม่เลือกเรียนสายวิทย์ แต่หนูก็ช่วยแม่ทำงาน หลังเลิกเรียนไปขายของด้วยกันที่ตลาด ถึงตอนนั้นแม่จะมีเงินเดือนครูก็จริง แต่ตั้งแต่พี่สาวเราสองคนเข้ามหาวิทยาลัย

แม่ก็ต้องหารายได้เสริมสารพัด สองคนนั้นเขาก็มุ่งแต่เรียน ใช้เงินเข้าสังคมไฮโซ...เพื่อที่จะได้มีคอนเนคชั่นดีๆ ไม่เหมือนหนู...ที่ไม่สนใจเรื่องพวกนั้นเหมือนพี่ๆ เขาเลย” ความจริงจากปากมารดา ทำให้เธอหวนย้อนไปเมื่อสมัยหลายปีก่อน

ปิรวดีเรียนจบมาเกือบห้าปีแล้ว ตอนนี้อายุเธอก็ย่างเข้า 27 ปีบริบูรณ์ เธอห่างจากปุณณภาสามปีได้ ซึ่งรายนั้นอายุก็เข้าเลขสาม เพิ่งจะแต่งงานไปเมื่อปีที่แล้ว

ส่วนพี่สาวคนโตผู้ที่อายุห่างจากเธอถึงหกปี แต่งงานตั้งแต่เรียนจบใหม่ แต่ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะมีทายาท

สิ่งที่ทำให้เธอไม่เคยจะเข้าพวกเลย ก็เพราะว่าเธอทำตัวสบายๆ ไม่เรียบหรูดูแพงเหมือนที่พี่ๆ เขาพยายามสร้างมาตรฐานให้กับครอบครัวเอาไว้

ตอนเลือกเรียนมหาวิทยาลัยเธอก็เลือกเรียนคณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยก็ไม่ดังมาก เพราะว่าชอบที่จะเขียนหนังสือมาตั้งแต่ไหน ก็เลยสนใจในศาสตร์นั้นๆ และไม่ได้ติดค่านิยมเรื่องเรียนมหาวิทยาลัยมีชื่อด้วย

ส่วนกับบิดานั้น ไม่รู้ว่าทำเวรทำกรรมอะไรต่อกันมาตั้งแต่ชาติไหน ทศพลไม่เคยชอบใจ...น่าจะตั้งแต่วันที่เธอคลอด แล้วไม่ใช่เพศชายอย่างที่บิดาหวัง

“แล้ว...ถ้ามีเรื่องที่จะทำให้แม่ผิดหวังในตัวหนู มันจะเป็นเรื่องอะไรเหรอคะแม่?” ถามไป...มือแอบลูกท้องตัวเองไป สะเทือนใจอยู่ลึกๆ

“อืม...แม่คิดไม่ออกเสียด้วยสิ ตอนนี้หนูก็โตแล้ว มีเงินทองมั่นคงแล้ว วางแผนดูแลชีวิตตัวเองได้แล้ว ถ้าหนูจะตัดสินใจทำอะไรบางอย่าง แม่ก็คงไม่ได้จะไปยุ่งแล้ว...เพราะแม่เชื่อไง ว่าลูกสาวของแม่คนเนี้ย จะต้องคิดมาดีมากแล้ว ถึงได้ตัดสินใจทำมันลงไป”

“แม่ยิ่งพูด หนูยิ่งกดดันเลยค่ะ” ว่าติดขำเล็กๆ จนมารดาต้องยิ้มตามและส่ายหัวให้

“หืม...แสดงว่าไปทำเรื่องอะไรมาหรือเปล่าเนี่ย?” คนช่างกลบเกลื่อน รีบเอามือมารดามากุมไว้

“เปล่าค่ะแม่ ก็แค่กลัวน่ะค่ะ...กลัวในสิ่งที่ยังไม่ได้เกิด แต่ถึงยังไงหนูก็จะทำมันให้ดีที่สุด เหมือนทุกๆ เรื่อง ที่หนูเคยประสบมานะคะ”

“จ้ะ แม่เชื่อนะ...ว่าหนูทำได้” ปิรวดีหลับตาพริ้มซึมซับคำพูดนั้น ให้มันซาบซ่านจนถึงก้นบึ้งของหัวใจ กักเก็บตุนเอาไว้ใช้ ในวันที่ต้องการกำลังใจจากมารดาอีก

ใช่...

ต่อจากนี้เธอเธอคงจะไม่ได้กลับมาที่นี่ เพราะเธอต้องอุ้มท้องเด็กที่เธอเฝ้าฝันอยากให้เขามาเป็นลูก และจะต้องเลี้ยงเขาโดยลำพัง

แม่เชื่อก็พอ เธอบอกตัวเองแบบนั้นและบอกกับเด็กในครรภ์ว่า

เชื่อแม่ก็พอ เหมือนกันบ้าง
ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel