ท่านแม่ทัพ ข้าจะไม่รักท่านอีกต่อไปแล้ว!

75.0K · จบแล้ว
Mint Lint
32
บท
8.0K
ยอดวิว
8.0
การให้คะแนน

บทย่อ

เพียงเพราะยึดมั่นในความรักมากจนเกินไป สุดท้ายจึงทำให้นางต้องมาพบกับจุดจบที่น่าอดสูถึงเพียงนี้ เมื่อมีโอกาสหวนคืนอีกครั้ง หนิงเซียนจึงตั้งมั่นในใจแล้วว่า ..."ท่านแม่ทัพ ข้าจะไม่รักท่านอีกต่อไปแล้ว!" "เกาหานเยว่ สิ่งเดียวที่ข้านึกเสียใจในตอนนี้ ก็คือการที่ข้าได้พบกับท่านในวันนั้น หากย้อนเวลากลับไปได้ ข้าจะไม่ขอพบเจอ และจะไม่รักท่านอีกครั้งเป็นอันขาด" #ท่านคือความเสียใจเพียงหนึ่งเดียวที่ตัวข้ามี

นิยายจีนโบราณ

บทที่1 [ฮูหยินอัปลักษณ์]

เยว่ซินยืนมองร่างของหญิงสาวที่นอนอยู่ตรงหน้าด้วยใบหน้าที่ไม่อาจบ่งบอกได้ถึงความรู้สึกของนางที่มีอยู่ภายในใจ

คนผู้นี้คือฮูหยินของท่านแม่ทัพเกาหานเยว่ สตรีที่ได้แต่งเข้าจวนของบุรุษผู้หาญกล้าและเป็นที่หมายปองของเหล่าสตรีทั้งหลาย แม้ใบหน้าของร่างที่นอนไม่ได้สตินี้จะดูซีดเซียวมากเพียงใด แต่กระนั้นก็ยังไม่อาจปกปิดความงดงามที่ร่างนี้เคยมีในอดีตได้เลยแม้แต่น้อย

เยว่ซินจ้องมองใบหน้าของร่างนี้อีกครั้ง ก่อนที่จะยิ้มเหยียดให้แก่ชะตากรรมของอีกฝ่ายโดยไร้ซึ่งความสงสาร แม้ว่าผู้เป็นเจ้าของร่างนี้จะงดงามมากเพียงใดก็ตาม หากแต่เยว่ซินกลับคิดว่า ความงดงามเช่นนี้จะมีประโยชน์อันใดกัน ถ้าเจ้าของร่างยังต้องนอนหลับใหลไม่ได้สติเช่นนี้

คนเรา หากไร้ซึ่งวิญญาณอาศัยอยู่ในร่างก็ไม่แตกต่างจากภาชนะที่ว่างเปล่าและรอเวลาสูญสลายไปเท่านั้น และร่างนี้เองก็เช่นกัน หากมองเพียงแค่ผิวเผินผู้คนคงคิดว่านางแค่นอนหลับไป ทั้งที่ความเป็นจริงแล้ว นางไม่ได้นอนหลับแต่อย่างใด หากแต่ดวงวิญญาณของนางได้ออกจากร่างไปจวนจะสิ้นแล้วต่างหาก

สาเหตุที่ร่างนี้ยังไม่สิ้นลมหายใจนั้น เป็นเพราะว่าภายในร่างที่นอนหลับใหลยังคงมีเศษเสี้ยวหนึ่งของดวงวิญญาณที่ยังคงหลงเหลืออยู่ แม้จะมีเพียงน้อยนิด แต่ก็สามารถที่จะพยุงร่างนี้ให้ยังพอมีลมหายใจ หากแต่เป็นลมหายใจที่รวยรินเพียงเท่านั้น

แม้เยว่ซินจะรู้ดีถึงแนวทางในการเรียกคืนดวงวิญญาณที่หล่นหายไป แต่นางก็ไม่คิดที่จะให้ความช่วยเหลือแม่ทัพเกาหานเยว่ผู้นี้แต่อย่างใด

เรื่องอันใดนางจะต้องปลุกให้สตรีผู้นี้ตื่นมาด้วยเล่า สู้ทำให้นางหลับไปตลอดกาลเสียยังจะดีกว่า เยว่ซินคิดอยู่ภายในใจ

“อัปลักษณ์เช่นนี้ ท่านยังคิดที่จะให้ข้าช่วยชีวิตนางอีกหรือ” เยว่ซินกล่าววาจาดูแคลนร่างที่นอนอยู่ตรงหน้าของนางด้วยสีหน้าที่เรียบเฉย

นางไม่ชอบสตรีผู้นี้ สตรีที่โง่งมในรักเช่นนี้ ปล่อยให้นอนหลับไปโดยที่ไม่ต้องตื่นขึ้นมาอีกเลยเช่นนี้ก็นับว่าดีแล้ว ไม่ว่าจะอย่างไร นางก็ไม่อาจทำใจช่วยให้อีกฝ่ายตื่นขึ้นมาได้เป็นอันขาด เยว่ซินพยายามทำใจแข็งและยึดมั่นในความคิดเดิมของตนเอง

“ท่านหมอ ข้าขอความช่วยเหลือจากท่านก็จริง แต่ไม่ได้หมายความว่าท่านจะกล่าววาจาเช่นไรต่อนางก็ได้ ขอโทษนางเสีย” แม่ทัพเกาหรือเกาหานเยว่กล่าวตำหนิเยว่ซินในทันที

แม้นางจะเป็นลูกศิษย์ของท่านหมอเทวดาลู่โจวที่เขาเชิญให้มารักษาฮูหยินของเขา แต่เขาก็ไม่อาจทำใจยอมรับได้ ถ้าหากว่าอีกฝ่ายจะแสดงท่าทีที่หยามเกียรติฮูหยินของเขาเช่นนี้

“คำขอโทษของข้าหรือแม้แต่ถ้อยคำเมื่อครู่นี้ ถึงจะอย่างไรนางก็ไม่อาจได้ยิน เช่นนั้นแล้ว เหตุใดข้าต้องขอโทษนางด้วยเล่า” เยว่ซินกล่าวโดยไม่สนใจท่าทีที่ดูไม่พอใจของท่านแม่ทัพผู้นี้เลยแม้แต่น้อย

เขาจะรู้สึกไม่พอใจแล้วเช่นไร เรื่องนั้นนางไม่คิดที่จะเก็บมาใส่ใจเลยสักนิด เพราะถึงจะอย่างไร สตรีผู้นั้นก็มีใบหน้าที่อัปลักษณ์จริง ๆ เยว่ซินยังคงยืนกรานในความคิดนั้นของตน

“นางไม่ได้ยิน หากแต่ข้าได้ยิน การที่ท่านกล่าววาจาที่ไม่น่าฟังเช่นนี้ จะอย่างไรท่านก็ควรที่จะรู้สึกผิดในคำพูดนั้นของตน” หานเยว่พยายามข่มความไม่พอใจเอาไว้ หากอีกฝ่ายไม่ใช่หมอผู้ที่สามารถรักษาฮูหยินของเขาได้ เขาคงได้ใช้กระบี่คู่กายปลิดชีพสตรีที่ยืนอยู่ข้างเตียงฮูหยินของเขาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

“ท่านกับนาง มีความสัมพันธ์ต่อกันเช่นไร ข้าต่อว่านาง เหตุใดท่านต้องมาเดือดร้อนแทนด้วย” เยว่ซินเอ่ยถาม แม้นางจะรู้ดีว่าพวกเขาทั้งสองคือใครและมีความสัมพันธ์ต่อกันเช่นไร

“ข้าคือสามีของนาง” หานเยว่เอ่ยตอบพร้อมด้วยสีหน้าและน้ำเสียงที่แสดงออกถึงความไม่พอใจอยู่หลายส่วน

“สามี? หึ ข้าจำไม่ได้สักนิดว่าข้ามีสา...” เยว่ซินกล่าวกับตนเองเบา ๆ ด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูประชดประชัน ก่อนที่จะหยุดคำพูดของตนไว้เพียงเท่านั้น เนื่องจากเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังมองมาที่นางเหมือนว่าเขาได้ยินในถ้อยคำเหล่านั้น

“อ้อ! ข้าหมายถึง ข้าจำไม่ได้สักนิดว่านางมีสามีแล้ว อาจารย์ไม่ได้บอกข้าในเรื่องนี้ ที่แท้ นางก็คือฮูหยินของท่านแม่ทัพนั่นเอง” เยว่ซินกล่าวอธิบายพลางกล่าวอ้างผู้เป็นอาจารย์ ซึ่งก็คือหมอเทวดาที่มีนามว่าลู่โจว ที่เป็นผู้ส่งนางมารักษาสตรีผู้นี้

อาจารย์ของนางไม่ได้บอกนางว่าคนที่นางต้องมาทำการรักษาคือใคร ท่านเพียงให้นางขึ้นรถม้าที่ไปรับนางมาจากหุบเขาเดียวดาย พร้อมด้วยจดหมายที่เขียนคำอธิบายเพียงไม่กี่ประโยคเท่านั้น เมื่อมาถึงที่หมาย เยว่ซินก็ได้แต่ตกตะลึงและไม่อาจปฏิเสธที่จะเข้ามาในจวนแม่ทัพเกาผู้นี้เสียแล้ว

เมื่อนึกย้อนถึงเรื่องราวก่อนหน้านี้ เยว่ซินก็ได้แต่ยิ้มหยันให้แก่ตนเอง พร้อมกับยอมรับว่านางถูกอาจารย์หลอกเข้าให้แล้ว

“หึ ถูกต้องแล้ว นางคือฮูหยินของข้า และท่านก็มีหน้าที่ที่จะต้องช่วยเหลือนางให้ตื่นขึ้นมาอย่างไรเล่า” หานเยว่กล่าวทบทวนถึงหน้าที่ของเยว่ซินอีกครั้ง

เดิมทีแล้วท่านหมอลู่โจวต้องเป็นผู้ที่มารักษาฮูหยินของเขาเหมือนตลอดระยะเวลาสองเดือนที่ผ่านมา หากแต่ครั้งที่แล้ว ท่านหมอกล่าวว่ามีผู้ที่สามารถที่จะช่วยเหลือฮูหยินของเขาได้แล้ว และคนผู้นั้นก็คือลูกศิษย์ของท่านหมอลู่โจวนั่นเอง

“นึกไม่ถึงว่าสตรีที่อัปลักษณ์เช่นนี้จะเป็นภรรยาของท่าน” เยว่ซินกล่าวในขณะที่นางกำลังกวาดตามองดูร่างที่นอนอยู่โดยละเอียดอีกครั้ง

“ท่านหมอ ข้าขอกล่าวอีกครั้ง ข้าเพียงขอให้ท่านช่วยเหลือนาง หากท่านไม่อาจช่วยเหลือนางได้ ก็ไม่ควรที่จะกล่าววาจาดูถูกนางเช่นนี้” หานเยว่กำหมัดแน่น แม้จะไม่พอใจเพียงใด แต่เขาก็ไม่อาจทำลายโอกาสในการช่วยเหลือคนรักได้

“จะช่วยหรือไม่ช่วยล้วนอยู่ที่ข้าตัดสินใจ ไม่ใช่ท่าน หากว่าท่านยอมคุกเข่าอ้อนวอนข้า ไม่แน่ว่าข้าอาจจะยอมใจอ่อนช่วยนางผู้อัปลักษณ์นี้ก็เป็นได้” เยว่ซินกล่าวพลางจ้องใบหน้าของหานเยว่โดยไม่หลบสายตาเพื่อรอคำตอบ

ท่านแม่ทัพ ข้าอยากรู้ยิ่งนักว่าท่านจะยอมอดทนเพื่อนางได้มากเพียงใด เยว่ซินคิดอย่างดูแคลนในความรักที่หานเยว่มีต่อสตรีที่นอนอยู่บนเตียง

“ท่านหมอ จะอย่างไรนายข้าก็เป็นถึงท่านแม่ทัพ การที่ท่านขอให้ท่านแม่ทัพต้องคุกเข่านั้น ข้าเกรงว่าจะมากเกินไปสักหน่อย” อาชาง ทหารคนสนิทของหานเยว่กล่าวตักเตือนเยว่ซิน ด้วยเขาไม่อาจทนเห็นท่านแม่ทัพของตนต้องถูกหยามเกียรติเช่นนี้อีกต่อไปแล้ว

ไม่รู้ว่าเกิดสิ่งใดขึ้นกับท่านหมอลู่โจวกันแน่ เหตุใดถึงได้ส่งลูกศิษย์ที่พูดจาเราะรายเช่นนี้มาแทนได้ อาชางคิดอย่างไม่พอใจในตัวของท่านหมอเยว่ซินผู้นี้อยู่ภายในใจ

“หืม ตำแหน่งเป็นท่านแม่ทัพแล้วอย่างไร คุกเข่าไม่ได้หรือ เช่นนั้นก็ลืมเรื่องรักษาอาการของนางไปเสียเถิด เพราะข้าจะกลับแล้ว” เยว่ซินกล่าวจบก็ไม่คิดที่จะอยู่ที่นี่ให้นานไปมากกว่านี้ หากแต่นางหันหลังจะเดินจากไปได้เพียงครึ่งก้าว หานเยว่กลับเรียกนางไว้ด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูร้อนรน

“ชะ ช้าก่อน” หานเยว่กล่าวก่อนที่เยว่ซินจะจากไป เพราะตอนนี้ตัวเขาไม่มีทางเลือกอื่นใดหลงเหลืออยู่แล้ว

“ว่าอย่างไร ท่านเกิดเปลี่ยนใจอยากที่จะคุกเข่าให้ข้าเช่นนั้นหรือ” เยว่ซินกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เฉยชาดังเดิม แต่กระนั้นนางก็ไม่ได้หันหลังกลับมามองหานเยว่ที่ยืนอยู่เบื้องหลังของนางแต่อย่างใด

บุรุษเช่นเขา ไหนเลยจะยอมลดศักดิ์ศรีของตนเองเพียงเพื่อที่จะช่วยเหลือสตรีที่ไร้ค่าผู้นั้นที่นอนอยู่บนเตียง เยว่ซินแค่นยิ้มอย่างดูแคลนในความรักของแม่ทัพผู้นี้

“ข้ายอมคุกเข่าให้ท่าน ขอเพียงท่านทำให้นางฟื้นขึ้นมาได้ก็พอ” หานเยว่ยังคงอ้อนวอนอย่างมีความหวัง พร้อมทั้งยินดีที่จะโยนศักดิ์ศรีที่มีทั้งหมดทิ้งไป

“ท่านแม่ทัพ ท่านทำเช่นนี้หมายความเช่นไร หรืออยากที่จะให้ข้าเชื่อและรู้สึกซาบซึ้งใจในรักแท้ของพวกท่านอย่างนั้นหรือ หากเป็นเช่นนั้น เกรงว่าข้าคงจะทำให้ท่านผิดหวังแล้ว เพราะข้าไม่ซาบซึ้งใจเลยสักนิด” เยว่ซินกล่าวพลางแสยะยิ้มอย่างไม่คิดที่จะปิดบังใบหน้าและความรู้สึกนั้นของตน

“ข้ารักนาง นางคือชีวิตทั้งชีวิตของข้าที่เหลืออยู่นับจากนี้ ขอท่านหมอได้โปรด ช่วยชีวิตนางด้วย” เมื่อหานเยว่ตอบกลับมาเช่นนั้น เยว่ซินก็ตกใจจนแทบยืนทรงตัวไม่อยู่ เพราะไม่คิดว่าชั่วชีวิตนี้จะได้ยินถ้อยคำเช่นนี้จากปากของแม่ทัพเกาหานเยว่ผู้นี้

“ทะ ท่านว่าอย่างไรนะ” เยว่ซินกล่าวถามซ้ำ ด้วยไม่อาจเชื่อในสิ่งที่ตนนั้นเพิ่งได้ยินเมื่อครู่นี้

เขากำลังทิ้งศักดิ์ศรีที่มีเพียงเพื่อช่วยเหลือสตรีผู้นี้ สตรีผู้ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นฮูหยินของเขา

“ข้ากล่าวว่าข้ารักนาง” หานเยว่กล่าวซ้ำอีกครั้ง ก่อนที่เขาจะเตรียมคุกเข่าลงต่อหน้าเยว่ซิน หากแต่เยว่ซินรีบเอ่ยห้ามการกระทำของเขาเอาไว้เสียก่อน

“ท่านไม่ต้องคุกเข่าให้ข้าแล้ว ไม่ว่าจะอย่างไร ข้าก็จะไม่ช่วยเหลือนาง สิ่งเดียวที่ข้าจะแนะนำท่านได้ คือให้ท่านปล่อยนางจากไปอย่างสงบ อย่าได้ไปรบกวนนางอีกเลย” เยว่ซินกล่าวพร้อมทั้งพยายามที่จะข่มน้ำเสียงไม่ให้สั่นไหว

“ท่านหมอ ท่านกล่าววาจาเช่นนี้ได้อย่างไร เหตุใดถึงจะไม่ช่วยแล้ว หรือว่าท่านเพียงแค่โกหกว่าตนเองรักษาฮูหยินของท่านแม่ทัพได้กันแน่” อาชางรีบเอ่ยขึ้นมา เมื่อเขาเห็นสีหน้าและแววตาที่ผิดหวังของผู้เป็นนาย

“หากไม่เชื่อว่าข้าสามารถช่วยนางได้ตั้งแต่แรก แล้วพวกเจ้าจะยอมให้ข้ามายืนอยู่ในที่แห่งนี้เพื่อสิ่งใดกัน” เยว่ซินกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เริ่มไม่พอใจเช่นกัน นางเองก็ไม่ได้อยากมาที่นี่เสียหน่อย หากแต่เป็นอาจารย์ต่างหากที่หลอกให้นางมา

“เช่นนั้นท่านช่วยฮูหยินได้หรือไม่เล่า ท่านเป็นหมอ หน้าที่ช่วยเหลือผู้คนย่อมเป็นสิ่งที่สมควรกระทำอยู่แล้วไม่ใช่หรือ” อาชางที่รู้ว่าตนนั้นเอ่ยวาจาที่ทำให้อีกฝ่ายขุ่นเคืองใจเข้าให้แล้ว จึงรีบเปลี่ยนท่าทีจากโมโหมาเป็นช่วยผู้เป็นนายอ้อนวอนท่านหมอผู้นี้ในทันที

“ถูกต้องแล้ว ข้าเป็นหมอ หากแต่ข้าเป็นหมอที่ใจแคบเป็นที่หนึ่ง หากไม่มีประโยชน์ใดต่อตัวข้า ข้าก็ไม่คิดที่จะเสียเวลาต่อสิ่งนั้น” เยว่ซินไม่สนใจว่าคนเหล่านี้จะมองนางเช่นไร จะกล่าวว่านางใจร้าย หรือไร้น้ำใจก็ช่าง เพราะนางจะไม่มีวันทำเรื่องที่ต้องฝืนใจของตนเองมากเช่นนี้โดยเด็ดขาด

“ท่านหมอ หากท่านต้องการสิ่งใด ท่านกล่าวออกมาอย่างตรงไปตรงมาได้หรือไม่ หากไม่เกินความสามารถ ข้าย่อมทำให้ท่านอย่างแน่นอน ขอเพียงท่านอยู่เพื่อรักษาฮูหยินของข้าได้หรือไม่ ท่านหมอ ข้าหานเยว่ผู้นี้ขอคุกเข่าขอร้องท่าน” หานเยว่กล่าวก่อนจะทิ้งตัวลงคุกเข่าต่อสตรีที่ยืนอยู่ตรงหน้าด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูสิ้นหวังที่สุดแล้ว

หานเยว่รู้ดีว่า เวลาของคนรักของตนนั้นเหลือน้อยลงเต็มที หากไม่ทุ่มสุดตัวในยามนี้ เกรงว่าวันข้างหน้า คงไม่มีโอกาสให้เขาได้แก้ตัวอีกต่อไปแล้ว

“ได้โปรดเถิดท่านหมอ ข้าขออภัยที่กล่าววาจาล่วงเกินท่าน ขอให้ท่านได้โปรดให้การช่วยเหลือฮูหยินด้วย” อาชางรีบเอ่ยขอโทษ พร้อมคุกเข่าตามผู้เป็นนายทันที ในขณะที่ภายในใจของเขานั้นรู้สึกสงสารท่านแม่ทัพอย่างสุดหัวใจ

“เอาเถิด ข้าจะอยู่รอดูอาการของนางอีกสักระยะก็แล้วกัน” แม้จะพยายามใจแข็งมากเพียงใด แต่พอได้เห็นแววตาที่สิ้นหวังของบุรุษผู้นี้ เยว่ซินก็เผลอใจอ่อนอีกครั้งแล้ว