1.ชีวิตที่ถูกลักพา
ท่ามกลางหิมะที่โปรยปรายลงสู่ถนน หญิงวัยกลางในชุดกันลมขนสัตว์กลางเก่ากลางใหม่สีทึบ เดินฝ่าความหนาวเย็นผ่านผู้คนที่พลุ่งพล่านในย่านใจกลางเมืองใหญ่อันแสนวุ่นวายที่คึกคักไปด้วยแสงสียามพลบค่ำและความรื่นเริงรายล้อมด้วยย่านการค้าและการท่องเที่ยวเพื่อรอเรียกผู้คนออกมาหาความสุข ถึงแม้ว่าอากาศจะหนาวเย็นขนาดไหนแต่สิ่งที่อยู่ในอ้อมกอดของหญิงผู้นั้นกลับไม่เคยถูกปล่อยจากอ้อมอกของเธอเลย กระเป๋าหนังเก่าๆขนาดกลางถูกกอดเอาไว้เรียกสายตาเหล่ามิจฉาชีพในย่านนั้นเป็นตาเดียวราวกับเหยื่ออันโอชะ
คนที่ดูไม่มีกลับมีไม่น้อย นั้นคือสิ่งที่พวกมันเห็นพ้อง ไม่อย่างนั้นจะกอดกระเป๋าเก่าๆราวกับสมบัติอันล้ำค่าทำไมกัน
แต่พวกมันคงคาดไม่ถึงว่าสิ่งที่หญิงวัยกลางคนผู้นั้นกอดราวกับสมยัติอันล้ำค่านั้นจะเป็นบางสิ่งที่พวกมันไม่คาดคิดเอาเสียเลย
" ไปทางไหนดีกันล่ะไม่คุ้นทางเอาเสียเลยรู้แบบนี้ว่าจ้างรถแท็กซี่ให้ไปส่งสบายๆดีกว่า " ถ้าไม่ใช่เพราะความงกขี้เหนียวของตัวเองแล้วล่ะก็คงไม่มาเสียเวลาร่วมวันแบบจนมืดค่ำแบบนี้เพราะหาทางกลับออกจากเมืองใหญ่ไม่ถูก
ดวงตาเจ้าเล่ห์กลอกกลิ้งราวกับคำนวณผลอยู่ชั่วครู่ก่อนตัดสินใจอย่างเด็ดขาดเดินมุ่งไปยังทิศทางหนึ่งที่ผู้คนไม่มากนักนั้นคือถนนใหญ่ที่เต็มไปด้วยรถวิ่งผ่านสวนทางอย่างเร่งรีบเป็นแบบนั้นรถที่วิ่งก็ยังชักช้าอยู่ดีด้วยสถานการณ์อันรีบเร่งเวลาของคนเมืองใหญ่ที่ใช้ชีวิตแข่งกับเวลาแลกเงินตราให้ได้มาเพื่อความสะดวกสบาย
" พี่สาวจะไปไหนหรือครับ " เสียงชายหนุ่มตะโกนร้องถามด้านหลังทำให้หญิงนั้นต้องชะงักฝีเท้าลงก่อนจะหันกลับไปมองด้านหลังก็พบกับชายหนุ่มท่าทางเก้งกางแต่ดูสุภาพเรียบร้อยในชุดพนักงานขับรถ
" นายเป็นคนขับรถรับจ้างหรือ " ถามอย่างไม่แน่ใจเพราะผู้ชายตรงหน้าดูหนุ่มกว่าคนขับรถที่ส่วนใหญ่เป็นชายวัยกลางคน
" ครับ พอดีเห็นพี่สาวเหมือนต้องการไปเรียกรถ ผมก็เลยเรียกพี่สาวว่าต้องจ้างรถผมไหม " เขายิ้มอย่างสุภาพ ก่อนผายมือไปด้านหลังตัวเองที่มีแท็กซี่ใหม่เอี่ยมจอดอยู่
" แพงไหม ฉันแค่ไปชานเมืองนะ "
" ไม่แพงๆ ชานเมืองเองผมก็กำลังจะเลิกงานแล้วบ้านอยู่ชานเมืองพอดีคิดราคาถูกหาค่าน้ำมันกลับพอดีเลยครับ " เขายิ้มตาหยีถูมือเบาๆราวสามารถปลดเปลื้องเรื่องหนักใจได้พลางเปิดประตูรถแท็กซี่รับเธอในฐานะผู้โดยสารทำให้เธอในฐานะหญิงบ้านนอกที่ได้เข้ามาเมืองใหญ่ไม่กี่ครั้งต้องยืดอกด้วยความภูมิใจก่อนวางท่าทางเย่อหยิ่งเดินเข้าไปนั่งในรถโดยไม่เห็นสายตาของชายหนุ่มขับแท็กซี่ที่เผยความชั่วร้ายเจ้าเล่ห์ออกมาขณะปิดประตูรถให้เธอ
" ไปชานเมืองเลยสวนสาธารณะหน่อยๆ " เสียงแหลมเอ่ยสั่งก่อนจะวางกระเป๋าลงบนตักอย่างเบามือโดยไม่สังเกตเห็นว่าสายตาของชายหนุ่มก็จดจ้องไปที่กระเป๋าใบนั้นเหมือนกัน
" ครับแถวย่านนั้นเอง " ชายหนุ่มขับแท็กซี่พยักหน้ารับก่อนรีบเร่งเดินอ้อมไปอีกด้านของรถเพื่อขับ เขาทำสัญลักษณ์บางอย่างให้กับผู้ที่จดจ้องในที่มืดตั้งแต่แรกรับรู้แล้วขับรถออกไปอย่างนุ่มนวลปกติราวกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่ถึงชั่วโมงไม่ใช้เรื่องร้ายแรงใหญ่โตกลับเป็นเรื่องที่เขาทำเป็นปกติในชีวิตประจำวัน
หลังขับรถมาได้ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงชายหนุ่มสังเกตเห็นรถยนต์คนเก่าขับตามติดๆมาจึงเริ่มชวนหญิงวัยกลางคนพูดคุยเพื่อไม่ให้เธอจับสังเกตเห็นความผิดปกตินั้นการพูดคุยเป็นไปด้วยดีจนหญิงวัยกลางคนเองเริ่มวางใจพูดเรื่องราวส่วนตัวอย่างออกมาอย่างออกรสออกชาติจนเข้าเขตที่หมาย
" รออยู่ตรงนี้ก่อนฉันเข้าไปไม่นาน เอ้านี่มัดจำไว้ก่อน " เธอรีบเร่งลงจากรถก่อนจะยื่นเงินให้คนขับเป็นเงิน
" 100 หยวน พี่สาวมันมากไปแล้ว แบบนี้ผมจะรออยู่นี้จนกว่าพี่สาวจะกลับมานะครับ ผมไม่เอาเปรียบผู้โดยสารแบบนี้นะ " เขายิ้มอย่างดีอกดีใจเมื่อเจอผู้โดยสารใจกว้างแบบเธอทำเอาเธอที่ไม่เคยได้รับการประจบประแจงยิ่งต้องวางท่าราวกับเจ้านายใหญ่อีกครั้ง ก่อนเหยียดยิ้มดูถูกท่าทางนั้นของเขาพลางปิดประตูรถเสียงดังแล้วเดินออกไปด้วยท่าทางหยิ่งผยองข้ามทางม้าลายไปทิศทางตรงกันข้ามกับสวนสาธารณะที่เงียบงันไร้ผู้คนเพราะเริ่มมืดสลัวแล้ว
" 100 หยวนเลยเหรอนี้ วันนี้โชคดีจริง แบบนี้เหล่าพี่น้องต้องสบายไปนาน 55555 " เสียงหัวเราะเยาะดังขึ้นพร้อมกับแววตาอันมาดร้ายของคนขับรถที่ไล่ตามหญิงวัยกลางคนที่ข้ามถนนเดินไปไกลลิบ ก่อนจะเบนสายตาไปด้านหลังรถที่มีรถยนต์คันเก่าจอดอยู่ด้วยสายตาและรอยยิ้มที่เปี่ยมสุข
หญิงวัยกลางคนเดินผ่านสวนสาธารณะที่เริ่มร้างผู้คนเนื่องจากเริ่มมืดเสียมากขณะเดียวกันก็ยังไม่ลืมที่จะสังเกตสิ่งรอบตัวไปด้วยเท้าทั้งสองจากที่เดินเอื่อยเฉื่อยก็เร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นเมื่อเข้าสู่เส้นทางหมู่บ้านที่เริ่มคุ้นเคย แม้จะมาเยือนที่นี้ไม่กี่ครั้งแต่นางก็จำเส้นทางได้
บ้านเรือนทั้งสองข้างทางยังไม่ถูกโครงการของนายทุนพัฒนาจึงยังเป็นบ้านอิฐกระเบื้องเขียวอยู่มากทว่าก็ยังเป็นบ้านเรือนที่สะอาดและเงียบสงบแสงไฟที่ส่องสว่างจากบ้านเรือนเริ่มถูกเปิดขึ้นเพื่อการใช้ชีวิตยามราตรีมาเยือน
หญิงผู้นั้นเดินปรี่เข้าไปที่บ้านหลังหนึ่งท้ายซอยที่ไฟปิดอยู่ก่อนจดจ้องอยู่นานเมื่อมั่นใจว่าไม่มีคนอยู่จึงค่อยๆว่างกระเป๋าลงแล้วอุ้มบางอย่างออกมาจากกระเป๋า มันคือก้อนผ้าไหมอ้วนกลมสีชมพูที่ห่อหุ้มบางอย่างเอาไว้
" อย่าโทษฉันเลยนะ ฉันทำไปเพราะความจำเป็นถ้าไม่ทำฉันก็ไม่มีชีวิตอยู่แน่" นางมองอ้อมกอดตนเองที่มือทั้งสองโอบอุ้มอยู่
เด็กทารกแรกเกิดถูกห่อหุ้มด้วยผ้าไหมสีชมพูชั้นเลิศผิวขาวอมชมพูกระจ่างบ่งบอกชาติกำเนิดที่สูงส่งดวงตาสีนิลใส่กระจ่างจดจ้องหญิงวัยกลางคนด้วยอาการงัวเงียจากฤิทธิ์ยานอนหลับที่นางป้อนผสมนม เมื่อเห็นดั่งนั้นนางจึงรีบวางทารกน้อยลงหน้าบ้านนั้นพลางรีบหมุนตัวแล้ววิ่งจากไปอย่างหวาดกลัวความผิดที่ทำขณะที่กึ่งเดินกึ่งวิ่งออกจากซอยก็ไ่ม่ลืมที่จะหันไปมองด้านหลังเป็นระยะๆราวกับมันจะสามารถลดทอนความผิดบาปที่ตนเองทำได้และยังไม่ลืมกอดกระเป๋าหนังใบเดิมไว้แน่นเพื่อปลอบใจตนเอง
" มีเงินก้อนนี้ฉันสามารถมีชีวิตที่ดีได้ ขอโทษนะคุณหนูตัวน้อยเธอต้องเสียสละชีวิตเพื่อฉัน ใครใช้ให้เธอเกิดมาเป็นคนสูงศักดิ์ละ" นึกถึงเงินในกระเป๋าใบนี้ก็ทำให้ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีหายไปจนหมด ใบเหลืองของนางจึงมีรอยยิ้มประเต็มใบหน้าเท้าทั้งสองค่อยๆผ่อนแรงจากวิ่งกลายเป็นเดินอย่างเอื่อยเฉื่อย
อนิจจา
มนุษย์นั้นมักจะลืมเสมอว่าไม่ว่าจะทำเรื่องเลวร้ายแล้วปกปิดความชั่วตนเองให้มิดขนาดขุดหลุมฝังกลบมิดไม่ให้ขุดออกมาตลอดชีวิตแต่ฟ้าดินย่อมรู้เห็นทุกเรื่องและย่อมเอาคืนเสมอ
ดวงตาหญิงวัยกลางคนมองรถแท็กซี่ที่จอดริมสวนสาธารณะข้างๆมีคนขับรถที่ออกมายืนรออยู่นอกรถและมีผู้ชายหลังสพายกระเป๋าใบใหญ่ท่าทางดุดันสองคนยืนคุยขนาบทั้งสองข้าง เมื่อเห็นนางทั้งสามมีท่าทางตกใจชั่วครู่พลางพยักหน้าให้
คงเป็นคนที่อยากจะว่าจ้างรถเหมือนเพราะแถวนี้ไม่มีรถผ่านแล้ว แต่นางเป็นคนใจแคบเสียเงินแล้วย่อมต้องมีสิทธิ์ขาดในการนั่ง วันนี้นางจะเป็นคนรวยที่ไม่ต้องก้มหัวให้ใคร
" นี้ไงครับผู้โดยสารผมมาแล้วพวกพี่ชายไปว่าจ้างคนอื่นเถอะครับ " เขาก้มหัวขอโทษขอโพยพลางพยักเพยิดเปิดประตูเชิญนางขึ้นรถ
ชายทั้งสองเห็นสถานการณ์แบบนั้นจึงยิ้มให้นางอย่างขอโทษก่อนยกมือขึ้นทั้งข้างแสดงออกว่าช่วยไม่ได้ก็นเมื่อมีลูกค้ามาด้วยจริงๆ
" ช่วยไม่ได้จริงๆ พวกเรามาช้าหารถกลับไม่ได้แค่อยากเหมาไปที่สถานีรถไฟให้ทันเท่านั้นเอง "
" ขอโทษครับพี่สาว พวกพี่ชายสองคนอยากเหมาไปที่สถานีรถไฟ หรือไม่ก็ขอนั่งไปที่ถนนเส้นใหญ่จะได้หารถแท็กซี่ง่ายขึ้นแต่ผมปฏิเสธแล้ว"
นางตาสว่างวาบเมื่อได้ฟังเรื่องราว คิดออกแล้วว่าจะหนีไปตั้งหลักที่ไหนไม่ให้ใครตามตัวเจอสายตาลอบมองสำรวจชายทั้งสองอย่างไม่ให้พวกเขาทั้งสองรู้ตัวโดยไม่รู้เลยว่าตนเองต่างหากที่กำลังติดกับดักและกลายเป็นเหยื่อ
" น้องชายทั้งสองจะไปสถานีรถไฟหรือพี่สาวก็จะไปเหมือนกันไปด้วยกันได้ " น้ำเสียงเอ่ยอย่างจริงใจ
" จริงหรือครับพี่สาว พวกผมจะออกค่ารถเองครับ ขอให้พวกผมไปด้วยนะครับ "
" ขอบคุณครับพีสาว ถ้าไม่ออกเดินทางตอนนี้คงไปไม่ทันเที่ยวนี้แน่ๆ "
" ไม่เป็นไรๆไปๆ ขึ้นรถเถอะเดี๋ยวไปไม่ทัน " นางเข้าไปด้านหลังคนขับโดยมีชายอีกคนนั่งข้างๆส่วนชายอีกคนก็นั่งข้างหน้าด้านข้างคนขับโดยไม่สังเกตเลยว่าชายทั้งสามลอบสบตาโดยมีรอยยิ้มประดับอย่างเจ้าเล่ห์ติดอยู่
ก่อนที่รถจะเคลื่อนตัวออกชายคนขับยื่นขวดน้ำอัดลมให้นาง ก่อนสังเกตแล้วพูด " เห็นพี่สาวไปนานเลยซื้อมาเผื่อครับ แก้เหนื่อยกว่าจะถึงสถานีรถไฟ "
" ขอบใจนะ " นางรับมาก่อนที่จะเปิดดื่มเมี่อสังเกตแล้วว่าไม่มีร่องรอยงัดแงะอะไรพยายามเปิดนานหลายอึดใจก็เปิดไม่ได้โดยไม่ทันตั้งตัวชายที่นั่งข้างก็คว้าขวดน้ำอัดลมไปเปิดก่อนจะยื่นให้
" นี่ครับผมเปิดให้ "
" ขอบใจนะ " นางยกดื่มจนหมดขณะที่กำลังจะอ้าปากถามเมื่อเห็นเส้นทางที่ขามาตรงข้ามกับขากลับก็ต้องตกใจกับรอยยิ้มที่จู่ก็ชะโงกหน้าหานางของชายหนุ่มอีกคนที่นั่งอยู่ด้านข้างคนขับรถ " นี้... " คำเดียวที่พูดออกมาได้พร้อมๆกับสติที่ค่อยๆหลุดหายไปแต่ทิ้งความกลัวไว้ให้ในห้วงคำนึงตนเอง
กรรมสนองคืน
