บทที่5 [การจากไปของฮูหยิน]
ในค่ำคืนที่เห็นหนาวนี้ หนิงเซียนก็ได้ย้ายไปอยู่ที่เรือนหลังเล็กเพียงลำพัง โดยช่วงนี้หนิงเซียนได้ให้สาวใช้คนสนิทเพียงคนเดียวที่มีนามว่าฉาฉานั้นลากลับบ้านเพื่อที่นางจะได้กลับไปดูแลบิดาที่กำลังล้มป่วย
เรือนหลังเล็กที่ตั้งอยู่ท้ายจวนที่รายล้อมไปด้วยป่าไผ่นั้น แท้จริงแล้วก็ไม่ได้มีสภาพที่ทรุดโทรมเลยแม้แต่น้อย ด้านหน้ารายล้อมไปด้วยป่าไผ่ ส่วนด้านหลังนั้นอยู่ติดกับลำธาร นอกจากนี้แล้วข้าวของเครื่องใช้ต่าง ๆ ล้วนมีครบครัน เนื่องจากยังมีคนคอยเข้ามาดูแลอยู่เสมอ
หนิงเซียนใช้เวลาในการสำรวจพื้นที่โดยรอบเพียงไม่นาน ก่อนที่จะเดินกลับมานั่งที่ริมหน้าต่าง ก่อนที่จะเริ่มจรดพู่กันเพื่อเขียนหนังสือหย่าพร้อมด้วยจดหมายขึ้นมาฉบับหนึ่ง
‘ที่แห่งนี้ไม่ใช่ที่ของข้า ตำแหน่งฮูหยินเอกของท่าน จงมอบมันให้แก่ผู้ที่ท่านพึงใจเถิด’ เป็นข้อความตัดขาดเพียงสั้น ๆ เมื่อเขียนจบแล้วหนิงเซียนก็เก็บใส่กล่องไว้เป็นอย่างดี นางยังไม่อาจหย่าหรือจากไปได้ในยามนี้ อย่างน้อย ๆ นางก็ต้องรอให้ฉาฉากลับมาเสียก่อน และเมื่อถึงตอนนั้น นางก็จะจากไปโดยไม่หวนคืนมายังที่แห่งนี้อีกต่อไปแล้ว
หนิงเซียนเป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวของอดีตเสนาบดีหลี่ โดยมารดาของหนิงเซียนได้จากไปด้วยโรคร้ายในขณะที่หนิงเซียนมีอายุได้เพียงสิบหนาวเท่านั้น ส่วนอดีตเสนาบดีหลี่ผู้เป็นบิดาก็ได้เสียชีวิตลงเมื่อสองปีที่แล้ว ด้วยเหตุนี้ หนิงเซียนจึงได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยความโดดเดี่ยวอยู่ภายในจวนสกุลหลี่นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
ท่านลุงไม่รักนาง ท่านป้ายิ่งชิงชังนาง การมีอยู่ของนางในจวนสกุลหลี่นั้นจึงนับได้ว่าเป็นเพียงส่วนเกินของใครต่อใครก็เท่านั้น ด้วยเหตุนี้ ความหวังและความฝันที่นางจะได้เป็นอิสระจากจวนสกุลหลี่จึงมีเพียงการแต่งเข้าจวนแม่ทัพสกุลเกาอย่างเกาหานเยว่
หากแต่สุดท้ายแล้ว สิ่งที่นางเฝ้ารอกลับไม่เป็นอย่างฝัน นางไม่อาจกลับไปสกุลเดิม อีกทั้งยังไม่อาจเป็นที่รักของผู้เป็นสามีได้เช่นกัน สุดท้ายแล้ว หนิงเซียนจึงคิดที่จะหลีกหนีจากความวุ่นวายเหล่านี้เพื่อที่จะไปเริ่มต้นใหม่เสียที
เมื่อตัดสินใจได้อย่างเป็นที่แน่ชัดแล้ว หนิงเซียนก็ล้มกายลงนอนด้วยความเหนื่อยล้า วันนี้นางเผชิญเรื่องราวน่าปวดหัวมาทั้งวัน แม้วันนี้จะเป็นวันสิ้นปี นางก็ไม่ใส่ใจ สู้รีบเข้านอนเพื่อที่จะได้บอกลาปีเก่านี้ไปโดยเร็วยังจะดีกว่า
ค่ำคืนที่เหน็บหนาว ในขณะที่ทุกครอบครัวกำลังนั่งดื่มฉลองกันอย่างพร้อมหน้า หนิงเซียนกลับต้องนอนหลับไปเพียงลำพังอย่างอ้างว้าง
ในขณะที่หนิงเซียนกำลังนอนหลับอยู่นั้น ด้านหลังของเรือนกลับมีไฟลุกไหม้ป่าไผ่อย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะลามมายังเรือนที่นางกำลังนอนหลับอยู่ หนิงเซียนรู้สึกตัวขึ้นมาเมื่อได้ยินเสียงเผาไหม้ของสิ่งของต่าง ๆ และเมื่อลืมตาขึ้นมานางก็พบว่าตอนนี้ไฟได้ลุกลามมายังเรือนด้านหน้าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ด้านหลังคือลำธารที่แสนหนาวเหน็บ ส่วนด้านหน้าก็คือเปลวเพลิงร้อนระอุที่กำลังแผดเผาทุกสิ่งอย่าง หนิงเซียนพยายามหาหนทางหนีเพื่อเอาตัวรอดด้วยการใช้ผ้าปิดจมูกและหาหนทางหนีเพื่อไปให้ถึงที่ลำธารที่อยู่ด้านหลัง หากแต่มองไปทางไหนก็มีเพียงกลุ่มควันและเปลวเพลิงที่กำลังคืบคลานเข้ามา หาจนสุดท้ายแล้ว นางก็ไม่อาจหลีกหนีได้อีกต่อไป
‘สวรรค์ ท่านช่างไม่เหลือทางเลือกให้ข้าบ้างเลยแม้แต่น้อย เมื่อเป็นเช่นนี้ เห็นทีว่าลมหายใจของข้าที่มีอยู่คงต้องคืนให้ท่านแล้ว’ หนิงเซียนตัดพ้อต่อโชคชะตา ก่อนที่นางจะหมดสติไปเนื่องจากกลุ่มควันที่ปกคลุมไปทั่วทั้งบริเวณ
ในขณะที่ดวงจิตกำลังจะล่องลอยออกไปไกลนั้น ห้วงสุดท้ายของลมหายใจ ภาพความทรงจำทั้งหลายในอดีตก็พลันปรากฏชัดเจนขึ้นมาอีกครั้ง ‘หนิงเซียน ข้าจะกลับมาเพื่อแต่งงานกับเจ้า หยกนี้ แทนคำสัญญาระหว่างเรา’ ถ้อยคำที่เด็กหนุ่มบอกกับนาง ซึ่งนับว่าเป็นคำสัญญาที่ผูกมัดตัวนางไว้จวบจนลมหายใจสุดท้ายเช่นนี้
‘คนที่กล่าวถ้อยคำนั้น บัดนี้กลับลืมเลือนทุกสิ่งไปจนสิ้นแล้ว แต่เหตุใดตัวข้าถึงยังจดจำได้อย่างไม่ลืมเลือนเช่นนี้เล่า สวรรค์ หากข้ามีโอกาสหวนคืนมาอีกครั้ง ไม่ว่าชาติภพใด ขอให้ข้าอย่างได้ตกหลุมรักคนเช่นนี้อีกเป็นอันขาด’ เมื่อสิ้นคำอธิษฐาน ดวงจิตที่อ่อนล้าของหนิงเซียนก็ได้ก้าวเข้าสู่ความมืดมน
