บท
ตั้งค่า

6 วันแห่งความสุข หรือทุกข์?

6

วันแห่งความสุข หรือทุกข์?

ภาพที่หัวหน้าขันทีเห็นและมารายงานต่อผู้เป็นนาย ทำให้โจวจางเหว่ยเชื่อสนิทใจ ว่าเฉินตงหยางหลงใหลพระธิดาของตนจนโงหัวไม่ขึ้น จึงมีความคิดที่จะหลอกใช้โจวซูฮวาให้เป็นประโยชน์

จากที่ตอนแรกตั้งใจดึงเกมให้เวลามันยืดออกไปนานเท่าที่จะทำได้ โจวจางเหว่ยกลับรีบให้กรมพิธีการคำนวณหาฤกษ์อภิเษกโดยเร็วที่สุด เพื่อหมายจะรวมอำนาจของตนกับเฉินตงหยาง

งานอภิเษกสมรสระหว่างพระราชธิดาองค์เดียวของฮ่องเต้แคว้นฟู่ กับอ๋องเฉินผู้มีสายเลือดราชวงศ์เก่าที่ใครๆ ต่างยำเกรงจึงกำเนิดขึ้นในเวลาเพียงไม่ถึงสามวัน

โจวซูฮวาในชุดเจ้าสาวสีแดงดั่งโลหิตปักดิ้นทองเป็นลวดลายสลับสวยงามหรูหราสมฐานะ กำลังนั่งให้นางกำนัลตกแต่งทรงผมและใบหน้า

เครื่องประดับศีรษะมากมายถูกประโคมจนเกิดน้ำหนักพอสมควร ดวงตาดั่งหงส์ทอดมองเงาตัวเองในกระจกพินิจพิเคราะห์อยู่ชั่วครู่ ก่อนตัดสินใจดึงบางส่วนที่ดูขัดตาออกวางลงบนโต๊ะเครื่องแป้งดังเดิม

“พอแล้ว เอาพัดมาให้ข้า”

ริมฝีปากอิ่มที่แต่งแต้มด้วยสีทาปากแดงสด เอื้อนเอ่ยบอกนางกำนัลก่อนพวกนางจะหยิบสิ่งที่โจวซูฮวาต้องการมาให้ มือเล็กเอื้อมรับเอาไว้และยกขึ้นปิดบังใบหน้าสวย หยัดกายลุกยืนก้าวขาเดินออกจากตำหนักฮุ่ยหลิง

“องค์หญิงของหม่อมฉันสวยจังเลยเพคะ”

อ้ายชิงที่เฝ้ารอผู้เป็นเจ้านายอยู่ด้านนอก เอ่ยปากชมทันทีเมื่อได้ยลโฉมโจวซูฮวา วันนี้เป็นวันที่มีความสุขมากเพราะองค์หญิงของนางกำลังจะหลุดออกจากนรกแห่งนี้

“ขอบใจเจ้ามากนะอ้ายชิง ที่ข้ามีวันนี้ได้เป็นเพราะเจ้าแท้ๆ”

โจวซูฮวาเอื้อมสัมผัสมือของนางกำนัลพี่เลี้ยงแผ่วเบา ส่งยิ้มเล็กๆ ให้อย่างขอบคุณ ยังไม่ทันจะซึมซับกับความสุขที่มีได้นานเท่าไหร่ตัวพาหะความทุกข์ก็ปรากฏกายขึ้น ขโมยรอยยิ้มสดใสของสตรีทั้งสองออกจากริมฝีปากอิ่ม

“ต้องขอบคุณข้านี่ เป็นข้าที่มอบงานแต่งนี้ให้กับเจ้า ลูกสาวข้า”

โจวจางเหว่ยสืบเท้าเดินเข้าใกล้พระราชธิดา ใช้สายตาเจ้าเล่ห์ร้ายกาจอย่างมีแผนการชั่วช้า ทอดมองโจวซูฮวาตั้งแต่หัวจรดเท้าก่อนเอ่ยขึ้นต่อ

“งามเหมือนแม่เจ้าไม่มีผิด”

มือใหญ่ยกขึ้นหมายสัมผัสดวงหน้าสวย ทว่าโจวซูฮวากลับเบี่ยงกายหลบอย่างนึกรังเกียจ คนถูกขัดใจสีหน้าตึงขึ้นรีบชักมือกลับด้วยความขุ่นเคือง

“ที่เสด็จถ่อสังขารมาหาลูกถึงที่นี่ คงไม่ได้มีพระประสงค์จะมาส่งตัวหม่อมฉันขึ้นเกี้ยวใช่หรือไม่เพคะ ต้องการสิ่งใดจากหม่อมฉันอีก?”

โจวซูฮวาเอ่ยถามอย่างแดกดัน นางรู้อยู่เต็มอกว่าบิดาใจยักษ์เยี่ยงเขาคงไม่มีวันทำตัวเป็นพ่อที่ดีได้ แม้ในช่วงเวลาที่ลูกสาวกำลังจะถูกพรากออกจากอ้อมอก ต้องไปใช้ชีวิตอยู่ไกลหูไกลตา

“หึ! ไม่เสียแรงที่เป็นลูกข้า เจ้าช่างรู้ใจพ่อตัวเองจริงๆ”

ฮ่องเต้แคว้นฟู่ยิ้มเยือกเย็น ส่งสัญญาณให้หัวหน้าขันทีไล่คนอื่นๆ ออกห่างจากบริเวณที่เขาและโจวซูฮวายืนอยู่ ก่อนขยับกายเข้าใกล้ธิดามากขึ้นเพื่อกระซิบบอกเจตจำนงแท้จริง

“เจ้าต้องทำให้อ๋องเฉินสยบแทบเท้าข้า เข้าใจหรือไม่?”

ดวงตากลมใสเบิกกว้างด้วยความตกใจ หันมองใบหน้าบิดาของตนด้วยสายตาเดียดฉันท์ นี่สินะคือจุดประสงค์แท้จริงที่โจวจางเหว่ยยอมให้นางแต่งงาน

“หากข้าไม่เข้าใจในสิ่งที่ท่านเอ่ยเล่า?”

ถึงจะตกเป็นรองในทุกเรื่องเพราะนางเป็นเพียงพระราชธิดาของเขา ไม่มีอำนาจใดๆ ไปต่อรองบิดาผู้เป็นถึงฮ่องเต้ ทว่าโจวซูฮวากลับไม่มีความคิดจะยอมสยบให้โจวจางเหว่ยมาแต่ไหนแต่ไร

“ข้ามอบงานอภิเษกให้เจ้าได้ ข้าก็ทำลายมันได้เช่นกัน!”

“…!”

“ไม่เพียงเท่านั้น หากอ๋องเฉินไม่เปลี่ยนความคิดมาอยู่ฝั่งเดียวกับข้า ข้าก็ไร้ทางเลือกคงต้องกำจัดเขาทิ้งซะ!!”

“…!!”

“ทีนี้… เจ้าเข้าใจหรือยังล่ะ? ลูกรัก”

น้ำเสียงเย็นเยียบสายตาเย็นชาและรอยยิ้มเยือกเย็น ไหนจะประโยคโหดเหี้ยมไร้หัวใจนั่นอีก มันทำให้โจวซูฮวาสั่นสะท้านอย่างหวาดกลัว ว่าบุรุษที่นางรักอาจตกอยู่ในอันตรายถึงชีวิต

ทั่วล้าต่างรู้ดีว่าโจวจางเหว่ยเป็นฮ่องเต้ต่ำช้าเพียงไหน หากต้องการสิ่งใดแม้ต้องลงมือเข่นฆ่าผู้บริสุทธิ์ หรือชาวบ้านตาดำๆ ที่ไม่สามารถต่อต้านอะไรได้ เขาก็จะทำโดยไม่ตรึกตรองให้เสียเวลาหากมันทำให้จุดประสงค์ที่ตั้งไว้ลุล่วง

“หม่อมฉันจะพยายามเพคะ!!”

โจวซูฮวาไม่มีทางเลือกนอกจากตอบรับคำขอแกมบังคับนั่น นางรีบเดินหนีไปขึ้นเกี้ยวซึ่งจอดรอรับอยู่หน้าตำหนักโดยไว เพราะไม่ต้องการจะอยู่ใกล้บิดาชั่วนี่อีกแม้เพียงชั่วครู่เดียวก็ตาม

ขบวนเกี้ยวเจ้าสาวใหญ่โตถูกเคลื่อนขยับออกจากวังหลวง โดยมีสายตาชั่วร้ายของโจวจางเหว่ยทอดมองจนลับเลือน ก่อนเดินกลับตำหนักตนด้วยอารมณ์ที่ดี

ทางฝั่งตำหนักหนิงหวางของอ๋องเฉิน ถูกตกแต่งด้วยผ้าแพรสีแดงสดไปทั่วบริเวณ โคมไฟมงคลประดับประดาตามยอดเสาแต่ละต้นดูสวยงาม อาหารและสุราชั้นเลิศถูกนำมาวางเสิร์ฟมากมาย

งานแต่งยิ่งใหญ่สมศักดิ์ศรีว่าที่ราชบุตรเขยฮ่องเต้แคว้นฟู่ แขกเหรื่อมากหน้าหลายตามีแต่คนมีตำแหน่งฐานะ มารอร่วมแสดงความยินดีกันอย่างล้นหลาม เหล่าธารกำนัลยิ้มแย้มอย่างมีความสุขที่จวนจัดงานรื่นเริงใหญ่โตถึงเพียงนี้

ไม่นานขบวนเจ้าสาวก็มาหยุดอยู่หน้าตำหนักหนิงหวาง โจวซูฮวาก้าวลงจากเกี้ยวโดยมีอ้ายชิงรอรับอยู่ด้านล่าง มือข้างหนึ่งเกาะท่อนแขนเล็กพยุงกายอีกข้างยกพัดขึ้นปิดบังใบหน้างาม ที่บัดนี้มีเพียงความวิตกกังวลไร้รอยยิ้มแห่งความสุข

ทั้งๆ ที่เป็นวันมงคลของตนกับบุรุษที่นางรักแท้ๆ ทว่าโจวซูฮวากลับไร้ความยินดีปรีดาอย่างสิ้นเชิง เมื่อรับรู้ว่าตนเองเป็นเพียงหมากตัวหนึ่งที่ผู้เป็นบิดาส่งให้มาเป็นไส้ศึกในจวนอ๋อง

เฉินตงหยางในชุดเจ้าบ่าวดูสง่างามภูมิฐานยืนรอว่าที่เจ้าสาวอยู่ด้านในตำหนัก ใบหน้าหล่อเหลาไร้รอยยิ้มทว่ากลับดูเปล่งปลั่งมีรัศมีของความอิ่มเอิบใจ จนเฟยฉีที่ยืนขนาบข้างอดกระเซ้าเย้าแหย่ผู้เป็นนายไม่ได้

“เก็บอาการหน่อยท่านอ๋อง กระหม่อมคิดว่าพระองค์ตั้งใจอภิเษกมากกว่าโดนสถานการณ์บีบบังคับเสียอีก”

เรื่องราวทั้งหมดเฉินตงหยางได้เล่าให้องครักษ์คนสนิทฟังบ้างแล้ว ถึงจะไม่ลงรายละเอียดมากนักแต่เฟยฉีก็รู้ลึกพอสมควร รู้กระทั่งแผนการที่จะมีต่อจากนี้ ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องที่น่ายินดีสำหรับโจวซูฮวาเท่าไหร่ มันทำให้เขาสงสารนางเสียด้วยซ้ำ

“หุบปากสุนัขของเจ้าซะ!”

หันไปจิกกัดลูกน้องได้เพียงครู่เดียว ก็ต้องเตรียมตัวเดินออกมารับว่าที่เจ้าสาวซึ่งกำลังก้าวขาเข้ามาด้านใน ร่างสูงโปร่งกำยำยื่นมือออกไปด้านหน้า รอรับมือเล็กที่ถูกอ้ายชิงส่งต่อมาให้ ความนุ่มนิ่มของมือบางที่ได้สัมผัสอยู่บนฝ่ามือตน ทำให้เกิดความรู้สึกวูบไหวภายในใจ

เฉินตงหยางพาโจวซูฮวาเดินเข้ามาหยุดยืนด้านใน โดยมีราชครูซึ่งโจวจางเหว่ยส่งมาเป็นตัวแทนรอทำพิธีให้ หางตาคมพยายามเหลือบมองใบหน้าว่าที่เจ้าสาวซึ่งยืนนิ่งอยู่ข้างๆ สุดท้ายก็มองได้ไม่ถนัดเท่าไหร่นัก

แต่เพียงส่วนเล็กน้อยที่ได้เห็นก็ทำให้เฉินตงหยางรับรู้ได้ว่าสตรีข้างกายงดงามมากเพียงไหน ยามเวลาปกติโจวซูฮวาก็มีโฉมสะคราญอยู่แล้ว ยิ่งเมื่อสวมใส่อาภรณ์เครื่องประดับงานสมรสนางยิ่งสง่างามเกินต้านทาน ผู้คนในงานต่างพากันมองเหลียวหลัง ตกตะลึงพร้อมเอ่ยปากชมเสียงดังเซ็งแซ่

ยามนี้ต้องยอมรับอย่างเลี่ยงไม่ได้ เฉินตงหยางกำลังเกิดความรู้สึกตื่นเต้นมากที่สุดในชีวิต อาจเป็นเพราะมันเป็นพิธีสมรสครั้งแรกของบุรุษอกสามศอก หรือบางทีอาจเป็นเพราะว่าที่เจ้าสาวงามเกินไปก็เป็นไปได้เหมือนกัน

“ถึงเวลาฤกษ์งามยามดี บ่าวสาวทั้งสองคำนับฟ้าดิน”

ราชครูผู้เป็นตัวแทนฮ่องเต้กล่าวเริ่มพิธีอภิเษก โจวซูฮวาและเฉินตงหยางจึงหันหลังกลับก่อนโค้งคำนับฟ้าดินตามที่ราชครูเอ่ย

“สอง… คำนับพ่อแม่”

คนทั้งคู่หันหลังกลับมาเผชิญหน้าราชครูอีกครั้ง บิดามารดาของเฉินตงหยางสิ้นชีพไปนานมากแล้ว เหลือเพียงป้ายวิญญาณที่ถูกนำมาตั้งบนโต๊ะด้านหน้า ขณะที่โจวซูฮวามีเพียงตัวแทนจากบิดาใจดำซึ่งก็คือราชครูเพียงเท่านั้น ทั้งคู่จึงทำได้แค่คำนับสิ่งที่เป็นตัวแทนบุพการี

“สาม… คำนับกันและกัน”

เฉินตงหยางและโจวซูฮวาค่อยๆ หันหน้าเข้าหากัน โค้งกายคำนับซึ่งกันและกันช้าๆ ก่อนราชครูจะกล่าวจบพิธี

โจวซูฮวาถูกส่งตัวเข้าไปรอในห้องหอ ขณะที่ผู้เป็นเจ้าของจวนเดินรับสุราและของขวัญยินดีจากบรรดาแขกเหรื่อในงาน เวลาผ่านไปเนิ่นนานพอสมควรจนท้องฟ้าไร้แสงของดวงอาทิตย์ เฉินตงหยางจึงถูกส่งเข้าหอตามฤกษ์อันสมควร

ประตูห้องหอปิดลงสนิทแนบแน่น ภายนอกถูกลงกลอนล็อกไว้อย่างแน่นหนาโดยฝีมือเฟยฉีซึ่งทำเกินหน้าที่ อยากให้ผู้เป็นเจ้านายได้ดื่มด่ำในค่ำคืนร่วมหอกับพระชายา

คนถูกขังค่อยๆ ขยับกายเยื้องย่างเข้าหาภรรยาหมาดๆ ซึ่งยังคงนั่งถือพัดปิดหน้าอยู่บนเตียงที่ปูผ้าสีแดงสด ฝ่ามือใหญ่ดึงพัดออกจากมือบาง ปรากฏดวงหน้างดงามซึ่งถูกแต่งแต้มให้งามยิ่งขึ้น

โจวซูฮวาแหงนเงยขึ้นมองใบหน้าบุรุษที่นางรัก ขณะอยู่ลำพังนางวิตกกังวลจนว้าวุ่นใจไปหมด พอได้สบดวงตาคมคู่นี้ทุกอย่างพลันมลายหาย จังหวะหัวใจเต้นถี่รัว เกิดความประหม่าจนต้องหลุบสายตามองลงพื้น

“เจ้าคงเพลียมากสินะ งานวันนี้หนักใช่ย่อย”

เฉินตงหยางก็รู้สึกประหม่าไม่เป็นตนเองเหมือนกัน เขาไม่รู้จะชวนโจวซูฮวาคุยเรื่องใดเพื่อทำลายความเงียบ จึงเลือกหัวข้อสนทนานี้แทน

“ขอบใจท่านมาก ที่ช่วยเหลือข้าในครั้งนี้”

นี่คือสิ่งที่อยู่ภายในใจดวงเล็ก โจวซูฮวาอยากกล่าวขอบคุณเขาตั้งแต่คืนนั้นในท้องพระโรง ทว่ากลับไม่มีโอกาสได้เอ่ยออกไป

“ไม่เป็นไร ข้าเองก็เป็นสาเหตุที่ทำให้เจ้าถูกคุมขัง ถือว่าความช่วยเหลือในครั้งนี้เจ้ากับข้าไม่มีสิ่งใดติดค้างกันอีก”

เฉินตงหยางกล่าวจบจึงล้วงหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งในอกเสื้อออกมายื่นให้โจวซูฮวา ใบหน้าสวยมีร่องรอยของความประหลาดใจขณะเอื้อมมือไปรับมาเปิดดู พลันความตกใจละคนผิดหวังก็เข้ามาแทนที่

“หนังสือหย่า?”

นี่นางพึ่งจะแต่งเข้าจวนเขาไม่ทันข้ามคืนก็ถูกสามีร่อนจดหมายหย่าให้แล้วงั้นรึ มันจะไม่เหยียบย่ำหัวใจนางไปหน่อยหรือไง?

“เมื่อไหร่ที่เจ้าพร้อมก็ลงนามในนั้นซะ”

“…!”

“ข้าเตรียมบ้านหลังเล็กๆ ไว้ให้ที่นอกเมืองพร้อมทรัพย์สมบัติส่วนหนึ่ง”

“…!!”

“เจ้าสามารถใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นได้อย่างอิสระโดยไม่ต้องพะวงเรื่องใด”

เฉินตงหยางรู้สึกลำบากใจพอสมควรเมื่อเอ่ยเช่นนี้ เขารู้ดีว่าสตรีที่ผ่านการแต่งงานมาแล้วครั้งหนึ่งจะมีมลทิน และยากต่อการแต่งงานใหม่อีกครั้ง

แต่อย่างที่เคยบอกไว้ เฉินตงหยางไม่สามารถให้โจวซูฮวาอยู่ข้างกายได้มันอันตรายเกินไป ยิ่งมีห่วงนั่นคือจุดอ่อน ผู้ล่ามากมายรอรุมฉีกทึ้ง อยู่ข้างกายเขานานเท่าไหร่ชีวิตนางยิ่งตกอยู่ในอันตรายมากขึ้นเท่านั้น นี่จึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดแล้ว

“ท่านรังเกียจข้าขนาดไม่อยากรับเป็นชายาเลยงั้นหรือ?”

ดวงตากลมทอดมองมือตัวเองที่กำลังถือหนังสือหย่า หยดน้ำตาเม็ดเล็กร่วงรินอาบแก้ม หัวใจแกร่งกระตุกวูบด้วยความรู้สึกเจ็บแปลบ เกิดความหวั่นไหวในหัวใจของเฉินตงหยาง

หากใจอ่อนยอมบอกสาเหตุที่แท้จริงในการกระทำครั้งนี้ เรื่องระหว่างเขาและนางอาจไม่จบลงง่ายๆ อย่างที่คิด ในเมื่อโจวซูฮวาเข้าใจเช่นนั้น ก็ให้นางเข้าใจผิดต่อไปแหละดีแล้วจะได้ตัดใจได้ง่ายมากขึ้น

“คงไม่ได้คิดว่าที่ข้ายอมแต่งเจ้าเข้าจวน เป็นเพราะความพิศวาสหรอกใช่หรือไม่?”

“…!”

“หากมีความคิดเยี่ยงนั้นเจ้าเลิกคิดให้มันเสียเวลาเถอะ เพราะข้าไม่มีวันรักเจ้าได้อย่างแน่นอน”

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel